
ดูจากการยืนตำแหน่งของนักเตะแมนูหลังเริ่มเกมมาไม่กี่นาทีเราก็แทบจะบอกได้ทันทีว่ามูริญโญ่มาเพื่อหนึ่งคะแนนแน่
อาจจะไม่ใช่แค่เพราะมันเป็นสไตล์ที่เขาถนัดเวลาต้องออกไปเยือนทีมใหญ่ แต่ขณะเดียวกัน
ทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ก็แสดงให้เห็นมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามาคุมทีมว่าการเจอกับทีมที่เล่นลักษณะนี้ไม่เคยเป็นงานง่าย
ส่วนทางฝั่งลิเวอร์พูลดูผิวเผินจะเหมือนว่าคล็อปป์จะวางฟีร์มิโน่ทำหน้าที่เป็นศูนย์หน้าตัวเป้า โดยมีคูติญโญ่และซาล่าห์คอยสนับสนุน

มูริญโญ่ใช้เส้นแบ่งครึ่งสนามเป็นไลน์ในการไล่เพรสซิ่งกดดันนักเตะลิเวอร์พูล
สังเกตจังหวะที่คูติญโญ่ยังไม่เข้าแดนของแมนยู ทั้งยังและมาติชยืนจ้องอย่างเดียว โดยไม่เพรส
แต่ทันทีที่คูคิญโญ่ข้ามเส้นครึ่งสนามมา ทั้งสองคนรีบกรูกันเข้าไปบีบทันที

ทางด้านคล็อปป์ยังคงใช้ระบบ false nine สังเกตที่กราฟฟิคจะเห็นว่าคล็อปป์ให้ฟีร์มิโน่ถอยลงมาเชื่อมเกมจากแดนกลาง
ทิ้งซาล่าห์และคูติญโญ่ค้ำหน้า โดยเฉพาะในรายแรกที่คล็อปป์วางให้เป็นตัวหลักในการทำสกอร์วันนี้
ซาล่าห์จะลอยสูงคอยโจมตีโดยใช้การเลี้ยงตัดเข้าใน ส่วนคูติญโญ่จะยืนหุบเข้ามาเชื่อมเกมในแดนกลางสนามมากกว่า
ดูผิวเผินระบบนี้น่าจะสร้างสามประสานในแนวรุกที่ลงตัว มีตัวเชื่อมเกม
มีตัวที่ใช้ความเร็วในการโจมตี มีตัวเลี้ยงทะลุและเก็บจังหวะแถวสอง

นอกจากคูติญโญ่และซาล่าห์ ตลอดทั้งเกมจะสังเกตเห็นว่าไวนัลดุมเป็นอีกคนที่คล็อปป์มอบหมายหน้าที่ในการเติมเกมขึ้นไปช่วย
สามประสานแนวรุก
จากกราฟฟิกจะเห็นฟีร์มิโน่ที่ถอยลงมาต่ำแทบจะยืนไลน์เดียวกับเฮนโด้และชาน ซาล่าห์ค้ำสูงทางด้านขวา
คูติญโญ่ยืนต่ำกว่าและหุบเข้ากลางเล็กน้อย และมีไวนัลดุมดันขึ้นมาช่วยตัวรุกอีกคน

เหตุผลนึงที่ทำให้คล็อปป์ชื่นชอบการใช้ฟีร์มิโน่ในตำแหน่งศูนย์หน้ามากกว่าสเตอร์ริดจ์
ทั้งที่ฟีร์มิโน่แทบจะเทียบสเตอร์ริดจ์ไม่ได้เลยทั้งในแง่ของการจบสกอร์และสัญชาตญาณศูนย์หน้า
น่าจะเป็นเหตุผลทางด้านแทคติกที่คล็อปป์ต้องการเล่นแบบ False nine เพื่อให้มีคนมาเชื่อมเกมเพิ่มอีกคนนึง
แต่คำถามคือจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องใช้ศูนย์หน้าอีกหนึ่งคน มาช่วยเฮนเดอร์สันและชาน เชื่อมเกม?
จากกราฟฟิกข้างต้นเป็นจังหวะที่ลิเวอร์พูลตัดบอลได้ และใช้เกมโต้กลับเร็ว ซึ่งเป็นอาวุธที่ทีมของคล็อปป์ถนัดที่สุด
จะเห็นว่าแนวรับแมนยูไม่ได้เหนียวแน่นอะไร มีพื้นที่ให้เล่นมากมาย โดยเฉพาะจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือพื้นที่ระหว่างแบ็กโฟร์
แต่ฟีร์มิโน่ไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะมีส่วนร่วมใดๆกับเกมโต้กลับ ไวนัลดุมกำลังเติมขึ้นมาช่วยตามแทคติก แต่ยังไม่เร็วพอที่จะอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ
ทางเลือกเดียวของซาล่าห์คือออกบอลให้คูติญโญ่ ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งที่จะเล่นได้เปรียบมากนัก
และเมื่อคูติญโญ่ได้บอล พื้นที่ตรงกลางที่เคยเปิดกว้างก็ถูกปิดจนหมด และลิเวอร์พูลก็เสียบอล

การถอยศูนย์หน้าลงไปช่วยแดนกลางเชื่อมเกม ทำให้แดนหน้าต้องเจอกับงานที่ยากลำบากขึ้นมาก กราฟฟิกจังหวะบุกข้างต้นจะเห็นว่าคูติญโญ่มีทางเลือกในการจ่ายบอลแค่ทางเดียว ก็คือให้กับไวนัลดุม
และไวนัลดุมก็ไม่เหลือทางเลือกอื่น นอกจากคืนให้กับคูติญโญ่ในจังหวะต่อเนื่องถัดมา
แต่ด้วยอะไรก็ตามแต่ เขาตัดสินใจเก็บบอลไว้กับตัว แทนที่จะให้คูติญโญ่ที่สอดขึ้นมาและกำลังขอบอล
ภาษากายของคูติญโญ่น่าจะพูดแทนความรู้สึกของเขาทุกอย่าง

จังหวะบุกอีกครั้งของลิเวอร์พูล ลักษณะเดียวกับจังหวะก่อนหน้า คูติญโญ่โดดเดี่ยวในแดนกลาง ไวนัลดุมโดดเดี่ยวในแดนหน้า
และฟีร์มิโน่ที่ไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะเล่นเกมรุกได้

จังหวะบุกอีกครั้งของลิเวอร์พูล โมเรโน่บอมบ์เข้าไปในเขตโทษ ให้ซาล่าห์ที่อยู่คนเดียว สู้กับแนวรับแมนยู 4 คน

จังหวะที่ฟีร์มิโน่ตัดสินใจวิ่งอ้อมหลังแนวรับของแมนยู ซึ่งเป็นไลน์การวิ่งที่แปลกมาก
เนื่องจากศูนย์หน้าอาชีพจะต้องรู้ว่าการวิ่งไลน์แบบนี้ ร้อยทั้งร้อย ต้องล้ำหน้าแน่นอน
และเมื่อคูติญโญ่ที่ทำเกมขึ้นมา และโดดเดี่ยวในแดนกลาง แทบไม่มีทางเลือกนอกจากจ่ายให้ฟีร์มิโน่ที่อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า
ไม่ต้องพูดถึงการหลุดเข้าไป 1-1 แล้วยิงตรงตัวเดเกอา

จริงอยู่ที่ลิเวอร์พูลเหนือกว่าทั้งในแง่ของการครองบอลและโอกาสทำประตู แต่ปัญหาคือโอกาสทำประตูทั้งหมด
มีกี่ครั้งกันที่เป็นจังหวะที่ใกล้เคียงจะได้ประตูจริงๆ?
ทีมจำเป็นต้องใช้ false nine สละตัวรุกหนึ่งคน เพื่อเอาลงมาเชื่อมเกมกับมิดฟิลด์สองคน
และใช้มิดฟิลด์ที่ไม่ได้โดดเด่นเรื่องการยิงประตู วิ่งสอดขึ้นไปแทนศูนย์หน้าที่ลงมาต่ำจริงๆหรือ?
โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ทีมมีศูนย์หน้าธรรมชาติถึงสองคน แต่ทั้งสองคนกลับได้โอกาสแค่คนละไม่ถึงสิบนาที
อีกประเด็นที่น่าสนใจแต่ยังไม่ได้พูดถึงในวันนี้คือการออกบอลของมิดฟิลด์ทั้ง 3 คน
่่ค่อนข้างชัดเจนว่าทั้ง 3 คนถูกใบสั่งมา ให้ออกแต่บอลสั้นเท่านั้น เพราะทั้งเกม(และหลายๆเกมก่อนหน้านี้) เราจะเห็นมิดฟิลด์ลิเวอร์พูลออกบอลยาวน้อยมาก
ทั้งๆที่ว่ากันตามเนื้อผ้า จากฤดูกาลก่อนๆเฮนเดอร์สันเองก็เป็นคนที่ชอบออกบอลยาวอยู่แล้ว แต่มาฤดูกาลนี้ค่อนข้างชัดเจนว่าน่าจะโดนใบสั่งมาให้จ่ายสั้น เช่นเดียวกับไวนัลดุมและชาน ที่จะเล่นค่อนข้างเซฟ
ซึ่งนี่อาจจะเป็นเหตุผลนึงที่คล็อปป์ต้องการ false nine เพื่อมารับบอลจากแดนกลาง (ที่ถูกสั่งไม่ให้ออกบอลยาวขึ้นหน้า)
สอดคล้องกับเวลาสเตอร์ริดจ์ที่เป็นสไตล์หน้าเป้าอาศัยจังหวะฉาบฉวย ถูกเปลี่ยนตัวลงมามักจะมีส่วนร่วมค่อนข้างน้อย
ฤดูกาลที่แล้วคล็อปป์คงได้พิสูจน์ตัวเองไปพอสมควรในแง่ของอีโก้ ที่ไม่ยอมเปลี่ยนอะไรง่ายๆ
ตั้งแต่การไม่เสริมทีมแม้ว่าม้านั่งสำรองจะมีแต่ดาวรุ่ง การปล่อยซาโก้ทั้งๆที่ทีมมีปัญหาแนวรับแทบจะตลอดฤดูกาล
การดัันทุรังปั้นโอริกี้ ทั้งๆที่สเตอร์ริดจ์พิิสูจน์ให้เห็นหลายต่อหลายครั้งว่าลงมาไม่กี่นาทีก็สามารถสร้างความแตกต่างได้มากกว่า
ฤดูกาลนี้เราคงต้องลุ้นกันต่อว่าคล็อปป์จะดันทุรังใช้แทคติกนี้ไปถึงเมื่อไหร่