LIVERPOOL VS TOTTENHAM
เกมระหว่างลิเวอร์พูลและสเปอรส์เป็นเกมที่นักวิเคราะห์ฟุตบอลให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
ไม่ใช่แค่เพราะมันเป็นการพบกันระหว่างทีมระดับ Top Six
แต่เพราะด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดันจนทำให้ทั้งสองทีมกลายเป็นทีมที่เล่นเกมเพรสซิ่งได้ดีที่สุดเวลานี้
ลูกทีมของคล็อปป์ยังควานหาชัยชนะแรกของปี 2017 ไม่เจอ และฟอร์มการเล่นที่ตกลงเรื่อยๆทำให้ทีมของเขาหล่นจากอันดับสองมาอยู่อันดับหกทันที ขณะทีปอเชตติโน่ยังไม่แพ้ใครใน 9 นัดหลังสุดและได้กลายเป็นผู้ท้าชิงแชมป์อันดับหนึ่งกับเชลซีเป็นที่เรียบร้อย

สเปอรส์ล้มเหลวในการขึ้นเกมจากแดนหลัง
ในมุมมองของนักวิเคราะห์แท็คติกต้องบอกว่าปอเชตติโน่เลือกใช้วิธีเล่นที่ค่อนข้างเหนือความคาดหมาย โดยเลือกที่จะเล่นรูปแบบเดิมคือใช้การต่อบอลขึ้นเกมจากแดนหลัง ที่เหนือความคาดหมายก็เพราะเมื่อลองดูตัวอย่างทีมต่างๆที่สามารถเอาชนะทีมของคล็อปป์ได้นั้น ไม่มีทีมไหนใช้วิธีการเล่นแบบนี้เลย

เทียบกับทีมอื่นๆในพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลของเจอร์เก้น คล็อปป์เป็นทีมที่เปิดโอกาสให้คู่แข่งได้ง้างเท้ายิงน้อยที่สุดในลีก และเป็นหนึ่งในทีมที่มีอัตราการ tackle มากที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็เป็นทีมที่เล่นลูกกลางอากาศได้แย่ที่สุดทีมนึงในลีกเช่นกัน

ผู้จัดการทีมต่างรู้ดีว่าจุดเด่นและเครื่องหมายการค้าของคล็อปป์คือการเพรสซิ่ง ทำให้หลายทีมเลือกใช้วิธีการรับลึกและใช้บอลไดเร็กเพื่อ bypass แดนกลางของลิเวอร์พูล
จากนั้นโจมตีแนวรับด้วยลูกกลางอากาศ ซึ่งหลายต่อหลายทีมได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันได้ผลเพียงใด


จังหวะทีสเปอรส์พยายามขึ้นเกมจากญอริส นักเตะลิเวอร์พูลจะปล่อยให้คู่เซ็นเตอร์ทั้ง ไดเออร์และ อัลเดอร์ไวเรลว่าง เพื่อหลอกล่อให้ญอริสปล่อยบอลมาที่เซ็นเตอร์แบ็ก ก่อนปีกฝั่งที่อยู่ใกล้บอลจะทำการเพรสซิ่งบีบพื้นทีโดยการปิดช่องไม่ให้ออกบอลไปที่ฟูลแบ็กได้โดยง่าย
ฟีร์มิโน่จะขยับถอยลงต่ำเพื่อปิดพื้นที่ไม่ให้คู่กลางของสเปอรส์ลงมาล้วงเอาบอลได้โดยง่าย ขณะที่ปีกฝั่งที่อยู่ไกลบอลกว่าจะหุบเข้ากลางเล็กน้อยเพื่อช่วยปิดพื้นที่ตรงกลาง

ทั้งหมดทั้งมวลจะช่วยบีบให้สเปอรส์ต้องออกบอลเปลี่ยนแกนไปที่แบ็คฝั่งตรงข้าม ที่
เหลือจะเป็นหน้าที่ของแดนกลางลิเวอร์พูล ทั้งลัลลาน่า เฮนโด้และไวนัลดุมที่จะช่วยกันเข้าบีบพื้นที่ ให้แบ็คของสเปอรส์ที่ได้บอลต้องเล่นในพื้นที่แคบมากๆ

ในกรณีที่สเปอรส์สามารถพาบอลทะลุผ่านแนวเพรสซิ่งมาถึงเดมเบเล่หรือวานยาม่าได้ ก็ยังต้องเจอกับแนวเพรสที่สองจาก ลัลลาน่า ไวนัลดุมและเฮนโด้ เห็นได้จากการที่ทั้งสองคคนโดนบีบต้องจ่ายบอลคืนหลังบ่อยครั้ง

ด้วยแนวทางการเพรสซิ่งแบบนี้ทำให้สเปอรส์ต้องถ่ายบอลกลับไปกลับมาในแดนตัวเองบ่อยครั้ง และในขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มโอกาสของที่จะถูกลิเวอร์พูลตัดบอลในแดนตัวเองยิ่งขึ้น


จังหวะก่อนได้ประตู 2-0 สังเกตพื้นที่ไฮไลต์สีเข้ม จะเห็นว่านักเตะสเปอรส์ถูกเพรสซิ่งจนต้องเข้าไปเล่นในพื้นที่แคบมากๆ จนเสียบอลในที่สุด จะเห็นว่าคล็อปป์ตั้งใจทิ้งมาเน่ไว้เพื่อการโต้กลับโดยเฉพาะ


ความพยายามของปอเชตติโน่ที่จะเจาะตรงกลางให้ได้ กลายเป็นการเปิดพื้นที่ด้านข้าง โดยเฉพาะทางกราบซ้าย ให้มาเน่และไคลน์มีพื้นที่เล่นจำนวนมาก

COUNTER ATTACK
ทั้งสองประตูของลิเวอร์พูลเริ่มต้นจากการตัดบอลได้ ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจคือวิธีการที่นัดเตะลิเวอร์พูลใช้ในการแย่งบอล
หลายต่อหลายครั้งที่เราได้เห็นลูกทีมของคล็อปป์ใช้วิธี Blind side pressing (เข้าแย่งบอลจากตำแหน่งที่คู่แข่งมองไม่เห็น) ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างหนัก ทำลิเวอร์พูลสามารถแย่งบอลได้ขณะที่คู่แข่งยังไม่ทันตั้งตัว และสามารถเปลี่ยนจากรับเป็นรุกได้อย่างรวดเร็ว


จังหวะก่อนขึ้นนำ 1-0 วานยาม่าได้บอลกลางสนาม สังเกตฟีร์มิโน่ที่กำลังเข้าแย่งบอลจากด้านหลัง (blind side) และเฮนโด้ที่กำลังเข้าแย่งจากด้านหน้า



สเปอรส์ล้มเหลวในการพาบอลทะลุแดนกลางของลิเวอร์พูล ก่อนจะถูกลงโทษด้วย killer pass ของไวนัลดุม สังเกตพื้นด้านหลังปริมาณมาก ต่อให้เบน เดวีส์ออกตัวก่อนและอยู่ด้านหน้ามาเน่ พื้นที่ขนาดนี้ก็ยังมากเกินไป

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือวิธีการวิ่งตัดหลังแนวรับของแนวรุกลิเวอร์พูล ตลอดทั้งเกมเราจะเห็นทั้งฟีร์มิโน่และมาเน่พยามวิ่งตัดแนวรับสเปอรส์อยู่ตลอด บีบให้แบ็กโฟร์ของปอเชตติโน่ต้องยืนชิดกันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดพื้นที่ทางกราบขวาของสนาม ให้มาเน่และไคลน์วิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน

LIVERPOOL 2 - 0 TOTTENHAM
ความพ่ายแพ้ต่อลิเวอร์พูลครั้งนี้ปอเชตติโน่คงต้องเก็บไปทบทวนอย่างหนักถึงแนวทางในการเตรียมทีมของเขา ไม่ว่าจะด้วยทิฐิหรือความประมาท การบุกมาเยือนแอนฟิลด์ด้วยแนวทางการเล่นที่เหมือนไม่ได้ทำการบ้านมาก่อนเช่นนี้เป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจได้ ขณะเดียวกันสำหรับคล็อปป์แม้ว่าการเอาชนะทีมที่กำลังร้อนแรงสุดๆอย่างสเปอรส์ได้จะเพิ่มขวัญกำลังใจให้ทีมของเขาได้อย่างมาก แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าปัญหาในการรับมือลูกกลางอากาศของพวกเขาไม่ได้รับการแก้ไขในช่วงตลาดที่ผ่านมา มันยังมีอยู่แน่นอน เพียงแต่ยังไม่ถูกทดสอบในเกมนี้เท่านั้นเอง
******************************************************************************************

ข้อมูลจาก
Artikel von JD, Spielverlagerung
Whoscored
Squawka Football

ผมเชื่อว่าถ้าสองคนนั้นไม่เจ็บ พอชก็จะไม่เล่นแผนแบบวันนั้นหรอกครับ น่าจะเริ่มเกมด้วย 3-4-3 ชอบตอนเสปอร์เล่นแบบนี้มากเลย เจอทีมใหญ่ในลีกผมว่าชนะได้หมดอ่ะ สเปอร์ฤดูกาลนี้วิงแบ็คมีส่วนสำคัญมากเลยทั้งสองข้าง เสียดายที่ตัวชอบเจ็บ ตอนนั้นที่ฟอร์มเป๋ก็โทบี้เจ็บ พอกลับมาได้ก็ฟอร์มดี โค้ชเลือกเล่นหลังสามในนัดที่ต้องการได้ พอมาตอนนี้แฟทองเก้นสลับไปเจ็บแทนซะและ

เยี่ยมยอด ได้เห็นอะไรที่นอกเหนือจากที่ผมคิดนิดนึง

ระหว่างดูเกมส์ผมก็คิดนะ เอาง่ายๆ ถ้าใครได้ดูเกมส์เต็ม 90 นาที

ถ้าไม่บอกนี่นึกว่าศึกกลางเวหา เล่นบอลโยนกันเยอะมากทั้งสองทีม (แต่ลิเวอร์พลูทำได้ดีกว่า)

แล้วก็ไม่แน่ใจว่าเห็นเหมือนกันไหมว่าหงส์ เอานักเตะไปยืนหลอกห้อยโด่งไว้ (เป็นตำแหน่งล้ำหน้า)

ซึ่งตามที่บทความด้านบนวิเคราะห์ ไอ้ตัวเนี้ยโคตรมีประโยชน์ในการเล่นเกมส์ต่อจากการบีบแย่งบอล




เวรรรร ดูสดก็ว่าไลน์สเปอร์สดันสูงแล้วนะ พอมาเจอภาพนิ่งนี่สู๊งงงงสูงง

เอาจริงๆไก่ก็ขึ้นเกมส์ เซตเกมส์มาจากแนวหลังตลอดอยู่ละครับ

ไม่ได้ว่าผิดพลาดอะไรหรอก แต่มาเจอพายุไซโครนเข้าไป ระบบรวนเลย

ซึ่งไก่เป็นทีมที่จะใช้เวลาเซตตัวก่อน เริ่มด้วยจากครองบอลให้ได้มากที่สุด จ่ายไปมาหาช่อง

จากนั้นถึงจะครองเกมส์โดยสมบูรณ์ แต่มันสายไปหน่อย ครึ่งหลังตั้งตัวได้นิด อย่างน้อยไม่เสียเพิ่ม

เนี่ย ทำไมเวลาเจอทีมเล็ก มันไม่ได้บี้สุดขนาดนี้
เจอทีมเล็กคือบี้กลางๆ แล้วก็ปล่อยเขาวิ่ง

แต่นัดนี้คือ ไล่บอลกันสุดมาก คือรับรู้ได้ถึงความกระหายชัยชนะจริงๆ
ถ้าเล่นได้แบบนี้ทุกนัด ท็อปโฟรไม่ไปไหนหรอก

มีสาระ

ทีมเล็กเค้าอาจไม่ได้เล่นแบบสเปอร์สรึป่าว ส่วนใหญ่น่าจะตั้งรับรอสวนกลับ แบบนี้ก็ลิเวอร์พูลก็ได้ครองบอลอยู่แล้ว

แล้วก็อย่างที่ในบทความบอก พวกทีมเล็กเล่นบอลไดเร็กข้ามกองกลางของลิเวอร์พูลเลย เพรสซิ่งก็เลยใช้ไม่ได้

สรุปว่าแบบนี้เรียกบอลระบบ

หรือแค่บอลฉาบฉวยครับ

เเสดงว่าถ้าโปเชตติโน่เล่นบอลDirectผลอาจจะไม่เป็นอย่างนี้
คือการเลือกเซตบอล ถ้าโดนเพลสเเล้วอีกฝ่ายเป็นฝ่ายชนะ จะโดนลงโทษทันที อย่างที่เห็น
เท่าที่ผมดูเคนเองโดนซ้อนตลอด เพราะการต่อบอลกว่าจะไปถึงหน้าได้เเต่ละครั้ง กองหลังลิเวอร์พูลก็ถึงตัวเเล้ว
ถ้าสังเกตทีมเล็กๆจะไม่พยายามต่อบอลมากจนเกินไปจนคู่เเช่งจะตัดได้เพื่อโต้

เห็นด้วยเลยท่าน พอเซทไม่ได้ แดนกลางทั้งเดมเบเล่ กับ วานยาม่าโดนบีบเร็วนี่จบเลย
ถึงแม้ครึ่งหลังจะพอตั้งตัวได้หน่อยแต่ก็ไม่คมกันอีก 5555

นัดเจอซิตี้ก็พลาดบ่อยแต่ก็ยังเสมอได้

เห็นด้วยกับบทความนี้อย่างยิ่ง....

ที่น่าเป็นห่วงก็คือ..ปอเช็ตติโน่ ยังเอาแต่โทษนักเตะ...ไม่รู้ตัวว่าต้วเองวางหมากผิดตั้งแต่แรก
ยังคิดว่าผิดพลาดทางทัศนคติอยู่อีก...

ตัวอย่างก็มี ไม่รู้จักนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์
สุดท้ายก็พัง เพราะความประมาทคู่แข่งขัน และถือดีในทีมตนเองเกินไป

ระบบแบบฉาบฉวย

อาจด้วยพอช อยากลองในใจ อยากเอาชนะนั่นละครับ

พอพลาดมาเลยกลายเป็นผิดพลาดไป (ส่วนตัวผมว่าแกไม่ชอบอุดแหละ เล่นแบบเดิม ไม่ยืดหยุ่น)

พอเจอเพรสเร็วของหงส์ และเปลี่ยนรับเป็นรุกในทันทีทันใด บวกกับหลังลอยสูง

มันก็เลยโดนแทงวิ่งๆ หลุดอยู่ตลอดเลย ทีนี้ก็ไม่ยอมปรับให้รับลึก

ก็ยังลอยสูงอยู่มันตลอดครึ่งแรก อีกอย่างแกปรับแทคติคที่กำลังพีคๆตอนเจอทีมใหญ่พอดี

นักเตะเคยชินก็เลยยืนตำแหน่งไม่ถูกกันด้วยครับ ส่วนนึง

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ
พอชพลาดจริงๆทั้งที่น่าจะรู้ว่าลิเวอร์พูลอยากชนะมากแค่ไหน ต้องวิ่งไล่บี้อยู่แล้ว
ทีมเล็กกว่าแสดงวิธีเอาชนะให้เห็นแล้ว แต่พอชดื้อไปหน่อย
ผิดเป็นครูแล้วกัน

มั่นใจว่าจะ outplay หงส์ได้ แต่มันทำไม่ได้ไง