TOT 2-0 MCI post-match analysis
ไม่กี่วันหลังจากเบรนแดน ร็อดเจอรส์แสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนของเป๊ป กวาดิโอลาร์โดยใช้การเพรสซิ่ง
ปอเชตติโน่ได้ตอกย้ำให้เราเห็นกันชัดๆว่ามันได้ผลมากขนาดไหน
แผนการเล่นและ 11 ตัวจริง
ผู้จัดการทีมทั้งสองได้ทำการเปลี่ยนแปลง 11 ตัวจริงเล็กน้อย
เจ้าบ้านใช้อิริคเซ่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางโดยยืนต่ำคู่กับวานยาม่า ซิสโซโก้ยึดตำแหน่งทางกราบขวาและคอยหุบเข้ากลางเป็นพักๆ ขณะที่ลาเมลล่าเล่นในตำแหน่งปีกธรรมชาติ การเลือกใช้ซอนในตำแหน่งหน้าเป้าถือว่าได้ผลมากๆ ทั้งในแง่ของการเพรสซิ่งและการเข้าทำเกมรุก
การขาดเดอบรอยน์ทำให้เป๊ปต้องเปลี่ยนแปลงทีมเล็กน้อย เฟอร์นันโดดเข้ามายึดพื้นที่ตรงกลาง เช่นเดียวกับนาบาสในตำแหน่งริมเส้น ซิตี้ใช้การยืนตำแหน่งแบบ 4-2-3-1 แทนที่ 4-1-4-1 ที่เรามักจะเห็นเป๊ปใช้บ่อยๆ แฟร์นานดินโย่ยืนกลางคู่กับเฟอร์นันโด โดยมีซิลบาทำเกมรุก
การเพรสซิ่งของสเปอรส์
ประเด็นนึงที่เป็น talk of the town ตั้งแต่ก่อน kick off คือแทคติคการเพรสซิ่งแบบบิเอลซ่าที่ปอเชตติโน่นำมาใช้จนสร้างปัญหาให้กับคู่แข่งมานักต่อนัก ทีมของปอเชตติโน่จึงกลายเป็นที่ถูกจับมามองในฐานะทีมที่'อาจ'จะหยุดเป๊ป กวาดิโอลาร์ได้ตั้งแต่ก่อนเกมจะเริ่ม ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ทำได้จริงๆ
สเปอรส์ใช้การเพรสซิ่งแบบ man-oriented ตามตำราของบิเอลซ่าในเฟสแรกของการขึ้นเกมของซิตี้ สองแนวรุกอัลลี่และซอนจะแยกกันไปประกบคู่เซ็นเตอร์และใช้การเพรสซิ่งเพื่อปิดช่องที่บราโว่จะเล่นสั้นได้ ขณะที่อิริคเซ่นดันขึ้นมาปิดเฟอร์นันโด
ในแดนกลาง ตัวริมเส้นทั้งซิสโซโก้และลาเมลล่ามีหน้าที่ในการซัพพอร์ตการเพรสซิ่ง โดยปีกฝั่งที่ใกล้บอลมากกว่าจะเข้ากดดันฟูลแบ็คของซิตี้ ขณะที่ปีกฝั่งไกลบอลจะขยับเข้าคุมพื้นที่กลางสนาม แทคติคนี้จะทำให้วานย่าม่าต้องดูแลพื้นที่จำนวนมาก แต่ก็ถือว่าเขาทำได้ดีทีเดียว โดยจะเห็นได้ชัดในจังหวะที่วานยาม่าตัดบอลได้กลางสนาม ก่อนที่โคลารอฟจะทำ own-goal หลายครั้งที่ปีกฝั่งไกลบอลและแบ็คหุบเข้ามาช่วยในแดนกลาง โดยเฉพาะซิสโซโก้ที่ต้องคอยตามโคลารอฟที่ได้รับบทเป็น false full-back อีกครั้ง
จังหวะเพรสซิ่งจนตัดบอลได้ของสเปอรส์ นำมาสู่การขึ้นนำ1-0
รูปแบบการเพรสซิ่งของสเปอรส์
ตามธรรมชาติของการเล่นแบบ man-oriented ทำให้การยืนตำแหน่งของนักเตะสเปอรส์ไม่มีความแน่นอนตายตัว โดยจะแปรผันตามการยืนตำแหน่งของนักเตะซิตี้ เห็นได้ชัดคือบางครั้งเราจะเห็นอัลลี่ลงมาต่ำในแดนกลาง
แทบทุกครั้งที่สเปอรส์ตัดบอลได้ จะเริ่มต้นมาจากการเพรสซิ่งอย่างรวดเร็ว แม้ว่าระยะห่างจะไกลแต่นักเตะสเปอรส์จะพยายามวิ่งเข้าหาบอลให้เร็วที่สุด อย่างน้อยก็เพื่อกดดันไม่ให้ซิตี้สามารถขึ้นเกมแบบที่พวกเขาถนัดได้ง่ายๆ (แม้ว่าจะแย่งบอลไม่ได้ก็ตาม)
การเพรสซิ่งสูงของสเปอรส์
การเพรสซิ่งสูงของสเปอรส์
การเพรสซิ่งของเจ้าบ้านทำลายการขึ้นเกมและการครองบอลของซิตี้อย่างสิ้นเชิง ลูกทีมของเป๊ปโดนบีบให้ต้องเคลียร์บอลทิ้งหลายต่อหลายครั้ง พวกเขาสูญเสียการครองบอลและเกมรุก
แม้ว่าซิตี้จะเริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยม แต่แทคติคการครองบอลของเป๊ปยังพึ่งจะอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ความเข้าใจของนักเตะต่อระบบกวาดิโอลาร์พัฒนามากขึ้นในทุกๆวัน (ไม่ต่างจากโค้ชคนอื่นๆ)
จะว่าไปจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ทีมที่เล่นเกมเพรสซิ่งได้ดีที่สุดเป็นอันดับสองในลีกสามารถทำลายเกมของซิตี้ได้อย่างสิ้นสภาพ
โดยเฉพาะเมื่อทีมมีนักเตะที่ไม่ค่อยได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสออย่างนาบาสและเฟอร์นันโดในสนาม
หลังเจ้าบ้านขึ้นนำ ความดุดันของการเพรสซิ่งลดลงเล็กน้อย แน่นอนเพื่อปิดพื้นที่มากขึ้นและเก็บแรงไว้สำหรับเวลาที่ยังเหลืออีกมาก
ปัญหาของซิตี้ในการครองบอล
เมื่อเจอการเพรสซิ่งของสเปอรส์ ชัดเจนว่าซฺิตี้มีปัญหากับการครองบอล
หลายครั้งที่ซิตี้เลือกที่จะขึ้นเกมโดยบายพาสแดนกลาง ใช้บอลยาวจากหลังไปหน้า (แม้ว่าสเปอรส์จะไม่ได้เพรสซิ่งกดดันอยู่ก็ตาม) ซึ่งเรามักจะเห็นเป๊ปใช้อยู่บ่อยๆในสมัยคุมบาเยิร์น แต่อย่างไรก็ตาม อเกวโร่ไม่ใช่เลวาน และไม่ใช่คนที่เหมาะกับแทคติคแบบนี้เท่าไหร่ ขณะเดียวกันนาบาสและสเตอร์ลิ่งก็มักจะไม่อยู่ในตัวแหน่งที่จะซัพพอร์ตอเกวโร่ได้
จังหวะที่เซ็นเตอร์ใช้ความสามารถเฉพาะตัวพาบอลผ่านแนวเพรสซิ่งและเล่นบอลไดเร็กท์ไปที่ซิลบา ก่อนจะต่อไปที่อเกวโร่
หลังผ่านไป 25 นาที ซิตี้เริ่มขึ้นเกมทางซ้ายได้มากขึ้น มีจังหวะที่สเตอร์ลิ่งกำลังตัดเข้าใน ซิลบาขยับไปเล่นกับแฟร์นันดินโย่ ทั้งสามคน(รวมถึงเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆแล้วแต่สถานการณ์) เริ่มเข้าทำในแดนของสเปอรส์ได้มากขึ้น จากการที่เจ้าบ้านใช้การพรสซิ่งแบบ man-oriented ทำให้เกิดช่องโหว่ในเกมรับได้ง่าย
การหุบเข้ากลางของทั้งสเตอร์ลิ่งและนาบาสทำให้วานยาม่าต้องเจองานยากหลายครั้ง
นาบาสหุบเข้ากลาง ทำให้ซิลบามีพื้นที่ว่าง
มีบางครั้งที่คู่เซ็นเตอร์ซิตี้ใช้ความสามารถเฉพาะตัวพาบอลผ่านแนวเพรสซิ่งของสปอรส์ ฟังดูเป็นวิธีที่เสี่ยง แต่ประเด็นก็คือ ด้วยการประกบแบบ man-oriented นักเตะสเปอรส์แต่ละคนจะโฟกัสอยู่ที่ตัวประกบของตัวเอง หากมีใครคนใดคนนึงประกบพลาดจนนักเตะซิตี้ฝ่าออกมาได้ จะส่งผลให้เพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆต้องทิ้งตัวประกบออกมาเพื่อหยุดนักเตะซิตี้ที่พาบอลแหวกแนวเพรสซิงออกมาได้ และอาจเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อไปได้เรื่อยๆ
ซิลบาใช้พื้นที่ระหว่างแดนกลางและแผนหลัง ดึงให้วานยาม่าต้องออกจากตำแหน่งและเปิดพื้นที่ตรงกลางสนาม
แม้ว่าซฺิตี้จะดูดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถกดดันญอริสได้มากนัก การใช้ความสามารถเฉพาะตัวยังไม่ได้สร้างอันตรายให้สเปอรส์มากนัก จากการป้องกันที่เหนียวแน่นของคู่เซ็นเตอร์ทำให้แนวรุกของซิตี้มักจะต่อบอลได้ไม่เกิน 3-4 จังหวะ โดยส่วนมากจะเป็นนาบาสที่ได้บอลค่อนข้างบ่อยหลังจากที่ทีมหาพื้นที่ว่างระหว่างแดนกลางและแผงหลังของสเปอรส์ได้
แต่กระนั้น นาบาสก็ไม่สามารถเปลี่ยนบอลเหล่านั้นให้เป็นจังหวะบุกสวยๆได้มากนัก เวลาได้บอลเขามักจะครองบอลนานจนเสียจังหวะ (จากการถูกกดดันโดยนักเตะสเปอรส์) ส่งผลให้เกมบุกของซิตี้ถูกชลอลงบ่อยครั้ง
อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกันก็เป็นการบีบให้สเปอรส์ต้องลงไปรับลึกกันหลายครั้ง ต้องเปลี่ยนจากการเพรสซิ่งกดดันคู่เซ็นเตอร์เป็นมิดฟิลด์ในแดนกลาง ส่งผลให้ทีมของเป๊ปมีโอกาสเล่นเกมที่ถนัด ได้ขึ้นเกมจากแดนหลังมากขึ้น ใช้ปีกและแบ็คช่วยหุบเข้ากลางเพื่อสร้างความได้เปรียบในเรื่องจำนวนผู้เล่นตรงกลางสนาม
หลังครึ่งแรกกุนโดกันถูกส่งลงมาเพื่อใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการไปกับบอลและเอาตัวรอดในพื้นที่แคบ(จากการถูกเพรสซิ่ง) ซึ่งสำคัญมากโดยเฉพาะเมื่อเจอกับทีมที่เล่นแบบ man-oriented เช่นนี้ หากเขาสามารถสลัดการประกบและสร้างสถานการณ์ปฏิกิริยาลูกโซ่แบบกรณีที่เซ็นเตอร์แบ็คสลัดการประกบได้อย่างที่อธิบายไปข้างต้น
แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้มีเกมที่ดีเท่าไหร่ เขาตัดบอลได้เพียงสามครั้ง จ่ายบอลขาดๆเกินๆอย่างน่าผิดหวัง
รูปเกมไม่ได้ขาดอย่างที่เห็น
ทีมของปอเชตติโน่เป็นทีมที่ดีกว่า เหนือกว่าในหลายจังหวะของเกม แต่อย่างไรก็ตามถ้าดูจากตัวเลขทางสถิติแล้วเราจะพบว่า เกมของซิตี้ไม่ได้เป็นรอง'ขนาดนั้น' อย่างเช่นที่นักสถิติอย่าง Michael Caley และ 11Tegen11’s ได้แสดงให้เห็น
โดยเฉพาะเมื่อครึ่งหลังผ่านไปซิตี้มีโอกาสสวยๆหลายครั้งจากอเกวโร่และนาโช่แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้
สถิติโดย caley
สถิติโดย 11Tegen11
มีบ้างเหมือนกันที่ซิตี้สามารถเพรสซิ่งในแดนสเปอรส์ได้แบบเดียวกับที่สเปอรส์ทำ พวกเขาวางโซนนักเตะได้ค่อนข้างดี แต่การจัดการกับระบบการขึ้นบอลที่ปอเชตติโน่วางไว้ ทำให้สเปอรส์สามารถทำเกมรุกได้อย่างรวดเร็ว ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือ
แม้ซิตี้จะทำได้ดีในระดับนึง แต่มันก็ยังไม่ดีพอที่จะได้แม้แต่คะแนนเดียวจากสเปอรส์ เกมเพรสซิ่งของพวกเขาทำให้พวกเขาสามารถหยุดเกมรุกของซิตี้ได้เป็นทีมแรก ทั้งการเพรสซิ่งสูงและการเพรสซิ่งในแดนตัวเอง ทำให้เกมครองบอลของซิตี้(ซึ่งยังต้องพัฒนาอีกมากภายใต้การคุมทีมของเป๊ป)พังราบคาบ
ซอนสมควรได้รับคำชมเป็นพิเศษ เขาพักบอล หาช่อง และเล่นกับเพื่อนได้ดี โดยเฉพาะการใช้พื้นที่ทางด้านขวาของโอตาเมนดี้ทำให้เพื่อนร่วมทีมมีพื้นที่เล่นมากขึ้น
แน่นอนว่าการขาดเดอบรอยน์ทำให้ทีมเยือนเสียความสามารถในการทะลุทะลวงจากแดนกลางไปมาก แต่การที่เราไม่ได้เป็นทั้งกุนโดกันและซาเน่ใน 11 ตัวจริงก็ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถาม
น่าสนใจมากว่าจะมีทีมไหนใช้สูตรสำเร็จของปอเช็ตติโน่ในการเจอกับซิตี้อีกหรือไม่ มีไม่กี่ทีมในพรีเมียร์ลีกที่ถนัดในการใช้เกมเพรสซิ่งและคุมจังหวะได้ดีอย่างที่ทีมของปอเช็ตติโน่แสดงให้ดู เพราะเกมเพรสซิ่งแต่ขาดความสมดุลก็คือดาบสองคมดีๆนี่เอง
*************************************************************************************************
บทความโดย Tom payne
แปลโดย ไร้สาระ