BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
นักบอลไทยพรีเมียร์ลีก
Status: โตเพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 5029
ที่อยู่: BBS PLAYPARK
โพสเมื่อ: Mon Jan 19, 2015 06:52
[THE MANAGER DIARY] 1982-2014 : Carlo Ancelotti vs Jose Mourinho ตอนที่ 1
อ่านแล้วชอบมาากครับ ล้ำค่าจริงๆ

สวัสดีค่ะ เมื่อเดือนก่อนเราบังเอิญได้อ่านบทสัมภาษณ์อันนึง มันพูดเรื่อง ในวันที่คาร์โล อันเชล็อตติ พาเชลซีได้แชมป์พรีเมียลีกส์ในฤดูกาล 2009-10 แล้วมีข้อความปริศนาเข้ามาในโทรศัพท์เขา มันคือข้อความแสดงความยินดีของมูริณโญ่ค่ะ เราก็เลยนึกอยากเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพราะเมื่อสืบย้อนไทม์ไลน์ประวัติการคุมทีมแล้ว ประวัติของทั้งคู่ดูคล้าย ใกล้เคียง เกี่ยวข้องและดุเดือดพอสมควรเลยทีเดียว

ทีแรกเรากะจะเขียนรวดเดียวจบในกระทู้เดียว แต่พอลองเขียนจริงๆแล้วยาวมากกกกกก เลยตัดสินใจแบ่งเป็น 2 ตอนค่ะ

ตอนแรกจะเริ่มที่ปี 1982-2005 นะคะข้อมูลตกหล่น หรือ ผิดพลาดไปตรงไหนขออภัยล่วงหน้า เราอ่านมาจากหลายที่ บางที่ก็อ่านผ่านๆไม่ได้เก็บเครดิตมา ขออภัยมา ณ ทีนี้ค่ะ

เนื้อหาจะเรียงตามปี อาจมีย้อนไปย้อนมา งงๆตรงไหนถามได้เลยค่ะ



โชเซ่ และ คาร์โล มีไทม์ไลน์ชีวิตการเป็นผู้จัดการทีมที่มีส่วนเกี่ยวข้องผูกพันธ์กันหลายๆช่วง พวกเขาเป็น หน้าใหม่ในวงการพร้อมๆกัน คว้าถ้วยใหญ่พร้อมๆกัน และ คุมทีมเดียวกันแต่คนละช่วงเวลา ที่น่าสนใจคือ สไตล์และนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว มาดูเส้นทางชีวิตการเป็นโค้ชของ "The Spaciel One" และ "The Best One" กันเลยค่ะ




2014 : คาร์โล และ โชเซ่

คาร์โล อันเชล็อตติ อายุ 55 ปีและ โชเซ่ มูริณโญ่อายุ 51 ปี พวกเขาอายุห่างกัน 4 ปี แต่เข้าสู่วงการการคุมทีมด้วยช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน ปัจจุบันนี้ พวกเขาทั้งคู่ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดแห่งยุค มีประสบการณ์การคุมทีมทั่วยุโรป พบเจอฟุตบอลหลากหลายสไตล์และคว้าถ้วยมาแล้วในเกือบทุกลีกที่คุมทีม ก่อนจะมาถึงจุดนี้ พวกเขาผ่านอะไรมาบ้าง

ไปดูกันเลยค่ะ



1982 : "เซ่" จะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง


นี่คือปีที่เรื่องราวของ "เดอะ สเปเชียลวัน" ได้เริ่มต้นขึ้น
ในปี 1982 เรื่องของมูรินโญ่มันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่โค้ชบางคนยังเป็นนักเตะธรรมาดาๆไม่มีความคิดฝันว่าจะกลายเป็นโค้ชทีมฟุตบอลในหัวมาก่อนเลยด้วยซ้ำ "เซ่ ของแม่" หรือ โชเซ่ เองก็เช่นกัน

"โชเซ่" เป็นบุตรชายของ Felix Mourinho นักฟุตบอลผู้รักษาประตูทีมชาติโปรตุเกสชื่อดัง ตอนเป็นวัยรุ่นโฆเซ่เล่นเป็นกองหลัง หลังจากเลิกเล่นฟุตบอล พ่อของเขาก็ได้ไปเป็นผู้จัดการทีมของ Rio Ave และโชเซ่ หรือ "Zé" (เซ่) ชื่อเล่นที่ครอบครัวเรียก ก็ได้เป็นนักเตะของทีมเช่นกัน แค่เขาก็เป็นแค่เพียงตัวสำรองของทีมที่ไม่สลักสำคัญอะไร และยังไม่เคยลงเล่นสักเกมเลย

และแล้ววันนั้นก็มาถึง
วันที่ โชเซ่ได้เดบิวต์ และเป็นวันที่เขาจะไม่มีทางลืมตลอดชีวิตนี้




เพราะนั่นคือจุดพลิกผันของเรื่องราวทั้งหมด


โชเซ่ชอบฟุตบอลมาก เขาหลงใหล คลั่งไคล้มัน ไม่ว่าอย่างไรก็ขอให้ได้อยู่กับฟุตบอล วันนั้นเขาอายุ 19 ติดทีมริโออีฟ ที่พ่อเขาเป็นผู้จัดการทีม ประจวบเหมาะพอดีที่ มีกองหลังคนนึงบาดเจ็บ พ่อของเขาตัดสินใจส่งเขาลงเล่นเป็นตัวจริง ไม่ว่าจะด้วยจิตวิญญาณโค้ช และ จิตวิญญาณของความเป็นพ่อ โชเซ่ได้ลงเล่น เกมแรก

และเป็นเกมสุดท้าย

พ่อของเขาถูกเจ้าของสโมสรตำหนิเรื่องที่ส่งเขาลงเล่นเป็นตัวจริง (อาจเป็นเรื่องการใช้อำนาจให้ลูกตัวเองลงเล่น อาจส่งผลกับการคุมทีมระยะยาว)

พ่อเขาถูกไล่ออกวันนั้น
และโชเซ่ก็ด้วยเช่นกัน

โชเซ่เล่าว่า วันต่อมาเป็นแมตที่เขาจดจำได้แม่นที่สุด เขา 2 พ่อลูกไปดู ริโอ อีฟแข่งและทีมของพวกเขาพ่ายแพ้ไปถึง 7-1
พวกเขายืนมองความพ่ายแพ้ของทีมที่ตัวเองเคยอยู่ โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลยอยู่บนแสตนด์คนดู

วันนั้น โชเซ่ มูริณโญ่วัย 19 ปีก็สาบานกับตัวเองว่า
เขาจะไม่มีวันยอมรับให้ราวบัดซบนี่เกิดขึ้นกับตัวเขาและพ่อของเขาได้อีกเด็ดขาด

เขาได้พบหนทางที่แท้จริงของตัวเองในวันนั้น ...



1986 : ความต้องการของโชเซ่ คือ การเป็นโค้ชทีมฟุตบอล


ไม่มีการบอกแน่ชัดว่าหลังจากนั้นเขาหายไปไหน หรือทำอะไร แต่ 4 ปีต่อมาในวัย 23 ตอนปี 1986 เขาเลิกเล่นฟุตบอล และแม่ของเขาหาทางออกให้กับชีวิตของโชเซ่ แม่สมัครให้เขาเรียนคณะบริหารธุรกิจในมหาวิทยาลัย แต่โชเซ่มีแผนการของตัวเอง เขาไปลาออกทันทีในวันแรกของการเปิดภาคเรียน และลงสมัครในภาควิชา วิทยาศาสตร์การกีฬา ในมหาวิทลัยชื่อดังของโปรตุเกสแทน

"แม้ผมไม่อาจยิ่งใหญ่ได้บนสนาม แต่ผมจะต้องยิ่งใหญ่ให้ได้ในโลกฟุตบอล"

นั่นคือสิ่งที่โชเซ่คิดตอนที่เขารู้ตัวว่า เขาจำเป็นต้องไปเอาดีทางด้านโค้ช เขาถึงสามารถอยู่กับฟุตบอลที่เขารักต่อไปได้ โฆเซ่ใช้เวลาเรียน 5 ปีจึงจบหลักสูตร ในปี1990 เขาเรียนจบได้หลักสูตรการโค้ชทีมกีฬามาแล้ว และพร้อมสำหรับโลกฟุตบอลแล้ว

ขณะเดียวกัน

ตอนที่มูริณโญ่ เรียนจบ คาร์โล อันเชล็อตติ ในฐานะนักเตะชื่อดัง น่าจะกำลังคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกส์ สมัยที่ 2 กับ เอซีมิลานอยู่ ตอนมูริณโญ่จบหลักสูตรโค้ช คาร์โลอาจจะยังไม่เคยคิดถึงเรื่องการเป็นโค้ชมาก่อนเลย (เนื่องจากไม่มีการระบุปีแน่ชัดเราเลยเดาเอาเองจากปีที่มูริณโญ่เรียนจบค่ะ)

หลังจากเรียนจบในวัย 27 โฆเซ่ไปเริ่มต้นอาชีพโค้ชด้วยการคุมทีมเยาวชนในลีกท้องถิ่นแถวบ้าน เขาพยายยามทำงานทุกอย่างเท่าที่ทำได้ แม้แต่การเป็น เทรนเนอร์ในโรงยิม แล้วโอกาสครั้งสำคัญ โอกาสที่จะพลิกชีวิตเขาก็เข้ามาปีใน 1992

"บ็อบบี้ ร็อบสัน" กุนซือชาวอังกฤษ อดีตนักเตะชื่อดัง ได้เข้ามาเป็นโค้ชคนใหม่ของ สปอร์ตติ้ง ลิสบอน



1992 : ก้าวแรกสู่สังเวียนของโฆเซ่ มูรินโญ่และคาร์โล อันเชล็อตติ


นี่เป็นปีที่ ทั้งคาร์โล และ โชเซ่ ได้เริ่มก้าวเขาสู่วงการการผู้จัดการทีมฟุตบอลนั่นเอง

ในปีเดียวกันนี้ คาร์โลคิดได้ว่า เขาอยากเป็นโค้ช และได้ติดตาม อาร์ริโก้ ซ้าคคี่ไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมในทีมชาติอิตาลี ก่อนจะไปดูเส้นทางของชีวิตล่ามภาษาอังกฤษอันดุเดือดของมูริณโญ่ เราจะพาคุณไปยังอิตาลีก่อน เพราะเหตุใดดาวดังคนหนึ่งถึงอยากจะกลายเป็นโค้ชไปได้
นี่คือจุดเริ่มต้นของ คาร์โล อันเชล็อตติ ในการเป็นโค้ชทีมฟุตบอล



1992 : เมื่อคาร์โลคิดได้


ตอนคาร์โล อันเชล็อตติ อายุ 33 เขาตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพเพื่อขอติดตามเป็นศิษย์ของโค้ชคนที่เขาประทับใจที่สุดในชีวิตอย่าง Arrigo Sacchi

อาร์ริโก้ ซ้าคคี่ เข้ามาคุม เอซี มิลานในปี 1987 นั่นเป็นปีแรกที่ คาร์โลได้สวมเสื้อแถบแดงดำ ของเอซี มิลาน เช่นเดียวกัน พอซ้าคคี่จากมิลานไปในปี 1991 เพื่อไปคุมทีมชาติอิตาลี ตอนนั้นคาร์โลก็คิดว่า มันอาจถึงเวลาของเขาแล้วก็ได้

เขาอายุ 33 ยังสามารถเล่นฟุตบอลต่อได้อีกระยะ แต่ในวันที่ซ้าคคี่จากไป เขาคิดว่า นี่มันถึงเวลาแล้วจริงๆ

"เขาอยากตามซ้าคคี่ไป"

แล้วเขาก็ทำมัน คาร์โลเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ และ ขอติดตามไปเป็นผู้ช่วยโค้ชของ อาร์ริโก้ ซ้าคคี่

ซ้าคคี่คุมทีมชาติอิตาลีด้วยแผนแผนเดียวคือ 4-4-2 อิตาลี..พวกเขาเล่นเกมรับ บุกด้วยเกมสวนกลับ มาร์คโซน เพรสซิ่ง คาร์โลยังจำได้แม่น มันคือธรรมชาติของบอลอิตาลี ธรรมชาติที่เขาคุ้นเคยมาตลอด เพราะในเอซี มิลานมันก็เป็นเช่นนั้น เขาเป็นผู้ช่วยซ้าคคี่อยู่ราวๆ 2-3 ปีเก็บสะสมวิชา กลเม็ดเด็ดพรายต่างๆ คาร์โลเล่าว่า ในตอนนั้น ไม่ใช่แค่ติดตามซ้าคคี่เท่านั้น เวลาว่าง เขามักขอไปดูโค้ชคนอื่นคุมทีมด้วยเช่นกัน และโค้ชทีมอื่นๆ ส่วนใหญ่ปฏิเสธไม่ให้เขาดูการคุมทีมในสนามซ้อม

นั่นคือเรื่องที่เขาจะจำไว้ เผื่อมันจะมีประโยชน์ในอนาคต ..

ปี 1992 คาร์โลเริ่มมองเห็นลู่ทางการไปเป็นโค้ชอาชีพแล้ว ขณะที่โชเซ่ แม้จะจบทางด้านการเป็นโค้ชคุมทีมกีฬามาโดยตรง แต่ก็ยังไม่มีโอกาสเอื้ออำนวย เขาจึงเริ่มงานแรกด้วยการเป็น "ล่ามภาษาอังกฤษ" ให้บ็อบบี้ ร็อบสัน กุนซือคนใหม่ที่ย้ายมาคุม สปอร์ติ้ง ลิสบอนในเวลานั้น
แต่ทว่าที่สปอร์ตติ้ง ลิสบอน แม้จะใช้เวลาอยู่นานพอสมควร แต่มันก็ไม่มีอะไรที่เป็นไฮไลต์นัก เพราะไฮไลต์ทางอาชีพ “โค้ช” ของโชเซ่จริงๆแล้วอยู่ที่ "เอฟซี ปอร์โต้"

โชเซ่ อาจไม่เคยคิดมาก่อนว่า อีก 10 ปีนับจากนี้ คนที่จะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับเอฟซีปอร์โต้ได้ จะเป็นตัวเขาเอง
เดี๋ยวเราจะเล่าให้คุณฟังเมื่อถึงเวลา..



1994 : ต้นกำเนิดคู่หู "ร็อบรินโญ่"


ที่เราบอกว่า ที่สปอร์ตติ้ง ไม่มีอะไรน่าสนใจนักสำหรับ ร็อบสัน และ โชเซ่ หลังคุมทีมได้ 2 ฤดูกาล ปี 1994 ร็อบสันถูกไล่ออกจากการเป็นโค้ชที่ลิสบอน แต่เขากลับได้รับข้อเสนอจากทีมอริอย่าง "เอฟซีปอร์โต้" และเขาก็ตัดสินใจไปปอร์โต้ แน่นอนว่า โชเซ่ก็ตามร็อบสันไปด้วย

"ร็อบริณโญ่" เข้าขากันได้เป็นอย่างดี แม้ที่สปอร์ตติ้งจะไม่มีโทรฟี่ประดับตู้ แต่ ร็อบสันก็พบว่า มูริณโญ่เป็นผู้ช่วยที่ฉลาดมาก พวกเขามีความสัมพันธ์กันมากกว่าการเป็นแค่ล่ามกับโค้ช แต่ โชเซ่ ช่วยร็อบสันตัดสินใจอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับทีม



โชเซ่ไม่ใช่แค่ล่าม แต่เขาคือผู้ช่วยโค้ช เขาคุยเรื่องแท็คติกกับร็อบสันตลอดเวลา เก็บเกี่ยววิชามามากมาย ทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติ เขาและร็อบสันมีฤดูกาลที่สุดยอดกับปอร์โต้พวกเขาพาทีมไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก แต่ดันพ่ายตกรอบ แต่ก็สร้างสถิติมากมาย ด้วยการคว้าแชมป์ลีก 2 สมัยติด ซุปเปอร์คัพอีก 3 ใบ ลีกคัพอีก 1 ใบ หลังจากกวาดถ้วยใส่ตู้ให้ปอร์โต้จนแน่น 2 คู่หู DEADLY DUO ก็ได้เวลาย้ายถิ่นอีกครั้ง พวกเขาบอกลาปอร์โต้ในปี 1996

สนามต่อไปของ "ร็อบรินโย่" คือ คัมป์ นู บาร์เซโลน่า ...





1995 : Reggiana เรือลำแรกของคาร์โล


ขณะที่มูริณโญ่ในฐานะล่าม กำลังช่วยร็อบสันกวาดถ้วยให้ปอร์โต้ เขาเริ่มแข็งแกร่งในภาคทฤษฎี คาร์โลเองก็กำลังจะผละจากปีก ซ้าคคี่ ไปออกบินเดี่ยวด้วยตัวเองแล้วเช่นกัน

ปี 1995 คาร์โลเริ่มคิดว่าทุกอย่างดูโอเคมากขึ้น และเขาคิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้ว เขาบอกลาซ้าคคี่ ออกไปหาเรือของตัวเอง ด้วยการไปคุม Reggiana ทีมในลีค 2 ของอิตาลี

นั่นเป็นโอกาสที่หาได้ไม่ง่ายนักสำหรับโค้ชหน้าใหม่ แต่ทว่า นี่คือ "คาร์โล อันเชล้อตติ" เขาได้ภาษีในฐานะอดีตนักเตะคนโปรดของแฟนบอล และยังเป็นผู้ติดตามซ้าคคีในทีมชาติอิตาลี เขาไปคุม เรจเจียน่า

แต่ทว่ามันเป็นการเริ่มต้นชีวิตโค้ชที่ห่วยบรรลัย

คาร์โลเล่าว่า 8 นัดแรกเขาควรถูกไล่ออก แต่ก็อยู่มาได้เพราะเขาชื่อ "คาร์โล อันเชล็อตติ อดีตนักเตะชื่อดัง" ผลงานของเขาคือ คุมทีม 8 นัด แพ้ 6 เสมอ 2

แต่คาร์โลก็มากับดวงเขาโชคดีมากๆที่ดันจับผลัดจับผลู ปีแรกของการคุมทีม สามารถพาจบฤดูกาลด้วยการพา Reggiana คว้าแชมป์และขึ้นมาเล่นใน Serie A ได้ซะอย่างนั้น

ประสบการณ์คุมทีมเพียง 1 ฤดูกาลพาทีมเลื่อนชั้นได้ "คาร์โล อันเชล็อตติ" ได้กลายเป็นชื่อของผู้จัดการทีมหน้าใหม่ไฟแรง ที่ผู้คนผู้ถึงไปทั่วทันที กระแสโค้ชหนุ่มกำลังมาแรง เขาได้มาคุมปาร์ม่าต่อทันที ปาร์ม่านี่เองที่เป็น "ของจริง"

คาร์โลไม่สามารถอาศัยชื่อเสียงเดิม หรือ ลูกฟลุ๊คได้อีกต่อไป
ในปี 1996 ที่ปาร์มา มันมีการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของคาร์โล..

ความผิดพลาดที่กลายมาเป็นบทเรียนบทแรกในฐานะโค้ชของเขาที่คาร์โลจะจดจำไปตลอดอย่างแน่นอน



1996 : บทเรียนแรกของการเป็นโค้ช ของ คาร์เล็ตโต้


นี่เป็นปีที่ มูริณโญ่ และ บ็อบบี้ ร็อบสัน “คู่หูร็อบริณโญ่” นั่งเรือไปแคว้นกาตาลัน เพื่อเตรียมไปคุม บาร์เซโลน่า ทีมยักษ์ใหญ่ของโลกแล้วเรียบร้อย ปีนี้นอกจากจะเป็นปีที่สำคัญมากของมูรินโญ่ ยังเป็นปีสำคัญของคาร์โลด้วยเช่นกัน

ปีที่มูรินโญ่ย้ายไปบาร์เซโลน่าพร้อมร็อบสัน มันเป็นปีเดียวกับที่ คาร์โล ได้ทำเรื่องที่ผิดพลาดที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตในฐานะโค้ช นั่นคือ
"การปฏิเสธ โรแบร์โต้ บาจโจ้"

ตอนนั้น คาร์โลยังเป็นแค่ คนหนุ่มที่ยึดมั่นในหลักการที่ได้ร่ำเรียนมาจาก ซ้าคคี่ เขายึดมั่นกับ 4-4-2 อิตาลี (และมิลาน) ต้องเล่นเกมรับ บุกด้วยสวนกลับ คาร์โลยอมรับในภายหลังว่า ในตอนนั้นเขาพึ่งเริ่มต้นอาชีพโค้ช มันมีความหวาดระแวงและความกลัวหลายๆอย่าง หากเป็นตอนนี้ เขาไม่มีทางปฏิเสธนักเตะแบบ บาจโจ้แน่นอน

ตอนนั้น โรแบร์โต้ บาจโจ้ ไอ้หนุ่มเปียทองคำ ในวัย 30 เขาต้องการย้ายออกจากเอซี มิลาน แม้จะอยู่ในวัยเลยจุดพีค แต่ความเก๋ายังเต็มเปี่ยม ไม่ว่าบาจโจ้ และ คาร์โล จะมีความสัมพันธ์กันแบบไหน แต่คนแรกที่บาจโจ้คิดถึงตอนที่จะย้ายทีมก็คือ คาร์โล นั่นเอง ขณะนั้นคาร์โลพึ่งได้งานที่ปาร์ม่า (คาร์โล กับ บาจโจ้เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในทีมชาติอิตาลี)

บาจโจ้ได้มาคุยกับคาร์โล เขาจะออกจากมิลานและย้ายมาปาร์ม่า หากคาร์โลให้เขาได้เล่นในตำแหน่ง “หน้าต่ำ ยืนหลังกองหน้าอีก 2 ตัว” เขาอยากเป็นเบอร์ 10 ไม่ใช่เบอร์ 9
คาร์โล ตอบกลับไปว่า

“ไม่ นายจะไม่ได้เล่นหน้าต่ำที่นี่ เราไม่มีหน้าต่ำ ที่นายเล่นได้ที่นี่คือ หน้าเป้า หรือหน้าคู่เท่านั้น ถ้านายอยากจะเป็นกองหน้า นายก็ต้องแข่งขัน เรามี เครสโป กับ กีเอซา นายต้องสู้กับพวกเขา"

บาจโจ้ฟังแล้วส่ายหน้า บาจโจ้อาจคิด ตัวเขามีทางเลือกมากกว่านั้น และนั่นมันถูกต้องเลยทีเดียว เมื่อไม่ได้เล่นหน้าต่ำตามที่ขอจากคาร์โล บาจโจ้ก็ไปเซ็นสัญญากับ “โบโลญญ่า” สโมสที่ให้เขาเล่นหน้าต่ำ และ บาจโจ้จบฤดูกาลนั้นด้วยการยิง 22 ประตู



อะแฮ่ม..
เมื่อได้เห็นประตูที่บาจโจ้ทำได้ คาร์โลก็คิดได้ว่า เขาพลาดไปแล้วจริงๆ
... อย่างมหันต์เลยทีเดียว

"ให้ตายเถอะ ผมเสีย 22 ประตูนั้นไป พลาดมหันต์จริงๆ!!"

นั่นคือบทเรียนบทแรกของการเป็นโค้ช ของ คาร์โล อันเชล็อตติ


TAKE NOTE : บทเรียนแรกของการเป็นโค้ช (อันเชล็อตติ)

"บางครั้งระบบก็ไม่สำคัญเท่านักเตะ"

ทุกระบบมีการยืดหยุ่นได้เสมอ


"ถ้ามีใครที่ผมจะต้องโทษ ผมขอโทษซ้าคคี่ แล้วกัน สำหรับที่ผมต้องพลาดไม่ได้เซ็นบาจโจ้"

มันคือมุกตลกของคาร์โล เขาพูดประโยคนี้หลังจากที่เขาออกตระเวนพาทีมชั้นนำคว้าแชมป์มาแล้วมากมายทั่วยุโรป และเขายังจำได้ว่าสิ่งสำคัญอีกอย่างของการเป็นโค้ชคือ อารมณ์ขัน (เขาได้สิ่งนี้มาจาก Nils Liedholm สมัยที่คาร์โลเล่นกับโรม่า)

อันที่จริงแล้ว คนที่คนแบบ คาร์โล อันเชล็อตติ ยังคงให้ความเคารพและเกรงกลัวที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบันนี้
ยังคงเป็น อาจารย์ของเขา อาร์ริโก้ ซ้าคคี่นั่นเอง

นั่นคือปีแรกในการเป็นโค้ชที่คุมนักเตะชั้นนำ ในลีกอันดับ 1 ของอิตาลี ของคาร์โล อันเชล็อตติ เขาสามารถพาทีมจบที่ 2 ของลีก ซึ่งถือว่างดงามมากทีเดียวในฐานะปีแรกของการคุมทีมใหญ่
1996 คาร์โลพาปาร์ม่าได้รองท็อป

แล้วปีนั้น มูริณโญ่ ทำอะไร?
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
นักบอลไทยพรีเมียร์ลีก
Status: โตเพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 5029
ที่อยู่: BBS PLAYPARK
โพสเมื่อ: Mon Jan 19, 2015 06:53
Top Comment [RE: [THE MANAGER DIARY] 1982-2014 : Carlo Ancelotti vs Jose Mourinho ตอนที่ 1]


1997 : จุดจบของ "ร็อบรินโญ่"


1996 คาร์โลได้คุมทีมใหญ่แล้วเรียบร้อย แต่โชเซ่กำลังสนุกกับบทบาทผู้ช่วย นี่คือฤดูกาลที่ 5 ของคู่หู “ร็อบรินโย่” พวกเขาแลนด์ดิ้งที่บาร์เซโลน่า ด้วยความคุ้นเคยกันทำให้ ทั้งร็อบสัน และ มูรินโย่ จูนเข้าหากันได้ดีที่นี่ บทบาทของมูรินโญ่เริ่มมากขึ้นแทบจะแบ่งเป็นครึ่งหนึ่งของการคุมทีมเลยทีเดียว ร็อบสันวางแผนเกมบุก มูรินโย่วางแผนเกมรับ ปีนั้นพวกเขาพาทีมไปคว้าถ้วย European Cup Winners Cup มาได้
เป็นการตอกย้ำว่า คู่หู "ร็อบรินโย่" การันตีแชมป์ให้คุณได้

และปีต่อมา คือปี 1997 ปีของการสลายคู่หู เมื่อร็อบสันคุมบาร์เซโลน่าได้เพียงฤดูกาลเดียว ก็ต้องออกเรือต่อไปที่เนเธอแลนด์ ณ ท่า "พีเอสวี ไอด์โฮเฟ่น" อย่างเดียวที่หายไปบนเรือคือ คราวนี้ "โชเซ่ ศิษย์รัก" ไม่ได้ตาม บ็อบบี้ ร็อบสันไปด้วย เขาอยู่เป็นผู้ช่วยให้โค้ชคนใหม่ที่บาร์เซโลน่า
บทเรียนแรกที่มูรินโญ่ยึดถือไว้เป็นกฏสำคัญของชีวิตการเป็นโค้ช เขาได้มาจาก บ็อบบี้ ร็อบสัน


TAKE NOTE : บทเรียนแรกของการเป็นโค้ช (โชเซ่)

"เมื่อคุณชนะ คุณไม่ควรคิดว่านั่นเป็นเพราะว่า ชัยชนะนั่นเป็นของคุณ
และเมื่อคุณแพ้ คุณไม่ควรคิดว่า นั่นเป็นเพราะคุณมันคือไอ้คนไร้ค่า"


อันที่จริงแล้ว สิ่งที่โฆเซ่ได้เรียนรู้มาจากร็อบสัน น่าจะหมายถึง ให้ถ่อมตัวตลอดเวลา เมื่อชนะก็อย่าหลงลำพอง เมื่อแพ้ก็อย่าคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุทั้งหมด แปลง่ายๆว่า อย่าสำคัญตัวคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุของทุกๆสิ่ง



1997 : การมาถึงของ "โอบีวัน" ยอดปรมาจารย์เจได ของ โชเซ่


หลังจากบอกลาร็อบสันแล้วเลือกอยู่บาร์เซโลน่าต่อ (ตามข้อเสนอของสโมสร) เพราะครอบครัวเขาพึ่งย้ายมาที่สเปนปีแรก ในวัย35 โฆเซ่ได้พบกับคนที่อาจจะมีอิทธพลที่สุดในชีวิตการเป็นโค้ชของเขาแล้วก็ได้

เปรียบกันแล้ว มันเหมือนในหนังเรื่องสตาร์วอร์ โชเซ่ก็คือ อนาคิน สกายวอล์คเกอร์
อาจารย์ของเขาคือ โอบีวัน เคโนบี ผู้ที่สั่งสอนความรู้ให้เขาจนหมดเปลือก

1997 การมาถึงของ Louis Van Gaal ในบาร์เซโลน่า ...

ปีแรกของฟาลกาล เขาพาบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ลีกได้ มูริณโญ่ก็ได้เถลิงแชมป์พร้อมกับทีมด้วย ฟาลกาลเป็นนักให้โอกาส เขาบอกว่า โชเซ่ มูริณโญ่เป็นคนหยิ่งผยองและมั่นใจในตัวเอง แต่นั่นคือสิ่งที่เขาชอบที่สุดในตัวโฆเซ่ เขากล้าเตือนเวลาที่ฟาลกาลคิดผิด และทุกครั้งที่โฆเซ่เตือน มันก็มักจะถูกต้องเสมอ

ฟาลกาลให้โอกาสโฆเซ่ ได้ยืนที่ข้างสนามแทนเขาในเกมสำคัญ มูรินโญ่ชอบที่จะเห็นทุกๆอย่างเป็นไปบนสนาม เขาไม่ชอบนั่งอยู่กับที่ แต่ต้องการจะรู้ทุกอย่าง และในช่วงพักครึ่ง มูริณโญ่ในฐานะผู้ช่วยจะกลับมารายงานทุกอย่างให้ฟาลกาลฟังอีกที นั่นคือการทำงานของพวกเขาทั้งคู่ ฟาลกาลมองหาความสามารถในตัวนักเตะ และเขาเชื่อใจโชเซ่ แต่ก็มีบ้างที่พวกเขามักถกเถียงกัน วันคืนที่บาร์เซโลน่าล่วงเลยไปถึง ฤดูกาลที่ 5



2000 : แยกทางฟาลกัล บอกลาอาชีพ "ผู้ช่วยโค้ช"


ในปี 2000 ฟาลกาลแยกทางกับบาร์เซโลน่า และโฆเซ่ก็แยกทางกับฟาลกาล

สำหรับโฆเซ่ เขาอยู่ในฐานะ "ผู้ช่วย" มานานเกินไปแล้ว ทั้งร็อบสัน และ ฟาลกาล ได้มอบบบทเรียนสำคัญๆให้มากมายในฐานะโค้ช ถึงเวลาที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ต้องออกไปหาเรือของตัวเองแล้ว

ปีนั้น มูรินโญ่บอกกับฟาลกาลว่า เขาต้องการกลับไปที่โปรตุเกสเพื่อไปเป็น "ผู้ช่วยโค้ช" ที่ "เบนฟิก้า" ฟาลกาลบอกเขาว่า

"ไม่ได้ ถ้านายจะกลับไปเป็นผู้ช่วยโค้ช นายอยู่นี่เสียยังดีกว่า
ถ้านายจะไปเบนฟิก้า นายจะต้องไปเป็น เฮดโค้ช เท่านั้น"




แล้วโชเซ่ก็กลับโปรตุเกสไปคุมเบนฟิก้า


ที่เบนฟิก้า มันมีดราม่าอยู่เล็กน้อย โชเซ่ คุมทีมครั้งในในฐานะ "ผู้จัดการทีมจริงๆ" ได้แค่ 8 นัดก็ต้องย้ายทีมต่อ แผนการการเป็นโค้ชในช่วงเริ่มต้นไม่ได้สวยหรูแบบที่คิด หลังจากคุมเบนฟิก้าแบบชั่วคราว เขาก็ต้องออกไปคุมทีมดิวิชั่นล่างๆของโปรตุเกสต่อ เขาย้ายมาคุม União de Leiria ที่นี่ไม่มีอะไรน่าจดจำนัก แต่ที่ต่อไปต่างหากคือไฮไลต์ที่แท้จริง

2003 คือ ฤดูกาลที่เขาได้ประกาศให้ผู้คนรู้จักชื่อ "โชเซ่ มูรินโญ่" ...



2003 : แชมป์ลีกครั้งแรกของโชเซ่ มูริณโญ่


หลังจากเฟลกับ เบนฟิก้าในปี 2000 ไปคุมทีมเล็กๆในปี 2001

ปี 2002 โชเซ่ได้โอกาสอีกครั้ง เขากลับมายัง "เอฟซี ปอร์โต้" ในช่วงท้ายฤดูกาล 2001-2002 ในฐานะ "ผู้จัดการทีมคนใหม่" แม้เขาเคยอยู่ที่นี่ในฐานะผู้ช่วยของบ็อบบี้ ร็อบสันมานาน แต่นั่นก็เป็นเพียงอดีตที่นานแสนนานแล้วเท่านั้น
มูรินโญ่ให้คำมั่นในวันแถลงข่าวเปิดตัวกับปอร์โต้ว่า

"ฤดูกาลหน้า (2002-2003) ผมจะพาปอร์โต้เป็นแชมป์ลีก"

นั่นดูเหมือนเป็นเรื่องน่าหัวเราะ สำหรับคนที่พึ่งมาเป็นผู้จัดการทีมเต็มตัวและพึ่งคุมทีมระดับสูงหน่อยแบบเบนฟิก้ามาแค่ 8 นัด แม้เขาจะมีประสบการณ์ในฐานะผู้ช่วยมาเยอะ แต่ในฐานะผู้จัดการทีมจริงๆ การต่อสู้อันหนักหนาจริงๆ มันไม่มีอะไรง่ายขนาดนั้น การเป็นแค่ผู้ช่วยกับการต้องมาเป็นผู้จัดการทีม หน้าที่มันต่างกันเยอะปรามาสที่โชเซ่ได้รับ มีมากมายเหลือคณา

แต่ไม่มีคำปรามาสใดๆทำอะไรโชเซ่ได้เลย



เพราะนี่คือ "อนาคินรินโญ่" ศิษย์เอกของ "โยดาร็อบสัน" และ "โอบีวันฟาลกาล"


ในปีแรกของการคุม เอฟซี ปอร์โต้ โชเซ่พาปอร์โต้
คว้าแชมป์ลีกอย่างเหนือความคาดหมาย ตบปากพวกที่เคยดูถูกเขาไว้จนเงียบกริบ



"ผู้จัดการทีมหน้าใหม่ไฟแรง ชาวโปรตุเกสได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว"
หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์กีฬาทั่วโปรตุเกส พาดหัวไว้ราวๆนั้น


หากคุณคิดว่า ปี 2003 (2002-2003) คือการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ของ โชเซ่แล้ว

นี่มันแค่เริ่มคต้นเท่านั้น ก่อนจะไปดูความสำเร็จของโชเซ่ กลับไปดูฝั่ง คาร์โล อันเชล็อตติกันบ้างค่ะ
โชเซ่ได้แชมป์ลีกแล้ว

คาร์โล คุณทำอะไรอยู่?



2003 : โชเซ่ แชมป์ลีก คาร์โล แชมป์ยุโรป


ในปี 2003 (2002-2003) ขณะที่โชเซ่ มูริณโญ่ พาปอร์โต้คว้าแชมป์ลีกได้ และกำลังจะพาปอร์โต้กลับไปแข่งในรายการ ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกในปีหน้า (2003-2004) ปีนั้นสปอร์ตไลท์ที่ใหญ่กว่าก็ส่องไปที่ คาร์โล อันเชล็อตติ เขาพา เอซี มิลานไปคว้าถ้วยบิ๊กเอียร์ ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกส์ได้แล้วเรียบร้อย

โฆเซ่เริ่มต้นในเส้นทางโค้ชก่อน แต่เขาตามหลังคาร์โล อยู่หลายก้าวเลยทีเดียว

โชเซ่ดำเนินเส้นทางโค้ชมาในรูปแบบของนักศึกษามหาวิทยาลัย เขาเรียนตามหลักสูตร และ ไปฝึกปรือกับอาจารย์หลายคน สั่งสมประสบการณ์จนถึงจุดที่เขาคิดว่ามากพอแล้วถึงมาประกอบอาชีพโค้ชจริงๆ
ขณะที่คาร์โล เขาเลือกโดดเข้าสู่วงการอาชีพเลย ล้มลุกคลุกคลาน ลองผิด ลองพลาดมาหลายอย่าง

ก่อนคาร์โลจะคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกครั้งแรกของตัวเอง และครั้งที่ 6 ของเอซี มิลาน
ตอนที่เราไปดูการต่อสู้สู่การเป็นโค้ชเต็มตัวของมูรินโญ่
กลับมาดูว่า คาร์โล ต้องผจญศึกหนักหนาแค่ไหน ...
เราจะพาคุณย้อนกลับไปตอนปี 2000 ก่อน ...




2000 : ยูเวนตุส โรงเรียนของการเป็นโค้ช


ที่บอกว่าโรงเรียน เพราะนี่คือที่ที่คาร์โลได้รับบทเรียนมากมาย

คาร์โลที่โดนปลดจากปาร์มาเพราะเริ่มทำผลงานได้ไม่ดี เขามายังยูเวนตุสในปี 1999 แม้ปีแรกจะไม่ใช่ปีที่ดีนักของเขากับยูเว่ฯในด้านผลงาน เขาต้องพบกับปัญหาหลายอย่าง ทั้งเรื่องฟอร์มการเล่น อาการบาดเจ็บของนักเตะซุปตาร์ เรื่องอันดับที่ตกต่ำ เรื่องการรับมือกับแฟนบอล และเรื่องนักเตะเจ้าปัญหา คาร์โลได้รับบทเรียนมากมายจากยูเว่ฯ

ในช่วงท้ายฤดูกาล 1998-99 คาร์โลสานต่องานจากลิปปี้และพายูเว่ฯจบอันดับ 7
เลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี

คาร์โลได้สไตล์การคุมทีมของซ้าคคี่มา ซ้าคคี่เป็นคนดุก็จริง แต่เขามักเริ่มต้นกับนักเตะด้วย "ไม้อ่อน" เสมอ แต่นั่นดูเหมือนจะใช้ไม่ได้กับ ยูเวนตุส ในตอนนั้น

แม้จะจบฤดูกาลด้วยอันดับ 7 ต่อมาในปี 2000 ประธานสโมสรยังคงให้โอกาสเขา คาร์โลได้คุมยูเวนตุสต่อเป็นปีที่ 2 ในฤดูกาลนี้เอง คาร์โลเริ่มงัดไม้แข็ง ขายนักเตะเจ้าปัญหา ซื้อนักเตะใหม่ และ "เลิกตามใจ" ไม่มีการเอาใจสตาร์คนไหนๆ ในตอนนั้นมีการแซวกันว่า เขากล้ามากจริงๆที่กล้าดรอป ซีเนดีน ซีดาน ให้นั่งในม้านั่งสำรอง ตอนนั้นยูเวนตุสมีทั้ง อเล็กซานโดร เดล ปิเอโร่, เอ็ดวิน ฟาน เด ซาร์, จิอันลูก้า ซามบรอตตร้า และ ฟิลิปโป้ อินซากี้ ฯลฯ



อินซากี้ ... คุณต้องจำชื่อนี้ไว้ เขาคือชายที่ คาร์โล อันเชล็อตติประทับใจอย่างมาก
อาจมากที่สุดในชีวิตการเป็นโค้ชของคาร์โลเลยก็ได้

ฤดูกาลที่ 2 ของคาร์โลกับยูเวนตุส พวกเขายังคงมือเปล่า
แม้จะพาทีมจบอันดับ 2 ได้คาร์โลก็ไม่อะไรต้องทำที่นี่อีกแล้ว

หลังจากนี้ เขากำลังจะย้ายไปทีมอริของ "ยูเวนตุส" แต่เป็นทีมที่เขาเคยลงเล่นให้และเคยมีความหลังมามากมาย
อย่าง "เอซี มิลาน"

แต่ประสบการณ์การคุมทีมที่ยูเวนตุสเอง ถือเป็นด่านที่โหดมากพอให้เขาได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆมากมาย
ที่นี่คาร์โลได้เรียนรู้เรื่องการ จัดการกับนักเตะแต่ละคน และ การปรับระบบทีมให้สอดรับกับสถานการณ์ที่บีบบังคับหลายอย่าง การต้องคุมทีมที่เต็มไปด้วยสตาร์ และการต้องเลือกว่า จะให้ขาใหญ่ลงแต่ขัดใจ หรือ จะเลือกให้ทีมเล่นในแบบที่คิด

ต่อไปคือ การกลับ มิลาน ...



2001 : นักเตะคู่บุญ ของคาร์โล อันเชล็อตติ


คาร์โลย้ายมายัง เอซี มิลานในฤดูกาล 2001-2002 อันเชล็อตติถูกปลดจากการเป็นโค้ชที่ ยูเวนตุส ในตอนนั้นมีข่าวว่า มาเชโล่ ลิปปี้จะกลับมาเป็นโค้ชแทนเขา (ทีแรกคาร์โลไปแทนลิปปี้ พอคาร์โลย้ายจากยูเว่ฯ ลิปปี้ก็มายูเว่ฯอีกที) ปีนั้นหลังจากเขาย้ายมาจากยูเว่ฯ ไปยังมิลาน เขาได้หนีบ อินซากี้มายังมิลานด้วย แม้ในปีแรกจะไม่ใช่ปีที่ดีนัก หลังจากที่เขาต้องมาสานต่อผลงานของ ฟาติห์ เตริม ที่ทำไว้อย่างย่ำแย่ คาร์โล พามิลานมาจบฤดูกาลที่อันดับ 4 ในปีแรก ซึ่งทำให้พวกเขายังคงไม่ได้ไปเล่น แชมป์เปี้ยนลีกส์

การหนีบอินซากี้มายังมิลานด้วย ถือเป็นไทม์ไลน์ที่สำคัญพอสมควร ต่อมาหลังจากที่คาร์โล อันเชล็อตติได้กลายเป็นโค้ชที่คว้าแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่นับไม่ถ้วน ได้คุมนักเตะซุปเปอร์สตาร์อีกมากมาย นักเตะที่เขายังคงยกย่องมาเสมอ ก็ยังคงเป็น "ฟิลิปโป้ อินซากี้"

ปัจจุบัน (2014) ไม่มีใครปฏิเสธว่า คาร์โล อันเชล็อตติคือโค้ชที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง เขาทำงานกับนักเตะระดับโลกมามากมาย แม้จะไม่มีการชี้ชัดว่า นักเตะคนไหนคือนักเตะที่เขาคิดว่า ดีที่สุดที่เขาเคยทำงานด้วย (โอเค ปัจจุบันเขาคุมมาดริด เขาก็บอกเป็นนัยๆว่า โรนัลโด้ คือนักเตะที่ดีที่สุดที่เขาเคยทำงานด้วยในตอนนี้) และเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ดีมากๆกับ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช แต่หากได้ติดตามคาร์โล อันเชล็อตติ คุณจะพบว่า มีนักเตะเพียงคนเดียวที่เขาพูดถึงและชื่นชมมากมายทุกครั้งเมื่อมีการสัมภาษณ์ถึงการทำงานในอดีต...

คนคนนั้นคือ ฟิลิปโป้ อินซากี้



"ผมคิดว่า นักเตะที่อันตรายที่สุดในเขตโทษที่ผมรู้จักคือ อินซากี้ เมื่อคุณดูสถิติของเขาคุณจะพบว่า ประตูของเขาส่วนใหญ่เกิดขึ้นในกรอบเขตโทษ และเป็นประตูที่เกิดจากการจับบอลจังหวะเดียว (One Touch) นั่นหมายความว่าอะไร? นั่นหมายความว่า เขาหาพื้นที่ในการทำประตูได้ดีมากๆ และมักไปยืนอยู่ถูกที่ถูกเวลาเสมอ"

กระทั่งในปีต่อมาคือ 2003



2003 : คาร์โล และ ถ้วยแชมป์ใบที่ 2 ของการเป็นโค้ชของเขา "บิ๊กเอียร์"


ที่เอซี มิลาน นอกจากคาร์โล จะพานักเตะคู่บุญมาอย่างอินซากี้มาด้วยแล้ว เขายังได้รับบทเรียนบทที่ 2 ในฐานะโค้ชอีกด้วย

ปี 1985 สโมสรฟุตบอลเอชี มิลานกำลังประสบปัญหาทางการเงิน ใกล้เข้าสู่ภาวะล้มละลาย แล้ว Silvio Berlusconi เจ้าพ่อสื่อฯ(ในขณะนั้น) ก็เข้ามาเทคโอเวอร์ ซื้อสโมสรและแบกรับหนี้จำนวนมหาศาลไว้ .. และตั้งแต่ปี 1986 จนถึงปัจจุบัน เอซี มิลานก็มีเจ้าของทีมเพียงคนเดิม คนเดียว มาตลอด 29 ปี ชายที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศและมีเส้นสายอำนาจอยู่ในทุกวงการภายในประเทศอิตาลี

"ซิลวิโอ แบร์ลุสโกนี่"



นอกจากจะเป็นเจ้าของสโมสรที่คาร์โลได้เข้ามาเป็นโค้ชในปี 2001 แล้ว แบร์ลุสโกนี่ นี่เองที่มอบบทเรียนที่สำคัญมากอีกบทหนึ่งในฐานะโค้ชให้กับเขา

"นับตั้งแต่ตอนที่ แบร์ลุซโกนี่ได้เข้ามาเป็นเจ้าของเอซี มิลาน วัฒนธรรมของสโมสรก็เปลี่ยนไป จะพูดก็ได้ว่า ฟุตบอลของเราเป็นไปตามแนวทางของแบร์ลุสโกนี่ ฟุตบอลของมิลานเน้นที่สไตล์การเล่นที่สวยงามเป็นหลัก ต่างจากยูเวนตุสที่มีหลักการอยู่ข้อเดียวคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ทีมชนะ เพราะนี่คือ ‘มิลานของแบร์ลุสโกนี่’ นั่นก็เป็นเหตุผลเดียวที่ทำไมเราได้เห็น Pirlo, Seedorf, Rui Costa, Kaká, Shevchenko ลงเล่นในสนามพร้อมกัน"




แบร์ลุสโกนี่ มีบุคลิกที่ค่อนข้างเงียบขรึม เขามีทั้งตำแหน่งเศรษฐีและตำแหน่งนักการเมืองยิ่งใหญ่ระดับประเทศและระดับทวีป เป็นคนอีกระดับ ไม่ใช่ใครที่ไหนที่จะยอมลงมาพูดจาเล่นหัว แต่คาร์โลเองก็เก๋าพอและกล้าพอ เขาได้เข้ามาปรับเปลี่ยนค่านิยมของสโมสรไปเล็กน้อย อาจารย์คนแรกของคาร์โล Nils Liedholm (โค้ชสมัยที่คาร์โลเล่นให้โรม่า) เป็นพวกที่ชอบยิงมุกตลกคลายเครียดให้นักเตะตลอดเวลา แม้จะเป็นคนดุ เอาแต่ใจ และจริงจังมากแค่ไหน แต่ทุกคนก็รัก นีล เพราะมุกตลกอันแพรวพราวของเขาที่ทำให้นักเตะยิ้มได้ตลอด



(นีล ลีดโฮล์ม โค้ชสมัยที่คาร์โลอยู่โรม่า เสียชีวิตตอนปี 2007 ตอนอายุ 85 ปี)(ผมนึกว่าเดลบอสเก้ - -*)


คาร์โลได้นำเอาสิ่งนี้มาเสนอให้แบร์ลุสโกนี่ เขาเสนอให้แบร์ลุสโกนี่ ลงไปคุยกับนักเตะในห้องแต่งตัว เพื่อช่วยให้นักเตะผ่อนคลาย ทริคอยู่ที่ การที่ให้โค้ชหรือประธานสโมสรไปคุยกับนักเตะในห้องแต่งตัว ไม่ใช่ว่าจะหมายถึงการเข้าไปพูดคุยให้ผ่อนคลาย หรือยิงมุกตลกคลายเครียดเสมอไป
นัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่าแชมป์เปียนลีกส์ 2003 เอซี มิลาน พบกับ ยูเวนตุส

นั่นเป็นเกมที่แบร์ลุสโกนี่ลงมาคุยกับนักเตะก่อนเริ่มเกม คาร์โลบอกว่า เขาต้องทำสำเนา รายชื่อและแผนการเล่นให้แบร์ลุสโกนี่อีกชุดนึง เพราะแบร์ลุสโกนี่ขอไว้

เขาเดินเข้ามา นั่งลงในห้องแต่งตัว นั่นเป็นบรรยากาศที่แปลกประหลาด นายกรัฐมนตรีของประเทศอิตาลีในเวลานั้นนั่งอยู่ในที่นั่งนักเตะ ท่ามกลางบรรยากาศสุดลุ้นระทึกของนัดชิงชนะเลิศ คาร์โลยื่นกระดาษที่มีรายชื่อนักเตะและแผนการเล่นวันนั้นให้ซิลวิโอ เขากวาดตามองรอบห้อง และเริ่มพูดกับนักเตะ ...

คาร์โลบอกว่า มันประสบความสำเร็จอย่างมาก แบร์ลุสโกนี่หยอดมุกตลกอย่างเป็นกันเองกับนักเตะ ที่ช่วยทำให้บรรยากาศผ่อนคลายและผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากนั้น มิลานก็เอาชนะยูเวนตุสได้ด้วยการดวลจุดโทษ 3-2




คาร์โล อันเชล็อตติ พาทีมคว้าแชมป์เปียนลีกส์ได้เป็นครั้งแรกหลังจากคุมทีมฟุตบอลมา 9 ปี มีประสบการณ์คุมทีมมา 3 ทีม เป็นผู้จัดการทีมคนที่ 6 ในประวัติศาสตร์ที่ สามารถคว้าแชมป์เปียนลีกส์ทั้งในฐานะผู้เล่นและในฐานะโค้ช และยังเป็นการคว้าแชมป์กับสโมสรเดิมอีกด้วย
ถ้วยแชมป์ใหญ่ใบแรกของเขาคือ การพาทีม Raggiana ขึ้นไปเล่น ซีรีอา

ถ้วยแชมป์ใหญ่ใบที่สองของเขา คือ การพาทีม AC Milan ไปคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปียนลีกส์
นี่เป็นเหมือนแค่จุดเริ่มต้นของความเป็นระดับโลกของคาร์โล นับจากนี้ เขาจะได้คว้าถ้วยอีกนับไม่ถ้วน และ ชีวิตจะต้องไปเจอนักเตะที่เป็นตัวท็อปของโลกอีกมากมายเลยทีเดียว

หมายเหตุ : คาร์โลเคยคว้าถ้วย UEFA Intertoto Cup กับ Juventus ในปี 1999 แต่ผู้เขียนคิดว่าไม่ใช่ถ้วยที่เป็นไฮไลต์ทางการคุมทีมของคาร์โล เลยขอละไว้


TAKE NOTE : บทเรียนบทที่ 2 ของอันเชล็อตติ ในฐานะการเป็นโค้ช

"ไม่มีแผนการเล่นใดๆยิ่งใหญ่เกินประธานสโมสร"

เขาได้เรียนรู้บทเรียนนี้ตอนคุมเอซี มิลาน และได้คลุกคลีกับ ซิลวิโอ แบร์ลุสโกนี่ นั่นเอง



2003 : Carlo vs Jose ปฐมบท


การพบกันครั้งแรกของคาร์โล และ โชเซ่ เกิดขึ้นในเกม ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ 2003 (2002-03) มิลานพึ่งได้แชมป์ยุโรปมา ขณะที่ ปอร์โต้ได้แชมป์ยูฟ่าคัพมา (ถ้วยปัจจุบันคือ ยูโรป้าลีก) ปีนั้นนอกจาก โชเซ่จะพาปอร์โต้คว้าแชมป์ลีกได้ เขายังพาทีมไปได้แชมป์ยูฟ่าคัพมาด้วย หากคาร์โลคือกุนซือมือเก๋าเบอร์ล่าสุด โชเซ่ก็คือซุปเปอร์รูกี้ที่พร้อมถล่มบัลลังก์มาเฟียเหมือนกัน หากโค่นคาร์โลได้ตอนนี้คงเป็นปีที่มหัศจรรย์ที่สุดของ โชเซ่ มูริณโญ่เลยทีเดียว

แล้วคนที่ดับฝันโชเซ่ มูริณโญ่ก็คือ อันเดร เชฟเชนโก้ กับลูกโขกบ้าพลังหน้าเขตโทษของเขาในนาทีที่ 10



แม้ถ้วยนี้จะไม่ใช่ถ้วยที่คนให้ความสำคัญอะไรมากนัก แต่การพบเจอกันของโค้ชทั้ง 2 คนที่อยู่ในช่วงเนื้อหอมทั้งคู่ ถือเป็นไทม์ไลน์สำคัญในประวัติศาสตร์ฟุตบอลเลยทีเดียว






2004 : แชมป์ยุโรปครั้งแรกของ โชเซ่ มูริณโญ่


คุมทีมใหญ่ปีแรกได้แชมป์ลีก
ปีต่อมาได้แชมป์ยุโรป
ทำได้แบบผมบ้าง ?

นั่นคือสิ่งที่มูริณโญ่ทำได้ หลังจากเขาลั่นวาจาว่าจะพาปอร์โต้คว้าแชมป์ลีกในปี 2003 (2002-03) ซึ่งเป็นปีแรกที่เขาได้คุมทีมใหญ่ เขาก็ทำมันได้จริงๆ หลังจากพาปอร์โต้คว้าแชมป์และได้สิทธิ์ไปเล่นยูฟ่าแชมป์เปียนลีกส์ในฤดูกาลต่อมาคือ 2003-04 มันยิ่งบ้าเข้าไปใหญ่ เมื่อปอร์โต้ของโชเซ่ไปไกลถึงขั้น คว้าแชมป์ได้เลยทีเดียว

ถ้วยแชมป์ยุโรปถ้วยที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของ เอฟซี ปอร์โต้ หลังจากห่างหายแชมป์ไปนานถึง 17 ปี
แต่หลายคนก็บอกว่า ปีนี้มันเป็นปีแห่งโชคของมูริณโญ่ เพราะในปีนี้ หลายๆทีมดังต่างก็ไปตัดกันตั้งแต่รอบแรก รอบแรก ปอร์โต้ต้องชนกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน นั่นอาจะเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่ทั้งคู่ได้พบกันบนสนามแข่งขัน ก่อนที่เจ้าเด็กหน้าใหม่ โช่เซ่จะเอาชนะทีมของป๋ามาได้ด้วยผลประตูรวม 3-2 ผ่านเข้าไปเจอ "ลียง"

ในยุคนั้น ลียงกำลังผยองคนองเดช หากคุณยังพอจำได้ มันจะมีคำกล่าวที่ว่า "ลียงลงเป็นยิง" ในช่วงระหว่าง ฤดูกาล 2001-2008 7 ปีติดที่ลียงผูกปีแชมป์ถึง 7 สมัยติด ยังเป็นยุคต้นกำเนิดของมหาเทพเจ้าฟรีคิกแห่งยุค จูนินโญ่ แต่ทว่า ในแชมป์เปียนลีกปี 2004 เมื่อลียงต้องมาเจอปอร์โต้ แม้แต่จูนินโญ่ ก็ยังต้องพ่าย คาวัลโญ่ ในเกมที่ ปอร์โต้เจอกับลียงเล่นในบ้านปอร์โต้ ลียงเก็บสกอร์กลับไปไม่ได้เลย เป็นเดโก และ คาวัลโญ่ที่ยิงประตูให้ปอร์โต้นำ 2-0 ก่อนที่กลับไปเล่นในบ้านลียง จบสกอร์ด้วยผลเสมอ 2-2 แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับลียง "ลียงลงเป็นยิง" เจอปอร์โต้ของโชเซ่ เขี่ยตกรอบไปอีกทีม



ปอร์โต้กำลังเหิมเต็มที่ ในรอบรองชนะเลิศ เขาต้องไปเจอ ลาคอรุณญ่าที่โค่นยักษ์ใหญ่อิตาลีมาแล้ว 2 ทีมคือ ยูเวนตุสและมิลาน ในเลกแรก เกมของปอร์โต้ดูดีมากกว่า แต่ก็จบด้วยสกอร์ 0-0 ต้องไปชิงตั๋วไปรอบชิงชนะเลิศอีกครั้งที่ บ้านลาคอรุณญ่า ลาคอฯเสียจุดโทษให้ปอร์โต้ในท้ายเกม และนั่นก็เป็นประตูลงโทษจริงๆ เพราะลาคอรุณญ่าต้องตกรอบเพราะจุดโทษลูกนี้ ปอร์โต้ผ่านเข้าไปเจอ โมนาโกที่พึ่งโค่นยักษ์อย่างรีล มาดริด และ เชลซีมาเหมือนกัน

ผลนัดชิงชนะเลิศเป็นอย่างที่ทุกคนรู้กัน มันไม่มีดราม่าท้ายเกม หรือ ช่วงเวลาบีบคั้นหัวใจอะไรมากนัก ปอร์โต้ถล่มม้วนเดียวจบ เฟอร์นานโด มอริเอนเตสที่ว่าฮอตๆก็ยังเงียบกริบในนัดชิงกับปอร์โต้ จบเกม ปอร์โต้เอาชนะโมนาโก 3-0 คว้าแชมป์ยุโรปให้ปอร์โต้ได้ ในฤดูกาลที่ 2 ที่มูริณโญ่เข้ามาคุมทีม




นอกจากจะเป็นแชมป์ยุโรป ปอร์โต้ยังคว้าแชมป์ลีกติดต่อกันเป็นสมัยที่ 2
นาทีนั้น ไม่ว่ามูริณโญ่ต้องการอะไร สโมสรและแฟนบอลก็พร้อมจะยกมาประเคนให้จริงๆ
ปีนี้มิลานของคาร์โลตกรอบ 8 ทีมและทั้งโลก กำลังนั่งมอง โชเซ่ มูริณโญ่ โค้ชหนุ่มโปรตุกีสสีหน้ายโส ขึ้นรับถ้วยยุโรป ด้วยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม

"คุณทำได้แบบผมรึเปล่า?"






2005 : ฝันร้ายของคาร์โล การเสียแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกส์ใน 6 นาทีให้ Liverpool


ตอนที่คาร์โลมาถึงมิลาน
ฤดูกาลแรก เขาพาทีมจบที่ 4
ฤดูกาลที่สอง พาทีมจบที่ 3 และเป็นแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปียนลีกส์
ฤดูกาลที่สาม พาทีมเป็นแชมป์ลีก
ฤดูกาลที่สี่ พาทีมจบที่ 2 และได้รองแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปียนลีกส์ ด้วยเกมนัดชิงชนะเลิศ ที่ช็อคทั้งตุรกี ช็อคทั้งอิตาลี และ ช็อคไปโลก

หากคนบอกว่า ปีที่คาร์โลพามิลานไปคว้าแชมป์ยุโรปได้ตอนปี 2003 เขาต้องพึ่งทั้งความเก่งบวกความเฮง ด้วยผลสกอร์เสมอ 0-0 และฟอร์มทีมก็ไม่ได้โหดเหี้ยมดุร้าย เด็ดขาด แต่สุดท้ายกลับเฉือนเอาชนะยูเวนตุสได้ด้วยการดวลจุดโทษ คราวนี้มันก็เหมือนหนังม้วนเก่าที่วนมาฉายซ้ำ เพียงแต่มันเกิดขึ้นกับลิเวอร์พูลเท่านั้นเอง คราวนี้บทดราม่าน้ำตานองมันมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว

คาร์โลไม่ได้อธิบายหรือฟูมฟายถึงนัดนี้มากนัก เขาให้สัมภาษณ์ในปี 2014 ว่า หากให้เลือก 2 นัดในชีวิตการคุมทีมตลอด 800 นัดว่า หากจะมีนัดไหนที่เขาคิดว่า ทีมของเขาเล่นได้ดีมากๆที่สุดเท่าที่เคยเห็น มันก็คือนัดชิงชนะเลิศกับลิเวอร์พูลปี 2005 (แพ้ 3-2 ดวลจุดโทษ) และนัดรองชนะเลิศกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดปี 2007 (ชนะ 3-0)

"ฟุตบอลเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในบรรดาเรื่องไม่สำคัญทั้งหมดในโลกนี้"

เป็นคำอธิบายถึงเกมนัดหลังแพ้ลิเวอร์พูล เขาบอกว่า อันที่จริงแล้ว การแพ้หรือการตกรอบไม่ได้ทำให้โลกถล่มทลาย อย่างที่อธิบายไปข้างต้น อันที่จริง ฟุตบอลก็เป็นเพียงเรื่องไม่สำคัญอีกเรื่องบนโลกนี้ เพียงแต่บรรดาความไม่สำคัญทั้งหมด เราให้ความสำคัญกับมันมากที่สุดเท่านั้นเอง

"เรามีเกมครึ่งแรกที่เราคิดว่า เราคว้าชัยชนะได้เรียบร้อยแล้ว แต่ผมคิดว่ามันเป็นโชคชะตา คุณจะทำอะไรได้กับการที่เขาได้ 3 ประตูใน 6 นาทีล่ะ ไม่ว่าจะยังไง เราก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วในตอนนั้น"



คาร์โลปล่อยมันไป แต่เขาก็เก็บงำความแค้นไว้มากพอสมควร นี่เป็นการปราชัยที่ทำให้หลายคนน้ำตาตกใน ถ้วยเหมือนอยู่ในมือพวกเขาแล้ว แต่กลับถูกกระชากไป จำความพ่ายแพ้ครั้งนี้ไว้ให้ดี พวกเขาจะกลับมาทวงคืนอย่างแน่นอน

คาร์โลพลาดโอกาสในการชูถ้วยยุโรปหนที่สองไปอย่างน่าเสียดาย
แล้วโชเซ่คนดังแห่งโปรตุเกสตอนนี้ ชีวิตเขาไปถึงไหนแล้วนะ?




2005 : "โชเซ่ มูริณโญ่" เวลคัม ทู สแตมป์ฟอร์ดบริดจ์


ผู้จัดการทีมชาวโปรตุเกส เขาแฟนบอลลิเวอร์พูล และกำลังดังที่สุดในโปรตุเกส
ปอร์โต้คงเล็กเกินไปสำหรับฝีมือของเขาเสียแล้ว ถึงเวลาต้องออกเดินทางแล้ว

เป้าหมายของเขาคือ พรีเมียลีกส์อังกฤษ

ขณะนั้นมีหลายสโมสรที่โชเซ่สนใจ และ สนใจโชเซ่ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ท้าทายทั้งสิ้น และคนแบบโชเซ่ก็พร้อมจะพลิกประวัติศาสตร์ทีมใดๆก็ตามอยู่แล้ว แต่สุดท้าย เขาก็เลือก เชลซี ทีมเศรษฐีแห่งลอนดอนที่กำลังสร้างทีมใหม่ ด้วยนักธุรกิจชาวรัสเซียผู้เป็นแฟนบอลเข้าเส้น Roman Abramovich นอกจากวิสัยทัศทางธุรกิจของเสี่ยหมีโรมันจะโดนใจแล้ว ข้อเสนอและสภาพทีมของสโมสรก็ท้าทายฝีมือ โชเซ่มาก ที่สุดแล้วเขาก็เลือก "สแตมป์ฟอร์ดบริดจ์" เป็นฐานทัพแห่งใหม่

และกองกำลังมูริณโญ่ก็สร้างปาฏิหาริย์ได้จริงๆ



ตอนเขาย้ายมาเชลซี เขาพานักเตะจากปอร์โต้มาด้วย 2 คนคือกองหลังคู่ใจ ริคาโด้ คาวัลโญ่ และ เปาโล ฟาเรร่า รวมทั้งนักเตะที่ดูเหมือนจะเป็นแค่เพียงนักเตะที่น่าจับตามองในเวลานั้นอย่าง อาเยน ร็อบเบ จาก พีเอสวี ไอด์โฮเฟ่น และ ปีเตอร์ เช็ค จาก แรน ลีกระดับล่างในลีกเอิง ขณะนั้นปีเตอร์ เช็คยังเป็นเพียงผู้รักษาประตูดาวรุ่ง เขาย้ายมาเชลซีด้วยค่าตัวเพียง 7 ล้านปอนด์

อย่างไม่คาดฝัน "โชเซ่ มูริณโญ่" ชื่อของเขาสั่นสะเทือนไปทั้งวงการฟุตบอลทันที เมื่อสามารถพาเชลซีเถลิงแชมป์ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร และยังเป็นการเถลิงแชมป์ที่เอาชนะคู่แข่งร่วมเมืองอย่างอาร์เซนอลเสียด้วย นอกจากนั้นมันยังเป็นแชมป์ที่ตามมาด้วยสถิติที่สำคัญอีกมากมาย สถิติที่น่าสนใจคือ ตลอดฤดูกาลเชลซีแพ้ในเกมเยือนเพียงครั้งเดียว คือ แพ้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำสถิติ ไม่แพ้ในเกมในบ้านเลยสักเกมเดียวพาเชลซีคว้าแชมป์ด้วยด้วยสถิติ 29-8-1 แต้มสะสม 95 แต้ม เยอะที่สุดเท่าที่เชลซีเคยทำได้




ในปี 2005 (2004-05) แชมป์ลีกที่มูริณโญ่ทำได้ สะเทือนอังกฤษ และอาจสะเทือนไปทั้งยุโรปเช่นกัน แต่นี่เป็นเพียงช่วงต้นของการเดินทางไปสู่ระดับโลกของมูริณโญ่เท่านั้น

ขณะที่ปีเดียวกันคาร์โลพลาดแชมป์ยุโรปกับนักเตะชุดที่ดีที่สุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเอซีมิลาน
แต่คาร์โลเป็นพวกแค้นฝังใจ พวกเขาจะกลับมาอีกครั้งแน่นอน

ติดตามต่อกระทู้ 2 จ้า ..



แม้คาร์โล และ โชเซ่ จะแทบไม่ใช่คู่ปรับกันโดยตรง
แต่ทั้งคู่มีส่วนเกี่ยวพันธ์กันอย่างน่าประหลาดใจเลยทีเดียว

ติดตามต่อในตอนที่ 2 นะคะ
ตอนที่ 2 ช่วงไฮไลต์ที่เราชอบ น่าจะเป็นตอนที่ มูไปอินเตอร์-มาดริด
และ คาร์โลไปปารีสฯ ทั้งสองช่วงสนุกมากเลยค่ะ
พยายามจะรีบเขียนให้จบนะคะ ตอนนี้เอาไปอ่านแค่นี้ก่อน

ขอบคุณที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ค่ะ

https://www.facebook.com/poprockonfilm


Soure :

http://en.wikipedia.org/wiki/Silvio_Berlusconi
http://en.wikipedia.org/wiki/Carlo_Ancelotti
http://en.wikipedia.org/wiki/Jos%C3%A9_Mourinho
http://en.wikipedia.org/wiki/Filippo_Inzaghi
http://www.ft.com/cms/s/2/7e89c58e-7e45-11e3-b409-00144feabdc0.html#axzz3JDiVk03S
http://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-1323014/The-Matt-Lawton-interview-So-secrets-Carlo-Ancelottis-success.html
http://observer.theguardian.com/osm/story/0,,1270852,00.html
http://en.wikipedia.org/wiki/2003_UEFA_Champions_League_Final
http://en.wikipedia.org/wiki/2002%E2%80%9303_UEFA_Champions_League
http://en.wikipedia.org/wiki/2005_UEFA_Champions_League_Final#Second_half
http://en.wikipedia.org/wiki/2004%E2%80%9305_Chelsea_F.C._season#In


ลิ้งกระทู้

http://pantip.com/topic/33120307
แก้ไขล่าสุดโดย บุญคำ เมื่อ Mon Jan 19, 2015 07:04, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ออฟไลน์
นักบอลไทยพรีเมียร์ลีก
Status: โตเพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 5029
ที่อยู่: BBS PLAYPARK
โพสเมื่อ: Mon Jan 19, 2015 06:53
[RE: [THE MANAGER DIARY] 1982-2014 : Carlo Ancelotti vs Jose Mourinho ตอนที่ 1]


1997 : จุดจบของ "ร็อบรินโญ่"


1996 คาร์โลได้คุมทีมใหญ่แล้วเรียบร้อย แต่โชเซ่กำลังสนุกกับบทบาทผู้ช่วย นี่คือฤดูกาลที่ 5 ของคู่หู “ร็อบรินโย่” พวกเขาแลนด์ดิ้งที่บาร์เซโลน่า ด้วยความคุ้นเคยกันทำให้ ทั้งร็อบสัน และ มูรินโย่ จูนเข้าหากันได้ดีที่นี่ บทบาทของมูรินโญ่เริ่มมากขึ้นแทบจะแบ่งเป็นครึ่งหนึ่งของการคุมทีมเลยทีเดียว ร็อบสันวางแผนเกมบุก มูรินโย่วางแผนเกมรับ ปีนั้นพวกเขาพาทีมไปคว้าถ้วย European Cup Winners Cup มาได้
เป็นการตอกย้ำว่า คู่หู "ร็อบรินโย่" การันตีแชมป์ให้คุณได้

และปีต่อมา คือปี 1997 ปีของการสลายคู่หู เมื่อร็อบสันคุมบาร์เซโลน่าได้เพียงฤดูกาลเดียว ก็ต้องออกเรือต่อไปที่เนเธอแลนด์ ณ ท่า "พีเอสวี ไอด์โฮเฟ่น" อย่างเดียวที่หายไปบนเรือคือ คราวนี้ "โชเซ่ ศิษย์รัก" ไม่ได้ตาม บ็อบบี้ ร็อบสันไปด้วย เขาอยู่เป็นผู้ช่วยให้โค้ชคนใหม่ที่บาร์เซโลน่า
บทเรียนแรกที่มูรินโญ่ยึดถือไว้เป็นกฏสำคัญของชีวิตการเป็นโค้ช เขาได้มาจาก บ็อบบี้ ร็อบสัน


TAKE NOTE : บทเรียนแรกของการเป็นโค้ช (โชเซ่)

"เมื่อคุณชนะ คุณไม่ควรคิดว่านั่นเป็นเพราะว่า ชัยชนะนั่นเป็นของคุณ
และเมื่อคุณแพ้ คุณไม่ควรคิดว่า นั่นเป็นเพราะคุณมันคือไอ้คนไร้ค่า"


อันที่จริงแล้ว สิ่งที่โฆเซ่ได้เรียนรู้มาจากร็อบสัน น่าจะหมายถึง ให้ถ่อมตัวตลอดเวลา เมื่อชนะก็อย่าหลงลำพอง เมื่อแพ้ก็อย่าคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุทั้งหมด แปลง่ายๆว่า อย่าสำคัญตัวคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุของทุกๆสิ่ง



1997 : การมาถึงของ "โอบีวัน" ยอดปรมาจารย์เจได ของ โชเซ่


หลังจากบอกลาร็อบสันแล้วเลือกอยู่บาร์เซโลน่าต่อ (ตามข้อเสนอของสโมสร) เพราะครอบครัวเขาพึ่งย้ายมาที่สเปนปีแรก ในวัย35 โฆเซ่ได้พบกับคนที่อาจจะมีอิทธพลที่สุดในชีวิตการเป็นโค้ชของเขาแล้วก็ได้

เปรียบกันแล้ว มันเหมือนในหนังเรื่องสตาร์วอร์ โชเซ่ก็คือ อนาคิน สกายวอล์คเกอร์
อาจารย์ของเขาคือ โอบีวัน เคโนบี ผู้ที่สั่งสอนความรู้ให้เขาจนหมดเปลือก

1997 การมาถึงของ Louis Van Gaal ในบาร์เซโลน่า ...

ปีแรกของฟาลกาล เขาพาบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ลีกได้ มูริณโญ่ก็ได้เถลิงแชมป์พร้อมกับทีมด้วย ฟาลกาลเป็นนักให้โอกาส เขาบอกว่า โชเซ่ มูริณโญ่เป็นคนหยิ่งผยองและมั่นใจในตัวเอง แต่นั่นคือสิ่งที่เขาชอบที่สุดในตัวโฆเซ่ เขากล้าเตือนเวลาที่ฟาลกาลคิดผิด และทุกครั้งที่โฆเซ่เตือน มันก็มักจะถูกต้องเสมอ

ฟาลกาลให้โอกาสโฆเซ่ ได้ยืนที่ข้างสนามแทนเขาในเกมสำคัญ มูรินโญ่ชอบที่จะเห็นทุกๆอย่างเป็นไปบนสนาม เขาไม่ชอบนั่งอยู่กับที่ แต่ต้องการจะรู้ทุกอย่าง และในช่วงพักครึ่ง มูริณโญ่ในฐานะผู้ช่วยจะกลับมารายงานทุกอย่างให้ฟาลกาลฟังอีกที นั่นคือการทำงานของพวกเขาทั้งคู่ ฟาลกาลมองหาความสามารถในตัวนักเตะ และเขาเชื่อใจโชเซ่ แต่ก็มีบ้างที่พวกเขามักถกเถียงกัน วันคืนที่บาร์เซโลน่าล่วงเลยไปถึง ฤดูกาลที่ 5



2000 : แยกทางฟาลกัล บอกลาอาชีพ "ผู้ช่วยโค้ช"


ในปี 2000 ฟาลกาลแยกทางกับบาร์เซโลน่า และโฆเซ่ก็แยกทางกับฟาลกาล

สำหรับโฆเซ่ เขาอยู่ในฐานะ "ผู้ช่วย" มานานเกินไปแล้ว ทั้งร็อบสัน และ ฟาลกาล ได้มอบบบทเรียนสำคัญๆให้มากมายในฐานะโค้ช ถึงเวลาที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ต้องออกไปหาเรือของตัวเองแล้ว

ปีนั้น มูรินโญ่บอกกับฟาลกาลว่า เขาต้องการกลับไปที่โปรตุเกสเพื่อไปเป็น "ผู้ช่วยโค้ช" ที่ "เบนฟิก้า" ฟาลกาลบอกเขาว่า

"ไม่ได้ ถ้านายจะกลับไปเป็นผู้ช่วยโค้ช นายอยู่นี่เสียยังดีกว่า
ถ้านายจะไปเบนฟิก้า นายจะต้องไปเป็น เฮดโค้ช เท่านั้น"




แล้วโชเซ่ก็กลับโปรตุเกสไปคุมเบนฟิก้า


ที่เบนฟิก้า มันมีดราม่าอยู่เล็กน้อย โชเซ่ คุมทีมครั้งในในฐานะ "ผู้จัดการทีมจริงๆ" ได้แค่ 8 นัดก็ต้องย้ายทีมต่อ แผนการการเป็นโค้ชในช่วงเริ่มต้นไม่ได้สวยหรูแบบที่คิด หลังจากคุมเบนฟิก้าแบบชั่วคราว เขาก็ต้องออกไปคุมทีมดิวิชั่นล่างๆของโปรตุเกสต่อ เขาย้ายมาคุม União de Leiria ที่นี่ไม่มีอะไรน่าจดจำนัก แต่ที่ต่อไปต่างหากคือไฮไลต์ที่แท้จริง

2003 คือ ฤดูกาลที่เขาได้ประกาศให้ผู้คนรู้จักชื่อ "โชเซ่ มูรินโญ่" ...



2003 : แชมป์ลีกครั้งแรกของโชเซ่ มูริณโญ่


หลังจากเฟลกับ เบนฟิก้าในปี 2000 ไปคุมทีมเล็กๆในปี 2001

ปี 2002 โชเซ่ได้โอกาสอีกครั้ง เขากลับมายัง "เอฟซี ปอร์โต้" ในช่วงท้ายฤดูกาล 2001-2002 ในฐานะ "ผู้จัดการทีมคนใหม่" แม้เขาเคยอยู่ที่นี่ในฐานะผู้ช่วยของบ็อบบี้ ร็อบสันมานาน แต่นั่นก็เป็นเพียงอดีตที่นานแสนนานแล้วเท่านั้น
มูรินโญ่ให้คำมั่นในวันแถลงข่าวเปิดตัวกับปอร์โต้ว่า

"ฤดูกาลหน้า (2002-2003) ผมจะพาปอร์โต้เป็นแชมป์ลีก"

นั่นดูเหมือนเป็นเรื่องน่าหัวเราะ สำหรับคนที่พึ่งมาเป็นผู้จัดการทีมเต็มตัวและพึ่งคุมทีมระดับสูงหน่อยแบบเบนฟิก้ามาแค่ 8 นัด แม้เขาจะมีประสบการณ์ในฐานะผู้ช่วยมาเยอะ แต่ในฐานะผู้จัดการทีมจริงๆ การต่อสู้อันหนักหนาจริงๆ มันไม่มีอะไรง่ายขนาดนั้น การเป็นแค่ผู้ช่วยกับการต้องมาเป็นผู้จัดการทีม หน้าที่มันต่างกันเยอะปรามาสที่โชเซ่ได้รับ มีมากมายเหลือคณา

แต่ไม่มีคำปรามาสใดๆทำอะไรโชเซ่ได้เลย



เพราะนี่คือ "อนาคินรินโญ่" ศิษย์เอกของ "โยดาร็อบสัน" และ "โอบีวันฟาลกาล"


ในปีแรกของการคุม เอฟซี ปอร์โต้ โชเซ่พาปอร์โต้
คว้าแชมป์ลีกอย่างเหนือความคาดหมาย ตบปากพวกที่เคยดูถูกเขาไว้จนเงียบกริบ



"ผู้จัดการทีมหน้าใหม่ไฟแรง ชาวโปรตุเกสได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว"
หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์กีฬาทั่วโปรตุเกส พาดหัวไว้ราวๆนั้น


หากคุณคิดว่า ปี 2003 (2002-2003) คือการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ของ โชเซ่แล้ว

นี่มันแค่เริ่มคต้นเท่านั้น ก่อนจะไปดูความสำเร็จของโชเซ่ กลับไปดูฝั่ง คาร์โล อันเชล็อตติกันบ้างค่ะ
โชเซ่ได้แชมป์ลีกแล้ว

คาร์โล คุณทำอะไรอยู่?



2003 : โชเซ่ แชมป์ลีก คาร์โล แชมป์ยุโรป


ในปี 2003 (2002-2003) ขณะที่โชเซ่ มูริณโญ่ พาปอร์โต้คว้าแชมป์ลีกได้ และกำลังจะพาปอร์โต้กลับไปแข่งในรายการ ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกในปีหน้า (2003-2004) ปีนั้นสปอร์ตไลท์ที่ใหญ่กว่าก็ส่องไปที่ คาร์โล อันเชล็อตติ เขาพา เอซี มิลานไปคว้าถ้วยบิ๊กเอียร์ ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกส์ได้แล้วเรียบร้อย

โฆเซ่เริ่มต้นในเส้นทางโค้ชก่อน แต่เขาตามหลังคาร์โล อยู่หลายก้าวเลยทีเดียว

โชเซ่ดำเนินเส้นทางโค้ชมาในรูปแบบของนักศึกษามหาวิทยาลัย เขาเรียนตามหลักสูตร และ ไปฝึกปรือกับอาจารย์หลายคน สั่งสมประสบการณ์จนถึงจุดที่เขาคิดว่ามากพอแล้วถึงมาประกอบอาชีพโค้ชจริงๆ
ขณะที่คาร์โล เขาเลือกโดดเข้าสู่วงการอาชีพเลย ล้มลุกคลุกคลาน ลองผิด ลองพลาดมาหลายอย่าง

ก่อนคาร์โลจะคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกครั้งแรกของตัวเอง และครั้งที่ 6 ของเอซี มิลาน
ตอนที่เราไปดูการต่อสู้สู่การเป็นโค้ชเต็มตัวของมูรินโญ่
กลับมาดูว่า คาร์โล ต้องผจญศึกหนักหนาแค่ไหน ...
เราจะพาคุณย้อนกลับไปตอนปี 2000 ก่อน ...




2000 : ยูเวนตุส โรงเรียนของการเป็นโค้ช


ที่บอกว่าโรงเรียน เพราะนี่คือที่ที่คาร์โลได้รับบทเรียนมากมาย

คาร์โลที่โดนปลดจากปาร์มาเพราะเริ่มทำผลงานได้ไม่ดี เขามายังยูเวนตุสในปี 1999 แม้ปีแรกจะไม่ใช่ปีที่ดีนักของเขากับยูเว่ฯในด้านผลงาน เขาต้องพบกับปัญหาหลายอย่าง ทั้งเรื่องฟอร์มการเล่น อาการบาดเจ็บของนักเตะซุปตาร์ เรื่องอันดับที่ตกต่ำ เรื่องการรับมือกับแฟนบอล และเรื่องนักเตะเจ้าปัญหา คาร์โลได้รับบทเรียนมากมายจากยูเว่ฯ

ในช่วงท้ายฤดูกาล 1998-99 คาร์โลสานต่องานจากลิปปี้และพายูเว่ฯจบอันดับ 7
เลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี

คาร์โลได้สไตล์การคุมทีมของซ้าคคี่มา ซ้าคคี่เป็นคนดุก็จริง แต่เขามักเริ่มต้นกับนักเตะด้วย "ไม้อ่อน" เสมอ แต่นั่นดูเหมือนจะใช้ไม่ได้กับ ยูเวนตุส ในตอนนั้น

แม้จะจบฤดูกาลด้วยอันดับ 7 ต่อมาในปี 2000 ประธานสโมสรยังคงให้โอกาสเขา คาร์โลได้คุมยูเวนตุสต่อเป็นปีที่ 2 ในฤดูกาลนี้เอง คาร์โลเริ่มงัดไม้แข็ง ขายนักเตะเจ้าปัญหา ซื้อนักเตะใหม่ และ "เลิกตามใจ" ไม่มีการเอาใจสตาร์คนไหนๆ ในตอนนั้นมีการแซวกันว่า เขากล้ามากจริงๆที่กล้าดรอป ซีเนดีน ซีดาน ให้นั่งในม้านั่งสำรอง ตอนนั้นยูเวนตุสมีทั้ง อเล็กซานโดร เดล ปิเอโร่, เอ็ดวิน ฟาน เด ซาร์, จิอันลูก้า ซามบรอตตร้า และ ฟิลิปโป้ อินซากี้ ฯลฯ



อินซากี้ ... คุณต้องจำชื่อนี้ไว้ เขาคือชายที่ คาร์โล อันเชล็อตติประทับใจอย่างมาก
อาจมากที่สุดในชีวิตการเป็นโค้ชของคาร์โลเลยก็ได้

ฤดูกาลที่ 2 ของคาร์โลกับยูเวนตุส พวกเขายังคงมือเปล่า
แม้จะพาทีมจบอันดับ 2 ได้คาร์โลก็ไม่อะไรต้องทำที่นี่อีกแล้ว

หลังจากนี้ เขากำลังจะย้ายไปทีมอริของ "ยูเวนตุส" แต่เป็นทีมที่เขาเคยลงเล่นให้และเคยมีความหลังมามากมาย
อย่าง "เอซี มิลาน"

แต่ประสบการณ์การคุมทีมที่ยูเวนตุสเอง ถือเป็นด่านที่โหดมากพอให้เขาได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆมากมาย
ที่นี่คาร์โลได้เรียนรู้เรื่องการ จัดการกับนักเตะแต่ละคน และ การปรับระบบทีมให้สอดรับกับสถานการณ์ที่บีบบังคับหลายอย่าง การต้องคุมทีมที่เต็มไปด้วยสตาร์ และการต้องเลือกว่า จะให้ขาใหญ่ลงแต่ขัดใจ หรือ จะเลือกให้ทีมเล่นในแบบที่คิด

ต่อไปคือ การกลับ มิลาน ...



2001 : นักเตะคู่บุญ ของคาร์โล อันเชล็อตติ


คาร์โลย้ายมายัง เอซี มิลานในฤดูกาล 2001-2002 อันเชล็อตติถูกปลดจากการเป็นโค้ชที่ ยูเวนตุส ในตอนนั้นมีข่าวว่า มาเชโล่ ลิปปี้จะกลับมาเป็นโค้ชแทนเขา (ทีแรกคาร์โลไปแทนลิปปี้ พอคาร์โลย้ายจากยูเว่ฯ ลิปปี้ก็มายูเว่ฯอีกที) ปีนั้นหลังจากเขาย้ายมาจากยูเว่ฯ ไปยังมิลาน เขาได้หนีบ อินซากี้มายังมิลานด้วย แม้ในปีแรกจะไม่ใช่ปีที่ดีนัก หลังจากที่เขาต้องมาสานต่อผลงานของ ฟาติห์ เตริม ที่ทำไว้อย่างย่ำแย่ คาร์โล พามิลานมาจบฤดูกาลที่อันดับ 4 ในปีแรก ซึ่งทำให้พวกเขายังคงไม่ได้ไปเล่น แชมป์เปี้ยนลีกส์

การหนีบอินซากี้มายังมิลานด้วย ถือเป็นไทม์ไลน์ที่สำคัญพอสมควร ต่อมาหลังจากที่คาร์โล อันเชล็อตติได้กลายเป็นโค้ชที่คว้าแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่นับไม่ถ้วน ได้คุมนักเตะซุปเปอร์สตาร์อีกมากมาย นักเตะที่เขายังคงยกย่องมาเสมอ ก็ยังคงเป็น "ฟิลิปโป้ อินซากี้"

ปัจจุบัน (2014) ไม่มีใครปฏิเสธว่า คาร์โล อันเชล็อตติคือโค้ชที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง เขาทำงานกับนักเตะระดับโลกมามากมาย แม้จะไม่มีการชี้ชัดว่า นักเตะคนไหนคือนักเตะที่เขาคิดว่า ดีที่สุดที่เขาเคยทำงานด้วย (โอเค ปัจจุบันเขาคุมมาดริด เขาก็บอกเป็นนัยๆว่า โรนัลโด้ คือนักเตะที่ดีที่สุดที่เขาเคยทำงานด้วยในตอนนี้) และเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ดีมากๆกับ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช แต่หากได้ติดตามคาร์โล อันเชล็อตติ คุณจะพบว่า มีนักเตะเพียงคนเดียวที่เขาพูดถึงและชื่นชมมากมายทุกครั้งเมื่อมีการสัมภาษณ์ถึงการทำงานในอดีต...

คนคนนั้นคือ ฟิลิปโป้ อินซากี้



"ผมคิดว่า นักเตะที่อันตรายที่สุดในเขตโทษที่ผมรู้จักคือ อินซากี้ เมื่อคุณดูสถิติของเขาคุณจะพบว่า ประตูของเขาส่วนใหญ่เกิดขึ้นในกรอบเขตโทษ และเป็นประตูที่เกิดจากการจับบอลจังหวะเดียว (One Touch) นั่นหมายความว่าอะไร? นั่นหมายความว่า เขาหาพื้นที่ในการทำประตูได้ดีมากๆ และมักไปยืนอยู่ถูกที่ถูกเวลาเสมอ"

กระทั่งในปีต่อมาคือ 2003



2003 : คาร์โล และ ถ้วยแชมป์ใบที่ 2 ของการเป็นโค้ชของเขา "บิ๊กเอียร์"


ที่เอซี มิลาน นอกจากคาร์โล จะพานักเตะคู่บุญมาอย่างอินซากี้มาด้วยแล้ว เขายังได้รับบทเรียนบทที่ 2 ในฐานะโค้ชอีกด้วย

ปี 1985 สโมสรฟุตบอลเอชี มิลานกำลังประสบปัญหาทางการเงิน ใกล้เข้าสู่ภาวะล้มละลาย แล้ว Silvio Berlusconi เจ้าพ่อสื่อฯ(ในขณะนั้น) ก็เข้ามาเทคโอเวอร์ ซื้อสโมสรและแบกรับหนี้จำนวนมหาศาลไว้ .. และตั้งแต่ปี 1986 จนถึงปัจจุบัน เอซี มิลานก็มีเจ้าของทีมเพียงคนเดิม คนเดียว มาตลอด 29 ปี ชายที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศและมีเส้นสายอำนาจอยู่ในทุกวงการภายในประเทศอิตาลี

"ซิลวิโอ แบร์ลุสโกนี่"



นอกจากจะเป็นเจ้าของสโมสรที่คาร์โลได้เข้ามาเป็นโค้ชในปี 2001 แล้ว แบร์ลุสโกนี่ นี่เองที่มอบบทเรียนที่สำคัญมากอีกบทหนึ่งในฐานะโค้ชให้กับเขา

"นับตั้งแต่ตอนที่ แบร์ลุซโกนี่ได้เข้ามาเป็นเจ้าของเอซี มิลาน วัฒนธรรมของสโมสรก็เปลี่ยนไป จะพูดก็ได้ว่า ฟุตบอลของเราเป็นไปตามแนวทางของแบร์ลุสโกนี่ ฟุตบอลของมิลานเน้นที่สไตล์การเล่นที่สวยงามเป็นหลัก ต่างจากยูเวนตุสที่มีหลักการอยู่ข้อเดียวคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ทีมชนะ เพราะนี่คือ ‘มิลานของแบร์ลุสโกนี่’ นั่นก็เป็นเหตุผลเดียวที่ทำไมเราได้เห็น Pirlo, Seedorf, Rui Costa, Kaká, Shevchenko ลงเล่นในสนามพร้อมกัน"




แบร์ลุสโกนี่ มีบุคลิกที่ค่อนข้างเงียบขรึม เขามีทั้งตำแหน่งเศรษฐีและตำแหน่งนักการเมืองยิ่งใหญ่ระดับประเทศและระดับทวีป เป็นคนอีกระดับ ไม่ใช่ใครที่ไหนที่จะยอมลงมาพูดจาเล่นหัว แต่คาร์โลเองก็เก๋าพอและกล้าพอ เขาได้เข้ามาปรับเปลี่ยนค่านิยมของสโมสรไปเล็กน้อย อาจารย์คนแรกของคาร์โล Nils Liedholm (โค้ชสมัยที่คาร์โลเล่นให้โรม่า) เป็นพวกที่ชอบยิงมุกตลกคลายเครียดให้นักเตะตลอดเวลา แม้จะเป็นคนดุ เอาแต่ใจ และจริงจังมากแค่ไหน แต่ทุกคนก็รัก นีล เพราะมุกตลกอันแพรวพราวของเขาที่ทำให้นักเตะยิ้มได้ตลอด



(นีล ลีดโฮล์ม โค้ชสมัยที่คาร์โลอยู่โรม่า เสียชีวิตตอนปี 2007 ตอนอายุ 85 ปี)(ผมนึกว่าเดลบอสเก้ - -*)


คาร์โลได้นำเอาสิ่งนี้มาเสนอให้แบร์ลุสโกนี่ เขาเสนอให้แบร์ลุสโกนี่ ลงไปคุยกับนักเตะในห้องแต่งตัว เพื่อช่วยให้นักเตะผ่อนคลาย ทริคอยู่ที่ การที่ให้โค้ชหรือประธานสโมสรไปคุยกับนักเตะในห้องแต่งตัว ไม่ใช่ว่าจะหมายถึงการเข้าไปพูดคุยให้ผ่อนคลาย หรือยิงมุกตลกคลายเครียดเสมอไป
นัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่าแชมป์เปียนลีกส์ 2003 เอซี มิลาน พบกับ ยูเวนตุส

นั่นเป็นเกมที่แบร์ลุสโกนี่ลงมาคุยกับนักเตะก่อนเริ่มเกม คาร์โลบอกว่า เขาต้องทำสำเนา รายชื่อและแผนการเล่นให้แบร์ลุสโกนี่อีกชุดนึง เพราะแบร์ลุสโกนี่ขอไว้

เขาเดินเข้ามา นั่งลงในห้องแต่งตัว นั่นเป็นบรรยากาศที่แปลกประหลาด นายกรัฐมนตรีของประเทศอิตาลีในเวลานั้นนั่งอยู่ในที่นั่งนักเตะ ท่ามกลางบรรยากาศสุดลุ้นระทึกของนัดชิงชนะเลิศ คาร์โลยื่นกระดาษที่มีรายชื่อนักเตะและแผนการเล่นวันนั้นให้ซิลวิโอ เขากวาดตามองรอบห้อง และเริ่มพูดกับนักเตะ ...

คาร์โลบอกว่า มันประสบความสำเร็จอย่างมาก แบร์ลุสโกนี่หยอดมุกตลกอย่างเป็นกันเองกับนักเตะ ที่ช่วยทำให้บรรยากาศผ่อนคลายและผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากนั้น มิลานก็เอาชนะยูเวนตุสได้ด้วยการดวลจุดโทษ 3-2




คาร์โล อันเชล็อตติ พาทีมคว้าแชมป์เปียนลีกส์ได้เป็นครั้งแรกหลังจากคุมทีมฟุตบอลมา 9 ปี มีประสบการณ์คุมทีมมา 3 ทีม เป็นผู้จัดการทีมคนที่ 6 ในประวัติศาสตร์ที่ สามารถคว้าแชมป์เปียนลีกส์ทั้งในฐานะผู้เล่นและในฐานะโค้ช และยังเป็นการคว้าแชมป์กับสโมสรเดิมอีกด้วย
ถ้วยแชมป์ใหญ่ใบแรกของเขาคือ การพาทีม Raggiana ขึ้นไปเล่น ซีรีอา

ถ้วยแชมป์ใหญ่ใบที่สองของเขา คือ การพาทีม AC Milan ไปคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปียนลีกส์
นี่เป็นเหมือนแค่จุดเริ่มต้นของความเป็นระดับโลกของคาร์โล นับจากนี้ เขาจะได้คว้าถ้วยอีกนับไม่ถ้วน และ ชีวิตจะต้องไปเจอนักเตะที่เป็นตัวท็อปของโลกอีกมากมายเลยทีเดียว

หมายเหตุ : คาร์โลเคยคว้าถ้วย UEFA Intertoto Cup กับ Juventus ในปี 1999 แต่ผู้เขียนคิดว่าไม่ใช่ถ้วยที่เป็นไฮไลต์ทางการคุมทีมของคาร์โล เลยขอละไว้


TAKE NOTE : บทเรียนบทที่ 2 ของอันเชล็อตติ ในฐานะการเป็นโค้ช

"ไม่มีแผนการเล่นใดๆยิ่งใหญ่เกินประธานสโมสร"

เขาได้เรียนรู้บทเรียนนี้ตอนคุมเอซี มิลาน และได้คลุกคลีกับ ซิลวิโอ แบร์ลุสโกนี่ นั่นเอง



2003 : Carlo vs Jose ปฐมบท


การพบกันครั้งแรกของคาร์โล และ โชเซ่ เกิดขึ้นในเกม ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ 2003 (2002-03) มิลานพึ่งได้แชมป์ยุโรปมา ขณะที่ ปอร์โต้ได้แชมป์ยูฟ่าคัพมา (ถ้วยปัจจุบันคือ ยูโรป้าลีก) ปีนั้นนอกจาก โชเซ่จะพาปอร์โต้คว้าแชมป์ลีกได้ เขายังพาทีมไปได้แชมป์ยูฟ่าคัพมาด้วย หากคาร์โลคือกุนซือมือเก๋าเบอร์ล่าสุด โชเซ่ก็คือซุปเปอร์รูกี้ที่พร้อมถล่มบัลลังก์มาเฟียเหมือนกัน หากโค่นคาร์โลได้ตอนนี้คงเป็นปีที่มหัศจรรย์ที่สุดของ โชเซ่ มูริณโญ่เลยทีเดียว

แล้วคนที่ดับฝันโชเซ่ มูริณโญ่ก็คือ อันเดร เชฟเชนโก้ กับลูกโขกบ้าพลังหน้าเขตโทษของเขาในนาทีที่ 10



แม้ถ้วยนี้จะไม่ใช่ถ้วยที่คนให้ความสำคัญอะไรมากนัก แต่การพบเจอกันของโค้ชทั้ง 2 คนที่อยู่ในช่วงเนื้อหอมทั้งคู่ ถือเป็นไทม์ไลน์สำคัญในประวัติศาสตร์ฟุตบอลเลยทีเดียว






2004 : แชมป์ยุโรปครั้งแรกของ โชเซ่ มูริณโญ่


คุมทีมใหญ่ปีแรกได้แชมป์ลีก
ปีต่อมาได้แชมป์ยุโรป
ทำได้แบบผมบ้าง ?

นั่นคือสิ่งที่มูริณโญ่ทำได้ หลังจากเขาลั่นวาจาว่าจะพาปอร์โต้คว้าแชมป์ลีกในปี 2003 (2002-03) ซึ่งเป็นปีแรกที่เขาได้คุมทีมใหญ่ เขาก็ทำมันได้จริงๆ หลังจากพาปอร์โต้คว้าแชมป์และได้สิทธิ์ไปเล่นยูฟ่าแชมป์เปียนลีกส์ในฤดูกาลต่อมาคือ 2003-04 มันยิ่งบ้าเข้าไปใหญ่ เมื่อปอร์โต้ของโชเซ่ไปไกลถึงขั้น คว้าแชมป์ได้เลยทีเดียว

ถ้วยแชมป์ยุโรปถ้วยที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของ เอฟซี ปอร์โต้ หลังจากห่างหายแชมป์ไปนานถึง 17 ปี
แต่หลายคนก็บอกว่า ปีนี้มันเป็นปีแห่งโชคของมูริณโญ่ เพราะในปีนี้ หลายๆทีมดังต่างก็ไปตัดกันตั้งแต่รอบแรก รอบแรก ปอร์โต้ต้องชนกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน นั่นอาจะเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่ทั้งคู่ได้พบกันบนสนามแข่งขัน ก่อนที่เจ้าเด็กหน้าใหม่ โช่เซ่จะเอาชนะทีมของป๋ามาได้ด้วยผลประตูรวม 3-2 ผ่านเข้าไปเจอ "ลียง"

ในยุคนั้น ลียงกำลังผยองคนองเดช หากคุณยังพอจำได้ มันจะมีคำกล่าวที่ว่า "ลียงลงเป็นยิง" ในช่วงระหว่าง ฤดูกาล 2001-2008 7 ปีติดที่ลียงผูกปีแชมป์ถึง 7 สมัยติด ยังเป็นยุคต้นกำเนิดของมหาเทพเจ้าฟรีคิกแห่งยุค จูนินโญ่ แต่ทว่า ในแชมป์เปียนลีกปี 2004 เมื่อลียงต้องมาเจอปอร์โต้ แม้แต่จูนินโญ่ ก็ยังต้องพ่าย คาวัลโญ่ ในเกมที่ ปอร์โต้เจอกับลียงเล่นในบ้านปอร์โต้ ลียงเก็บสกอร์กลับไปไม่ได้เลย เป็นเดโก และ คาวัลโญ่ที่ยิงประตูให้ปอร์โต้นำ 2-0 ก่อนที่กลับไปเล่นในบ้านลียง จบสกอร์ด้วยผลเสมอ 2-2 แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับลียง "ลียงลงเป็นยิง" เจอปอร์โต้ของโชเซ่ เขี่ยตกรอบไปอีกทีม



ปอร์โต้กำลังเหิมเต็มที่ ในรอบรองชนะเลิศ เขาต้องไปเจอ ลาคอรุณญ่าที่โค่นยักษ์ใหญ่อิตาลีมาแล้ว 2 ทีมคือ ยูเวนตุสและมิลาน ในเลกแรก เกมของปอร์โต้ดูดีมากกว่า แต่ก็จบด้วยสกอร์ 0-0 ต้องไปชิงตั๋วไปรอบชิงชนะเลิศอีกครั้งที่ บ้านลาคอรุณญ่า ลาคอฯเสียจุดโทษให้ปอร์โต้ในท้ายเกม และนั่นก็เป็นประตูลงโทษจริงๆ เพราะลาคอรุณญ่าต้องตกรอบเพราะจุดโทษลูกนี้ ปอร์โต้ผ่านเข้าไปเจอ โมนาโกที่พึ่งโค่นยักษ์อย่างรีล มาดริด และ เชลซีมาเหมือนกัน

ผลนัดชิงชนะเลิศเป็นอย่างที่ทุกคนรู้กัน มันไม่มีดราม่าท้ายเกม หรือ ช่วงเวลาบีบคั้นหัวใจอะไรมากนัก ปอร์โต้ถล่มม้วนเดียวจบ เฟอร์นานโด มอริเอนเตสที่ว่าฮอตๆก็ยังเงียบกริบในนัดชิงกับปอร์โต้ จบเกม ปอร์โต้เอาชนะโมนาโก 3-0 คว้าแชมป์ยุโรปให้ปอร์โต้ได้ ในฤดูกาลที่ 2 ที่มูริณโญ่เข้ามาคุมทีม




นอกจากจะเป็นแชมป์ยุโรป ปอร์โต้ยังคว้าแชมป์ลีกติดต่อกันเป็นสมัยที่ 2
นาทีนั้น ไม่ว่ามูริณโญ่ต้องการอะไร สโมสรและแฟนบอลก็พร้อมจะยกมาประเคนให้จริงๆ
ปีนี้มิลานของคาร์โลตกรอบ 8 ทีมและทั้งโลก กำลังนั่งมอง โชเซ่ มูริณโญ่ โค้ชหนุ่มโปรตุกีสสีหน้ายโส ขึ้นรับถ้วยยุโรป ด้วยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม

"คุณทำได้แบบผมรึเปล่า?"






2005 : ฝันร้ายของคาร์โล การเสียแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกส์ใน 6 นาทีให้ Liverpool


ตอนที่คาร์โลมาถึงมิลาน
ฤดูกาลแรก เขาพาทีมจบที่ 4
ฤดูกาลที่สอง พาทีมจบที่ 3 และเป็นแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปียนลีกส์
ฤดูกาลที่สาม พาทีมเป็นแชมป์ลีก
ฤดูกาลที่สี่ พาทีมจบที่ 2 และได้รองแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปียนลีกส์ ด้วยเกมนัดชิงชนะเลิศ ที่ช็อคทั้งตุรกี ช็อคทั้งอิตาลี และ ช็อคไปโลก

หากคนบอกว่า ปีที่คาร์โลพามิลานไปคว้าแชมป์ยุโรปได้ตอนปี 2003 เขาต้องพึ่งทั้งความเก่งบวกความเฮง ด้วยผลสกอร์เสมอ 0-0 และฟอร์มทีมก็ไม่ได้โหดเหี้ยมดุร้าย เด็ดขาด แต่สุดท้ายกลับเฉือนเอาชนะยูเวนตุสได้ด้วยการดวลจุดโทษ คราวนี้มันก็เหมือนหนังม้วนเก่าที่วนมาฉายซ้ำ เพียงแต่มันเกิดขึ้นกับลิเวอร์พูลเท่านั้นเอง คราวนี้บทดราม่าน้ำตานองมันมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว

คาร์โลไม่ได้อธิบายหรือฟูมฟายถึงนัดนี้มากนัก เขาให้สัมภาษณ์ในปี 2014 ว่า หากให้เลือก 2 นัดในชีวิตการคุมทีมตลอด 800 นัดว่า หากจะมีนัดไหนที่เขาคิดว่า ทีมของเขาเล่นได้ดีมากๆที่สุดเท่าที่เคยเห็น มันก็คือนัดชิงชนะเลิศกับลิเวอร์พูลปี 2005 (แพ้ 3-2 ดวลจุดโทษ) และนัดรองชนะเลิศกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดปี 2007 (ชนะ 3-0)

"ฟุตบอลเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในบรรดาเรื่องไม่สำคัญทั้งหมดในโลกนี้"

เป็นคำอธิบายถึงเกมนัดหลังแพ้ลิเวอร์พูล เขาบอกว่า อันที่จริงแล้ว การแพ้หรือการตกรอบไม่ได้ทำให้โลกถล่มทลาย อย่างที่อธิบายไปข้างต้น อันที่จริง ฟุตบอลก็เป็นเพียงเรื่องไม่สำคัญอีกเรื่องบนโลกนี้ เพียงแต่บรรดาความไม่สำคัญทั้งหมด เราให้ความสำคัญกับมันมากที่สุดเท่านั้นเอง

"เรามีเกมครึ่งแรกที่เราคิดว่า เราคว้าชัยชนะได้เรียบร้อยแล้ว แต่ผมคิดว่ามันเป็นโชคชะตา คุณจะทำอะไรได้กับการที่เขาได้ 3 ประตูใน 6 นาทีล่ะ ไม่ว่าจะยังไง เราก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วในตอนนั้น"



คาร์โลปล่อยมันไป แต่เขาก็เก็บงำความแค้นไว้มากพอสมควร นี่เป็นการปราชัยที่ทำให้หลายคนน้ำตาตกใน ถ้วยเหมือนอยู่ในมือพวกเขาแล้ว แต่กลับถูกกระชากไป จำความพ่ายแพ้ครั้งนี้ไว้ให้ดี พวกเขาจะกลับมาทวงคืนอย่างแน่นอน

คาร์โลพลาดโอกาสในการชูถ้วยยุโรปหนที่สองไปอย่างน่าเสียดาย
แล้วโชเซ่คนดังแห่งโปรตุเกสตอนนี้ ชีวิตเขาไปถึงไหนแล้วนะ?




2005 : "โชเซ่ มูริณโญ่" เวลคัม ทู สแตมป์ฟอร์ดบริดจ์


ผู้จัดการทีมชาวโปรตุเกส เขาแฟนบอลลิเวอร์พูล และกำลังดังที่สุดในโปรตุเกส
ปอร์โต้คงเล็กเกินไปสำหรับฝีมือของเขาเสียแล้ว ถึงเวลาต้องออกเดินทางแล้ว

เป้าหมายของเขาคือ พรีเมียลีกส์อังกฤษ

ขณะนั้นมีหลายสโมสรที่โชเซ่สนใจ และ สนใจโชเซ่ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ท้าทายทั้งสิ้น และคนแบบโชเซ่ก็พร้อมจะพลิกประวัติศาสตร์ทีมใดๆก็ตามอยู่แล้ว แต่สุดท้าย เขาก็เลือก เชลซี ทีมเศรษฐีแห่งลอนดอนที่กำลังสร้างทีมใหม่ ด้วยนักธุรกิจชาวรัสเซียผู้เป็นแฟนบอลเข้าเส้น Roman Abramovich นอกจากวิสัยทัศทางธุรกิจของเสี่ยหมีโรมันจะโดนใจแล้ว ข้อเสนอและสภาพทีมของสโมสรก็ท้าทายฝีมือ โชเซ่มาก ที่สุดแล้วเขาก็เลือก "สแตมป์ฟอร์ดบริดจ์" เป็นฐานทัพแห่งใหม่

และกองกำลังมูริณโญ่ก็สร้างปาฏิหาริย์ได้จริงๆ



ตอนเขาย้ายมาเชลซี เขาพานักเตะจากปอร์โต้มาด้วย 2 คนคือกองหลังคู่ใจ ริคาโด้ คาวัลโญ่ และ เปาโล ฟาเรร่า รวมทั้งนักเตะที่ดูเหมือนจะเป็นแค่เพียงนักเตะที่น่าจับตามองในเวลานั้นอย่าง อาเยน ร็อบเบ จาก พีเอสวี ไอด์โฮเฟ่น และ ปีเตอร์ เช็ค จาก แรน ลีกระดับล่างในลีกเอิง ขณะนั้นปีเตอร์ เช็คยังเป็นเพียงผู้รักษาประตูดาวรุ่ง เขาย้ายมาเชลซีด้วยค่าตัวเพียง 7 ล้านปอนด์

อย่างไม่คาดฝัน "โชเซ่ มูริณโญ่" ชื่อของเขาสั่นสะเทือนไปทั้งวงการฟุตบอลทันที เมื่อสามารถพาเชลซีเถลิงแชมป์ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร และยังเป็นการเถลิงแชมป์ที่เอาชนะคู่แข่งร่วมเมืองอย่างอาร์เซนอลเสียด้วย นอกจากนั้นมันยังเป็นแชมป์ที่ตามมาด้วยสถิติที่สำคัญอีกมากมาย สถิติที่น่าสนใจคือ ตลอดฤดูกาลเชลซีแพ้ในเกมเยือนเพียงครั้งเดียว คือ แพ้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำสถิติ ไม่แพ้ในเกมในบ้านเลยสักเกมเดียวพาเชลซีคว้าแชมป์ด้วยด้วยสถิติ 29-8-1 แต้มสะสม 95 แต้ม เยอะที่สุดเท่าที่เชลซีเคยทำได้




ในปี 2005 (2004-05) แชมป์ลีกที่มูริณโญ่ทำได้ สะเทือนอังกฤษ และอาจสะเทือนไปทั้งยุโรปเช่นกัน แต่นี่เป็นเพียงช่วงต้นของการเดินทางไปสู่ระดับโลกของมูริณโญ่เท่านั้น

ขณะที่ปีเดียวกันคาร์โลพลาดแชมป์ยุโรปกับนักเตะชุดที่ดีที่สุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเอซีมิลาน
แต่คาร์โลเป็นพวกแค้นฝังใจ พวกเขาจะกลับมาอีกครั้งแน่นอน

ติดตามต่อกระทู้ 2 จ้า ..



แม้คาร์โล และ โชเซ่ จะแทบไม่ใช่คู่ปรับกันโดยตรง
แต่ทั้งคู่มีส่วนเกี่ยวพันธ์กันอย่างน่าประหลาดใจเลยทีเดียว

ติดตามต่อในตอนที่ 2 นะคะ
ตอนที่ 2 ช่วงไฮไลต์ที่เราชอบ น่าจะเป็นตอนที่ มูไปอินเตอร์-มาดริด
และ คาร์โลไปปารีสฯ ทั้งสองช่วงสนุกมากเลยค่ะ
พยายามจะรีบเขียนให้จบนะคะ ตอนนี้เอาไปอ่านแค่นี้ก่อน

ขอบคุณที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ค่ะ

https://www.facebook.com/poprockonfilm


Soure :

http://en.wikipedia.org/wiki/Silvio_Berlusconi
http://en.wikipedia.org/wiki/Carlo_Ancelotti
http://en.wikipedia.org/wiki/Jos%C3%A9_Mourinho
http://en.wikipedia.org/wiki/Filippo_Inzaghi
http://www.ft.com/cms/s/2/7e89c58e-7e45-11e3-b409-00144feabdc0.html#axzz3JDiVk03S
http://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-1323014/The-Matt-Lawton-interview-So-secrets-Carlo-Ancelottis-success.html
http://observer.theguardian.com/osm/story/0,,1270852,00.html
http://en.wikipedia.org/wiki/2003_UEFA_Champions_League_Final
http://en.wikipedia.org/wiki/2002%E2%80%9303_UEFA_Champions_League
http://en.wikipedia.org/wiki/2005_UEFA_Champions_League_Final#Second_half
http://en.wikipedia.org/wiki/2004%E2%80%9305_Chelsea_F.C._season#In


ลิ้งกระทู้

http://pantip.com/topic/33120307
แก้ไขล่าสุดโดย บุญคำ เมื่อ Mon Jan 19, 2015 07:04, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ออนไลน์
นักบอลลีกภูมิภาค
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 12363
ที่อยู่: ดาวโลก :]
โพสเมื่อ: Mon Jan 19, 2015 07:16
[RE: [THE MANAGER DIARY] 1982-2014 : Carlo Ancelotti vs Jose Mourinho ตอนที่ 1]
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
▶ Liverpool 7-0 Man United #05-03-2023
▶ #MUni7ed.​




ออนไลน์
ดาวเตะพรีเมียร์ลีก
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 13 Jul 2009
ตอบ: 14876
ที่อยู่: บนโลกที่ใดที่หนึ่ง
โพสเมื่อ: Mon Jan 19, 2015 07:22
[RE: [THE MANAGER DIARY] 1982-2014 : Carlo Ancelotti vs Jose Mourinho ตอนที่ 1]
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status: CFC
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 151
ที่อยู่: Stamford Bridge
โพสเมื่อ: Mon Jan 19, 2015 08:25
[RE: [THE MANAGER DIARY] 1982-2014 : Carlo Ancelotti vs Jose Mourinho ตอนที่ 1]
นั่งอ่านอยู่นานกว่าจะจบ อ่านง่าย+เพลินดีคับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
❤︎Today is Wendy❤︎"(allday)
ออฟไลน์
ซุปตาร์ฟุตบอลโลก
Status: ★ BE THE REASONSOMEONE SMILES TODAY ★ ❤ ʕ・ᴥ・ʔ
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 26 Dec 2009
ตอบ: 23610
ที่อยู่: ʕ•̫͡•ʔ ʕ•̫͡•ʔ Satisfied City ♥ Blissful Land ʕ•͓͡•ʔ•̫͡•ʔ
โพสเมื่อ: Mon Jan 19, 2015 08:51
[RE: [THE MANAGER DIARY] 1982-2014 : Carlo Ancelotti vs Jose Mourinho ตอนที่ 1]
อ่านมันส์เลยค่ะ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะหมู่บ้าน
Status: ทุกเวลา จงรู้สึก
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 May 2014
ตอบ: 674
ที่อยู่: ห้วงความรักในสูญญากาศ
โพสเมื่อ: Mon Jan 19, 2015 09:06
[RE: [THE MANAGER DIARY] 1982-2014 : Carlo Ancelotti vs Jose Mourinho ตอนที่ 1]
สุดยอด ขอบคุณกระทู้ดีๆแบบนี้ ติดตามๆ

ติดแผล่บไว้ก่อน พอดีแผล่บหมด
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน


ยิ้มตอนลำบาก เมื่อผ่านพ้นมาแล้วเราจะรู้ว่ายิ้มนั้นสวยงามเพียงใด
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 23 Nov 2014
ตอบ: 145
ที่อยู่: ดาวเหนือ
โพสเมื่อ: Mon Jan 19, 2015 21:17
ถูกแบนแล้ว
[RE: [THE MANAGER DIARY] 1982-2014 : Carlo Ancelotti vs Jose Mourinho ตอนที่ 1]
มีอีกไหม
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status: HELLO FROM THE OTHER SIDE
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 20 Apr 2009
ตอบ: 1217
ที่อยู่: This is Anfield *
โพสเมื่อ: Mon Jan 19, 2015 22:03
[RE: [THE MANAGER DIARY] 1982-2014 : Carlo Ancelotti vs Jose Mourinho ตอนที่ 1]
อ่านสนุกมากครับ ขนาดอักษรกำลังพอดี จัดหน้าได้สวย อ่านแล้วเพลินเลยย
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

ออฟไลน์
นักเตะเทศบาล
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 1151
ที่อยู่: Sir Matt Busby Way UK.
โพสเมื่อ: Tue Jan 20, 2015 16:07
[RE: [THE MANAGER DIARY] 1982-2014 : Carlo Ancelotti vs Jose Mourinho ตอนที่ 1]
ชอบอันเช่เพราะเหมือนเเกเป็นลูกศิษย์โดยตรงจากซาคคี่

ส่วนมู ถึงแม้จะเคยเรียนรู้งานจากบาร์ซ่าแต่สไตล์บอลแกไม่ได้มีสไตล์บาร์ซ่ามาเลยแม้แต่น้อย
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 16 Mar 2007
ตอบ: 81
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Jan 25, 2015 17:02
[RE: [THE MANAGER DIARY] 1982-2014 : Carlo Ancelotti vs Jose Mourinho ตอนที่ 1]
รอตอน2ครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status: GOD BLESS YOU
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 03 Mar 2015
ตอบ: 125
ที่อยู่: London,Milan
โพสเมื่อ: Thu Mar 05, 2015 03:41
[RE: [THE MANAGER DIARY] 1982-2014 : Carlo Ancelotti vs Jose Mourinho ตอนที่ 1]
ความรู้ทั้งน้านนนนน สุดยอดจ่ามู
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel