การรับการมาเยือนของพาเลซไม่เคยเป็นงานง่ายของลิเวอร์พูล โดยเฉพาะ 2 ครั้งหลังสุดที่พพาเลซสามารถบุกมาชนะได้ทั้ง 2 ครั้ง
วันนี้ลิเวอร์พูลมาในแผนการเล่น 4-3-3 เช่นเคย ส่วนบิ๊กแซมจัดแผน 4-1-4-1 เน้นตั้งรับและโต้กลับ
ว่ากันตามตรง ความพ่ายแพ้ของลิเวอร์พูลในครั้งนี้ก็ไม่ได้เกิดจากการวางแทคติคผิดพลาดซะทีเดียว แต่การที่นักเตะหลาบคนไม่สามารถเค้นฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดออกมาได้ก็มีส่วนมากเช่นกัน
สถิติเปรียบเทียบการยิงประตู ลิเวอร์พูลมีโอกาสยิงทั้งหมด 14 ครั้ง เข้ากรอบครั้งเดียว คือฟรีคิกของคูตินโญ่ ส่วนพาเลซ มีโอกาสยิงเพียงครึ่งเดียวของลิเวอร์พูล แต่เข้ากรอบถึง 3 ครั้ง
มาดูวิธีการจ่ายบอลเข้าสู่พื้นที่สุดท้ายของทั้งสองทีม จากกราฟฟิคจะเห็นว่า ทีมของคล็อปป์ใช้เวลาป้วนเปี้ยนอยู่นอกกรอบเขตโทษค่อนข้างมาก แต่การเจาะเข้าเขตโทษยังขาดความแม่นยำ
ส่วนพาเลซจะเห็นว่า บิ๊กแซมเลือกใช้บอลไดเรค เพื่อข้ามแนวเพรสซิ่งของลิเวอร์พูล ไปยังพื้นที่ว่างในแดนสุดท้าย ทำให้ตลอดทั้งเกมเราเห็นจังหวะ เกเก้นเพรสซิ่งของลิเวอร์พูลน้อยมาก เป็นผลให้เกมรุกของลิเวอร์พูลแทบจะตันไปเลย
ขณะที่พาเลซก็สามารถใช้โอกาส โดยเฉพาะพื้นที่จากแบ็คสองข้างของลิเวอร์พูลที่มักจะลอยสูงตลอด
ทีนี้ลองเจาะรายละเอียดของทิศทางการขึ้นเกมบุกของลิเวอร์พูลมากขึ้น ผมเลือกตัวอย่างจากครึ่งหลังถึงครึ่งทางของครึ่งหลัง จะเห็นว่าเมื่อบอลออกไปทางมิลเนอร์ มักจะจบด้วยการที่มิลเนอร์ต้องล็อคเข้าขวา และเมื่อไม่มีมุมเปิด ก็จะเคาะบอลกลับเข้ากลาง แล้วก็ค่อยๆลำเลียงบอลออกไปทางขวา เมื่อไคลน์สอดขึ้นมา ซึ่งจะเป็นลักษณะนี้อยู่หลายครั้ง
ว่ากันตามตรงเกมรับของพาเลซไม่ได้เหนียวแน่นอะไรเลย โดยเฉพาะทางฝั่งของ เจฟฟรี่ย์ ชลุปป์ ที่เปิดโอกาสให้ไคลน์ได้สอดขึ้นมาเปิดหลายต่อหลายครั้ง
จังหวะนี้จะเห็นการเคลื่อนที่ของฟีร์มิโน่ที่ขยับออกไปทางกราบขวา ทำให้เจฟฟรี่ย์ ชลุปป์สับสนว่าจะประกบใครดี จนเปิดช่องให้ไคลน์สอดขึ้นไปได้
จังหวะนี้เป็นการประสานงานอีกครั้งของฟีร์มิโน่และไคลน์ ปัญหาจริงๆของลิเวอร์พูลไม่ใช่การเข้าทำ แต่เป็นความเด็ดขาดในพื้นที่สุดท้าย ที่โดยเฉพาะไคลน์ซึ่งแนวรับพาเลซเปิดพื้นที่ให้สอดเข้าไปเล่นหลายต่อหลายครั้งแต่เขากลับเปิดแทบจะไม่เข้าเป้าเลย
ซึ่งส่วนนึงก็ต้องยกความดีความชอบให้กับการวางแทคติคของบิ๊กแซม ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป
ทางฝั่งซ้ายบ้าง จังหวะนี้คูตินโญ่ตัดเข้ากลาง ดึงตัวประกอบเพื่อเปิดพื้นที่ให้มิลเนอร์สอดขึ้นมา ก่อนจะตอกส้นไปยังพื้นที่ว่าง สังเกตนักเตะลิเวอร์พูล 3 คนยืนโล่งๆ ไร้การประกบ
แต่ปัญหานึงของมิลเนอร์คือเขาไม่ใช่แบ็คซ้ายธรรมชาติ และจังหวะที่ต้องเปิดด้วยเท้าซ้ายแบบนี้ แน่นอนว่าลูกนี้(และอีกหลายครั้ง) ติดบล็อค
สังเกตการวางตำแหน่งของคล็อปป์ ช่วงขึ้นเกมบุกลิเวอร์พูลจะยืนตำแหน่งแบบ 3-6-1 โดยให้แบ็คทั้งสองข้าง ฉีกออกไปสุดริมเส้นทั้งสองฝั่ง ซึ่งการวางตำแหน่งแบบนี้มีประโยชน์คือ 1) เมื่อแดนกลางแน่นมากๆ เพื่อนสามารถถ่ายบอลออกไปริมเส้นซึ่งมีความหนาแน่นน้อยกว่าได้โดยง่าย 2) เมื่อไหร่ก็ตามที่แนวรับฝั่งตรงข้าม 'เผลอ' ฉีกออกมาประกบแบ็คที่ยืนแทบชิดริมเส้น พื้นที่ตรงกลางจะเปิดทันที่ ทำให้นักเตะอย่าง ฟิร์มิโน่ คูตินโญ่ สามารถสอดเข้าไปใช้พื้นที่ตรงนั้นได้
แต่ต้องยกเครดิตให้บิ๊กแซมที่ติวแนวรับมาอย่างดี เพราะแทบทั้งเกม เราไม่เห็นแนวรับพาเลซพลาดเปิดพื้นที่ตรงกลางเลย
อีกครั้งที่ชลุปป์หลุดตำแหน่ง เปิดช่องให้ลิเวอร์พูลเข้าใช้พื้นที่ด้านริมเส้น แต่คราวนี้สังเกตพื้นที่ตรงกลางที่ยังคงแน่นหนามาก มีนักเตะลิเวอร์พูล 3 คน เทียบกับแนวรับพาเลซถึง 5 คน
ลำพังการเปิดให้เข้าเป้าอาจจะเป็นปัญหานึงของลิเวอร์พูล แต่วินัยเกมรับก็เป็นสิ่งที่บิ๊กแซมควรได้เครดิตเช่นกัน
อีกครั้งที่ลิเวอร์พูลบุกขึ้นมาทางขวา และสังเกตพื้นที่ตรงกลางของพาเลซ
ทีนี้ลองเปรียบเทียบกับจังหวะที่ลิเวอร์พูลเสียประตูกันบ้าง จะเห็นว่าแผงแบ็คโฟร์ของคล็อปป์ 'หลงกล' แบบหัวทิ่ม เมื่อแนวรุกพาเลซ 4 คน ใช้แทคติคคล้ายๆกัน ยืนห่างเพื่อฉีกแนวรับของลิเวอร์พูล
ผลที่เกิดขึ้นคือแผงหลังของหงส์แดง ยืนห่างตาม สังเกตพื้นที่ระหว่างแนวรับแต่ละคนนั้นกว้างมาก กว้างเกินกว่าที่ถ้ามีแนวรุกพาเลซคนไหนสอดขึ้นมาแล้ว แนวรับลิเวอร์พูลจะเข้าไปจัดการได้ทัน
และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ เพื่อกาบายสอดขึ้นมา ลอฟเรนอยู่ห่างเกินไปที่จะเข้าไปบังได้ทัน บวกกับพื้นที่ด้านหลังที่เหลืออยู่ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะตามกาบายได้ทัน
เช่นเดียวกับที่ฝั่งหนึ่ง ที่เบนเทเก้สอดขึ้นมา ยากมากที่แนวรับที่ยืนห่างกันขนาดนี้จะป้องกันแนวรุกที่มีความเร็วมากกว่าได้
นอกจากปัญหาการขึ้นเกมจากด้านข้างที่ไร้ประสิทธิภาพของลิเวอร์พูล บอลทะลุช่องของลิเวอร์พูลก็แทบทำอะไรแนวรับพาเลซไม่ได้
จังหวะนี้สมมติโอริกี้พร้อมที่จะออกตัววิ่ง และสมมติว่าเขาสามารถแซงโจเอล วอร์ดได้ ก็ยังต้องเจอด่านที่สอง ที่มีโอกาสสูงที่จะมาซ้อนได้ทัน
แต่ในความเป็นจริงคือโอริกี้เป็นศูนย์หน้าที่มีปัญหาในการยืนตำแหน่ง ตลอดทั้งเกมเขาไม่อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบที่่จะเล่นบอลทะลุช่องได้เลย
ไม่รู้ว่าด้วยแทคติคคล็อปป์หรืออะไร แต่เขามักจะฉีกตัวมายืนริมเส้น และพยายามใช้ความสามารถเฉพาะตัวแหวกผ่านแนวรับคู่แข่ง
จังหวะเสียประตูที่สองจากลูกเตะมุม ถ้าติดตามดูลิเวอร์พูลจะเห็นว่ามักจะใช้แทคติคนี้ในการรับมือกับลูกเตะมุม คือตั้งโซนแนวรับไว้หน้ากรอบ 6 หลา แล้วก็จัดคนไปประกบตัวนักเตะอื่นๆ ในกรอบ 18 หลา
ซึ่งก็เป็นรูปแบบที่หลายทีมใช้ แต่ปัญหาของลิเวอร์พูลอาจจะไม่ใช้ระบบ แต่เป็นนักเตะ จังหวะนี้สังเกตชานที่ประกบเบนเทเก้ตั้งแต่แรก
แต่ความผิดพลาดคือ 1) เขาละสายตาจากเบนเทเก้ และ 2) เขาปล่อยให้เบนเทเก้ไปอยู่ด้านหลังโดยไม่ได้ประกบไว้ให้ดี และแน่นอนว่าทันทีที่คุณปล่อยนักเตะอย่างเบนเทเก้หลบไปอยู่ด้านหลังโดยไร้การประกบได้นั่นคือ Game Over
อีกคนที่มีควรมีส่วนรับผิดชอบในการเสียประตูนี้คือแนวรับในโซนกรอบ 6 หลา เพราะจังหวะแรกบอลตรงในพื้นที่นั้น โดยเฉพาะลอฟเรน ที่ตอบสนองต่อบอลจังหวะสองช้ากว่าเบนเทเก้
เครดิตข้อมูลจาก
Whoscored.com
STAT ZONE, FourFourTwo
SkySport Football
***********************************************************************************************
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ครับ