แทคติคที่ผิดพลาดของคล็อปป์ (อีกครั้ง)
การพ่ายแพ้ต่อเลสเตอร์ที่ไม่มีแม้แต่ผู้จัดการทีมทำให้ความฝันในการกลับไปเล่น UCL ของลิเวอร์พูลสั่นคลอนทันที หงส์แดงร่วงลงไปอยู่อันดับ 5 ในลีก มีแต้มเหนือแมนยูที่แข่งน้อยกว่า 1 นัดเพียง 1 คะแนน และการมาเยือนแอนฟิลด์ของอาร์เซนอลอาจทำให้อาร์เซนอลทิ้งห่างลิเวอร์พูลเป็น 4 คะแนนโดยที่แข่งน้อยกว่าลิเวอร์พูลอีกหนึ่งนัด
นับตั้งแต่ปีใหม่ ลูกทีมของคล็อปป์ลงเล่นไปแล้ว 7 นัด เก็บได้เพียง 6 คะแนน ทำให้ความหวังที่จะไปเล่น UCL อาจเหลือเพียงการลุ้นไปเล่นรายการยูโรป้าลีกเท่านั้น
ชัยชนะเหนือสเปอรส์ 2-0 เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์แทนที่จะเป็นอะดรีนาลีนที่ช่วยปลุกชีวิตหงส์แดงอีกครั้ง กลับทำให้อะไรๆเลวร้ายลง
เกมกับจิ้งจอกสยามเป็นเกมที่เหมาะที่สุดสำหรับลิเวอร์พูลในการสร้างโมเมนตั้ม และชิงความได้เปรียบจากการที่คู่แข่งอื่นๆไม่มีโปรแกรมแข่ง การเก็บ 3 แต้มเพื่อกดดันทีมอื่นๆย่อมดีกว่าการมีเพียงเกมที่ยังไม่ได้แข่งในมือ แต่พวกเขากลับล้มเหลวทั้งหมด
ลิเวอร์พูลไปเยือนคิงพาวเวอร์สเตเดี้ยมเพื่อเจอกับทีมที่ไม่ชนะใครในลีกมา 7 นัด และยังยิงไม่ได้แม้แต่ประตูเดียวในปี 2017 แต่กระนั้น คล็อปป์กลับส่งทีมของเขาให้เหล่าจิ้งจอกตะปบซะไม่เหลือชิ้นดี
แทคติคแพ้ราบคาบ
ถ้าไม่เห็นในข่าว ก็คงไม่มีใครเชื่อว่าคล็อปป์มีเวลาเตรียมทีมสำหรับเกมนี้ถึง 2 สัปดาห์ เพราะเขาทำราวกับว่ามีเวลาเตรียมทีมแค่ 3 วันก่อนแข่งเท่านั้น
จริงอยู่ที่เลสเตอร์มีแรงบันดาลใจเพิ่มขึ้นในการพิสูจน์ตนเองหลังจากปลดรานิเอรี่ เราจึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่เห็นพวกเขาเล่นกันอย่างดุดัน ลิเวอร์พูลที่หน้าที่หยุดสิ่งนั้น พวกเขาต้องครองบอลให้ได้ ต้องควบคุมเกมให้ได้ และเล่นงานเกมโต้กลับของเลสเตอร์ให้ได้
แต่พวกเขากลับทำไม่ได้เลย
เลวร้ายไปกว่านั้น พวกเขาทำทุกอย่างที่ตำราห้ามไว้สำหรับการเล่นกับทีมที่เล่นอย่างเลสเตอร์ เขาดันเซ็นเตอร์ฮาล์ฟลอยสูงลิบ แล้วจับลูคัส(ที่ไม่มีทั้งความเร็วและความสูงในการเล่นลูกกลางอากาศ)ไปรับมือกับเจมี่ วาร์ดี้ เขาปล่อยให้แดนกลางของเลสเตอร์ลำเลียงบอลขึ้นมาถึงแดนหน้าง่ายๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2016 ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าพวกเขายังคงทำผิดซ้ำๆ
อย่างแรกจะเห็นว่าฟูลแบ็คสองข้างของลิเวอร์พูลดันสูงมาก เปิดพื้นที่ขนาดใหญ่ระหว่างเซ็นเตอร์ฮลา์ฟและฟูลแบ็ค ทำให้วาร์ดี้สามารถสอดเข้าทะลุช่องได้สบายๆ
อย่างที่สองจะเห็นพื้นที่หลังแผงแบ็คโฟร์ที่ลอยสูง ซึ่งแทบจะเป็นข้อห้ามสากลในการเจอกับทีมที่เล่นแบบเลสเตอร์ และมีกองหน้าอย่างวาร์ดี้
สิ่งที่ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้จัดการทีมหรือแฟนบอลทั่วไปรู้เกี่ยวกับเลสเตอร์คือ ถ้าคุณปิดพื้นที่ไม่ให้วาร์ดี้วิ่งตัดหลังได้ ถ้าคุณปิดพื้นที่ไม่ให้มาร์เรซตัดเข้าในได้ คุณก็แทบจะหยุดเลสเตอร์ได้เลย และที่เป็นเหตุผลว่าทำไมฤดูกาลนี้เราห็นวาร์ดี้ได้มีโอกาสหลุดเดี่ยวได้ยิงประตูลักษณะนี้น้อยลงมากเมื่อเทียบกับฤดูกาลที่แล้ว เพราะทีมอื่นๆต่างเรียนรู้จุดนี้
การเลือกใช้ลูคัสเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟเพื่อรับมือกับวาร์ดี้ว่าแย่แล้ว การปล่อยให้แบ็คซ้ายดันสูง แทนที่จะยืนต่ำมาปิดพื้นที่เพื่อช่วยลูคัส(ทีั่ไม่ใช่เซ็นเตอร์อาชีพ)อีกแรง เป็นอะไรที่ยากจะอธิบายได้ในทางแทคติค
ผลที่ตามมานั้นชัดเจนมาก ในเกมกับลิเวอร์พูล วาร์ดี้ได้ออกตัวสปรินท์ถึง 71 ครั้งทำลายสถิติของเขาเองในฤดูกาลนี้ลงเรียบร้อย และกลายเป็น man of the match โดยไม่ต้องสงสัย
คล็อปป์ต้องถูกตั้งคำถาม
"มันชัดเจนมากว่าเกมนี้ดุเดือดแน่ เพราะมันคงแปลกมากถ้าพวกเขาไม่แสดงถึงความดุเดือดในการเล่นออกมาในเกมนี้ อันที่จริงมันก็ไม่ได้ดุดันขนาดนั้น แต่พวกเขาไม่มีความพร้อมเพียงพอ"
พวกเขาไม่มีความพร้อมเพียงพอ ?
ไม่ใช่หน้าที่เขาหรือที่ต้องเตรียมความพร้อมในทุกๆสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ เขาซื้อคลาวาน และ โจ โกเมซ ซึ่งเป็นเซ็นเตอร์ธรรมชาติมากับมือ แต่เขากลับเลือกใช้ลูคัส เลว่า และเขาก็เป็นคนสั่งให้หลังลอยสูง ทั้งๆที่รู็ว่าต้องเจอกับนักเตะอย่างเจมี่ วาร์ดี้ เหนือกว่าการหาว่านักเตะคนไหนควรเป็นแพะ ก็คือการหาสาเหตุว่าทำไมนักเตะคนนั้นถึงถูกจับไปเล่นตรงนั้น และใครเป็นคนสั่ง?
ยิ่งไปกว่านั้น การที่คล็อปป์ตัดสินใจเปลี่ยนมาเล่น 3-5-2 ในครึ่งหลัง (ซึ่งเป็นแทคติคที่เรามักเห็นเขาใช้เมื่อสิ่งต่างๆไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง) ปรับเปลี่ยนการยืนตำแหน่งของนักเตะจากแทคติคเดิมที่เขาเตรียมทีมมาถึง 16 วัน ทั้งๆที่เกมพึ่งผ่านไปแค่ 45 นาที บ่งบอกว่าเขากำลังมีปัญหากับการเตรียมทีมแน่ๆ
หลายคนอาจจะบอกว่าการขาดจอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ เดยัน ลอฟเรน ส่งผลต่อความพ่ายแพ้ครั้งนี้แน่ๆ แต่ก็นั่นแหละ พวกเขาก็ทำตัวเองทั้งนั้นมิใช่หรือ
ลิเวอร์พูลทิ้งโอกาสในการเสริมทีมในตำแหน่งที่จำเป็นทั้งในช่วงซัมเมอร์และตลาดหน้าหนาว มามาดู ซาโก้ ถูกเตะออกจากทีม แต่ก็ยังไม่มีการดึงนักเตะที่ีมีคุณภาพเพียงพอเข้ามาทดแทน ไม่มีการดึงตัวแทนของเฮนเดอร์สันเข้ามา ไม่ต้องพูดถึง ซาดิโอ มาเน่ ที่ต้องไปเล่น AFCON หรือแม้แต่ฟีร์มิโน่
ข้อแก้ตัวว่าไม่มีคู่แข่งทีมไหนเสริมทีมในช่วงหน้าหนาวเช่นกัน ยิ่งทำให้อะไรๆฟังดูเลวร้ายลง ไม่มีคู่แข่งของลิเวอร์พูลทีมไหนต้องพึ่งนักเตะไม่กี่คนแบบลิเวอร์พูลเช่นกัน และก็ต้องไม่ลืมว่าขนาดลิเวอร์พูลเอง ก็ไม่กล้าพอที่จะทุ่มซื้อนักเตะราคา 50 ล้านปอนด์เหมือนที่คู่แข่งในลีกทีมอื่นๆกล้าทำ
คุณไม่สามารถมัวแต่ตามทีมคู่แข่งได้เลยว่าควรทำอะไรเมื่อไหร่ ถ้าคุณอยากชนะพวกเขา
เดจาวู
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ เป็นอีกครั้งในหลายๆครั้งที่ลิเวอร์พูลแพ้ให้กับทีมที่อยู่ดันอับล่าง-กลาง ของตาราง ไม่แน่ว่าคล็อปป์มีปัญหาในการกระตุ้นลูกทีมของเขาเมื่อต้องเล่นกับทีมอันดับล่างหรือไม่ แต่ความคงเส้นคงวาคือกุญแจสำคัญสำหรับการประสบความสำเร็จในโลกฟุตบอล และสิ่งเดียวที่ลิเวอร์พูลยังคงเส้นคงวาก็คือความไม่คงเส้นคงวาของพวกเขาเอง
*************************************************************************************
อ้างอิงข้อมูล
Sam McGuire จาก TheseFootballTimes.
Jamie Carragher, Gary Neville จาก SkySports