Home - a hat-trick on my Old Trafford Debut
VIDEO
มีทั้งวันแห่งชัยชนะและวันที่พ่ายแพ้ในอุโมงค์ Old Trafford แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้ตอนที่ผมยืนอยู่ตรงนั้นเป็นครั้งแรกในฐานะนักเตะยูไนเต็ดก็คือ ทางนั้นดูไกลเป็นไมล์ มันทั้งยาวและมืด เพดานนั้นต่ำ และผู้เล่นนั้นเดินชนกันไหล่ต่อไหล่ขณะที่เดินลงไปในสนาม เพราะว่าทางมันแคบมากๆ ที่ปลายทางนั้นเมื่อมองผ่านไปเหนือหัวของผู้เล่น จะเห็นท้องฟ้าสีแดงปกคลุมไปทั่วสนาม และผมสามารถเห็นแฟนๆแมนยู แขวนป้ายต่างๆไว้ที่ขอบผนังและโบกธงไปมาได้
ในกันยายนปี 2004 ยูไนเต็ดมีคิวลงเตะเจอกับเฟเนย์บาห์เช่ ผมกำลังจะลงประเดิมสนามกับทีมชุดใหญ่ในแชมป์เปี้ยนลีก การแข่งขันที่ผมใฝ่ฝันมาตลอดว่าจะได้ลงเล่น
เสียงของคนกว่า 67,128 คนนั้นดังมากๆ ในตอนที่ผมลงเล่นเจอกับยูไนเต็ดเป็นครั้งแรกกับเอฟเวอร์ตัน เสียงเชียร์นั้นมันทำให้ผมรู้สึกห่อเหี่ยวลง มันทำให้ผมกลัว ความรู้สึกเหมือนกับบอลถ้วยนัดชิงยังไงยังงั้นเลย แต่ตอนนี้เสียงนี้มันช่วยเพิ่มพลังให้กับผม แต่มันก็ทำให้ผมรู้เลยว่า ทำไมผู้เล่นหลายๆคนถึงเล่นไม่ออกเมื่อมาที่นี่ ถ้านักฟุตบอลนั้นไม่เคยมาที่นี่มาก่อน และยิ่งตอนที่พวกเขาต้องมายืนเรียงแถวใกล้กับผู้เล่นแมนยูเป็นครั้งแรก มันยิ่งดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่
ผู้จัดการทีมรู้ถึงความสำคัญของสถานที่นี้ดี เขาบอกพวกเราก่อนเกมว่า คนที่พึ่งเคยลงเล่นที่นี่เป็นครั้งแรก จะเล่นเกมของตัวเองไม่ได้อย่างแน่นอน
จากนั้น ผมเห็นกับตา บางทีมที่พึ่งขึ้นชั้นมาใหม่ ผู้เล่นของพวกเขาหลายคนดูกลัวขณะที่พวกเขาเดินลงไปในสนาม บางคนก็ทำเหมือนกับว่านี่เป็นแมตช์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฤดูกาลหรือในอาชีพของพวกเขาเลย ขณะที่พวกเขาเดินผ่านอุโมงค์อย่างช้าๆไปที่เส้นกลางสนาม พวกเขาจะคิดอยู่อย่างเดียว “แม่*เอ๊ย ที่นี่คือ Old Trafford” ซึ่งนั่นก็หมายถึงพวกเขาโดนนำไป 1-0 แล้วในจิตวิทยา
วันนี้เป็นวันของผม เกมแรกของผมตั้งแต่มาอยู่ที่สโมสรเกือบๆ 2 เดือน ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะลงเล่นหลังอาการบาดเจ็บที่กระดูกบริเวณเท้าจากบอลยูโร 2004 แฟนๆนั้นส่งเสียงเรียกชื่อผมอยู่ ผมเห็นพวกเขาบนสแตนท์และพวกเขานั้นดูตื่นเต้นมากๆที่เห็นผมในวันนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมกังวลอยู่ลึกๆก็คือ มันคงจะต้องใช้เวลากว่าพวกเขาจะยอมรับผม เพราะผมเป็น Scouser เป็นคนจาก Merseyside ผมอาจจะต้องทำบางสิ่งที่พิเศษจริงๆเพื่อเอาชนะใจพวกเขา
ผมนั้นขนลุกซู่และแข็งทื่อไปทั้งตัวตอนที่เดินลงไปในสนามเป็นครั้งแรกในสีเสื้อสีแดง มันทำให้ผมขำนะเมื่อย้อนกลับไปดูเทปนั้นอีกครั้ง ผมเคี้ยวหมากฝรั่ง ตาของผมแทบจะไม่กะพริบและเอาแต่จ้องตรงไปข้างหน้า ตอนนั้นในหัวของผมมีแต่เสียงอื้ออึง และผมไม่ต้องการจะเห็นความยิ่งใหญ่ที่อยู่โดยรอบตัวผมจริงๆ แม่*เอ๊ย นี่แหละคือ Old Trafford
------------------------------------------------------------------------------
ทุกๆอย่างดูเงียบและสงบในเวลาก่อนหน้านั้น
ผมนั่งอยู่ในห้องแต่งตัวก่อนเกมจะเริ่มและมองดูทุกคนเตรียมความพร้อม ผมเห็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในลีคหลายคนกำลังเตรียมพร้อม ปีกอย่าง Ryan Giggs กำลังยืดเส้นยืดสายกับร่างผอมๆของเขา Gary Neville กำลังกระโดดอยู่กับที่ กองหน้าชาวดัช Ruud Van Nistelrooy และ Rio Ferdinand กำลังเคาะบอลให้กันไปมาบนพื้นคอนกรีต บรรยากาศมันแตกต่างจากที่เอฟเวอร์ตันมากๆ
ที่ Goodison นั้น มีแต่เสียงเอะอะโวยวายและเสียงดัง ผู้คนต่างตะโกนใส่กันเพื่อพูดถึงวิธีแก้ไขปัญหา มันทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาว่า การที่บางทีมนั้นจะชนะได้ ต้องปลุกใจนักเตะขึ้นมาโดยการสร้างทัศนคติที่แข็งแกร่ง มันช่วยทำให้เราไม่คิดถึงคู่แข่งมากจนเกินไป แต่ก่อนเกมกับเฟเนร์บาห์เช่นั้น ผมสังเกตได้ว่าทุกๆคนในเสื้อยูไนเต็ดต่างเตรียมความพร้อมด้วยวิธีของตัวเอง ดูใจเย็นและสุขุม ไม่มีใครร้องและตะโกน พวกเขาต่างรู้ดีว่าถ้าพวกเราเล่นได้ดี พวกเราจะชนะได้อย่างไม่มีปัญหา มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องร้องหรือตะโกนเลย
ผมรู้สึกว่าผมมาอยู่ในที่ๆถูกแล้วล่ะ
------------------------------------------------------------------------------
ผมจ่ายลูกเปิดเกมได้ดี และได้สัมผัสบอลอีกครั้งในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา ผมวิ่งพล่านไปทั่วสนามด้วยอดรีนาลีนที่เต็มเปี่ยม ผมต้องการจะทำให้ทุกคนประทับใจ ผมต้องการจะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าผมทำอะไรได้บ้าง
จากนั้นในนาทีที่ 17 ผมทำประตูลูกแรกในสีเสื้อแมนยูได้
รุดจ่ายทะลุช่องมาให้ผมดวล 1-1 กับโกล และทุกๆอย่างมันดูช้ามาก เป็นความรู้สึกที่ประหลาดในเกมฟุตบอล มันดูเหมือนต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะเลี้ยงไปถึงที่กรอบเขตโทษ ขณะที่ผมวิ่งอยู่บนโคลนหนาๆ สมองของผมต่างคิดนู่นคิดนี่เต็มไปหมด เหมือนกับคอมพิวเตอร์ที่กำลังหาผลบวกที่จะทำให้ทำประตูได้
ผู้รักษาประตูนั้นออกมาจากเส้นมั้ย?
กองหลังนั้นอยู่ใกล้ผมมั้ย?
ผมควรเลี้ยงเข้าไปใกล้ประตูมากแค่ไหน?
หรือผมควรจะยิงให้เร็วดี?
สถานการณ์1-1 แบบนี้ บางทีมันน่าจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในเกมฟุตบอล เพราะมันมีเวลามากเกินไปให้เราประมวลผลเรื่องต่างๆ มันมีเวลามากเกินไปให้เราคิด จนอาจจะทำให้เราพลาดง่ายๆได้
ผมแค่วางเท้าและซัดลูกบอลเข้าไป และบอลนั้นพุ่งเข้าไปที่ก้นตาข่าย ทั้ง Old Trafford นั้นแทบจะบ้าคลั่ง ตอนนี้คงไม่มีใครสนใจว่าผมจะเป็น Scouser หรือไม่แล้วแหละ จากนั้นผมรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ผมรู้สึกกล้าที่จะลองทำอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น และไม่นานนับจากนั้น Ryan Giggs ก็จ่ายบอลตัดมาที่ผม ผมโยกไหล่ล็อคหลบกองหลัง จากนั้นก็ซัดลูกบอลเข้าไปที่มุมของตาข่าย ในตอนนั้นกองเชียร์เริ่มที่จะร้องเรียกชื่อผมอีกครั้ง มันทำให้ผมกล้าที่ฝันมากขึ้น
มันจะเป็นยังไงนะถ้าเกิดทำแฮททริกได้ใน Old Trafford?
ผมพยายามต่อในช่วงครึ่งหลัง พวกเราได้ฟรีคิกบนเส้นกรอบเขตโทษของเฟเนร์บาห์เช่ และ Giggsy ด้วยความสามารถอันสุดยอดและประสบการณ์ของเขา เขาวางลูกบอลลงไปเพื่อรับหน้าที่นั้น แต่ผมต้องการมัน ผมโคตรจะมั่นใจในตอนนั้น ผมรู้แค่ว่าผมจะยิงได้ มันบ้ามากๆ แต่ผมรู้แค่ว่ามันจะเกิดขึ้น
“Giggsy ผมขอลูกนี้นะ”
เขาให้บอลผม และผมก็ยิงไปที่มุมซ้ายบนของประตู ง่ายๆอย่างงั้นเลย ประตูลูกที่ 3 แฮททริกในนัดเดบิวต์ที่ Old Trafford ของผม
พวกเราชนะ 6-2 และในห้องแต่งตัว ทุกๆคนดูตื่นเต้นกันมากๆ ผมไม่คิดว่าจะมีใครเชื่อในสิ่งที่ผมทำลงไป Rio นั่งอยู่ตรงนั้น สั่นหัวของเขา มองมาที่ผมเหมือนกับผมพึ่งกลับมาจากนอกโลก ส่วนเพื่อนๆที่แก่กว่าอย่าง Gary Nev และ Giggsy ก็น่าจะกำลังคิดเรื่องของผมอยู่เหมือนกัน ผมมั่นใจว่าพวกเขาต้องเก็บมันอยู่ข้างในแน่ๆ บางทีเขาคงจะเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งแล้วกับผู้เล่นอย่าง Eric Cantona และ David Beckham ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พูดอะไร เป็นไปได้ว่าพวกเขาไม่อยากให้ผมเหลิงจนเกินไป สำหรับพวกเขาแล้ว แฮททริกของผมก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของวันอีกวันในออฟฟิศนั่นแหละ ผู้จัดการทีมก็คงคิดอย่างนั้นเช่นกัน เขาเชคแฮนด์กับผมและบอกผมว่าผมเริ่มต้นได้ดีในสีเสื้อของยูไนเต็ด
แต่ไม่มีใครเคลิบเคลิ้มไปกับมัน
มันไม่ได้มีปาร์ตี้ใหญ่ยักษ์หลังจากนั้น ผู้เล่นบางคนที่ผมรู้จักจะพากันไปฉลองหลังจากที่เพื่อนร่วมทีมของเขาทำแฮททริกได้ แต่กลับกัน ทุกๆคนกลับบ้านของตัวเอง มันทำให้ผมรู้สึกงงๆ สิ่งที่แปลกที่สุดเลยก็คือ ผมไม่ได้รู้สึกเป็นคนพิเศษเลย ทั้งที่ๆผมมั่นใจว่าผมมีศักยภาพพอที่จะช่วยทีมให้ชนะเกมหรือคว้าแชมป์ก็ตาม แต่ผมก็เห็นเช่นกันว่า ทุกๆคนในห้องแต่งตัวนั้นก็มีศักยภาพพอที่จะทำมันได้เช่นกัน
และทั้งๆที่ผมเริ่มต้นกับยูไนเต็ดได้ดีขนาดนี้ มันก็ไม่ได้ทำให้ผมหลุดพ้นจากสายตาของ Roy Keane ไปเลย
บนสนาม ความเป็นผู้นำของ Roy นั้น ผมสามารถเห็นได้จากการฝึกซ้อม เขาตะโกนเยอะมากๆ เขาเป็นแบบอย่างให้ทุกคน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดถึงวิธีการมากนัก แต่เขาก็ต้องการผลลัพธ์ที่มากขึ้นจากทุกๆคน แม้แต่เวลาอยู่นอกสนามก็ตาม
ในค่ำคืนก่อนเกมเยือนแรกของผมกับเบอรมิงแฮม ซิตี้ ทั้งทีมนั้นกำลังนั่งจิบชากันอยู่ที่ห้องอาหารของทีมในโรงแรม Roy นั้นกำลังดูรักบี้อยู่ แต่ในนาทีต่อมาหลังจากที่เขาลุกไปเข้าห้องน้ำ ผมหยิบรีโมททีวีมาและเปลี่ยนช่องเพื่อที่เพื่อนๆจะได้ดูรายการ The X Factor กัน จากนั้นผมก็เก็บรีโมทนั้นไว้ในกระเป๋ากางเกงของผม
เมื่อ Roy กลับมาและเห็นหน้าของ Simon Cowell บนทีวี เค้าไม่แฮปปี้ และเขาเริ่มที่จะตะโกน
“ใครเปลี่ยนช่องวะ? แล้วรีโมทอยู่ที่ไหน?”
ผมไม่พูดอะไรออกมา และคนอื่นๆก็ด้วย ทุกๆคนพยายามมองไปที่มุมอื่นของห้องและพยายามไม่สบสายตากับเขา
“เอาล่ะ ถ้าไม่มีใครดูทีวีละก็ ชั้นจะปิดมันล่ะ”
Roy เดินไปที่ทีวีและดึงปลั๊กบนกำแพงออก ทั้งห้องนั้นเงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงของมีดที่กระทบจาน บรรยากาศนั้นอึมครึม
หลังจากอาหารเย็น พวกเราต่างก็แยกย้ายกลับไปที่ห้อง แต่ตอนประมาณเที่ยงคืน มีเสียงเคาะที่หน้าประตูห้องของผม นั่นคือการ์ดของสโมสร
“โอเค Wayne” เขาพูด “Roy ส่งผมมา เขาต้องการรู้ว่ารีโมทอยู่ที่ไหน”
ผมตระหนักได้ทันทีว่านี่คือวิธีของ Roy ที่จะบอกผมว่า เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนเป็นข้อความ ผมส่งมันให้เขาและรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ แต่ในวันถัดมาเขากลับไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
------------------------------------------------------------------------------
จากนั้น ย้อนกลับไปตอนที่ผมฝึกซ้อมที่ Carrington เป็นครั้งแรก Gary Neville ให้คำแนะนำผมบางอย่าง เขาพูด “ในทีมนี้ ไม่ว่านายจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน ไม่ว่านายจะได้เหรียญรางวัลมาเยอะขนาดไหน นายก็ไม่ถูกอนุญาตให้คิดว่านายเคยทำมันได้”
ผมชอบความตรงไปตรงมาของ Gary นะ เขาเป็นผู้ชายที่ตลก ในเวลากินข้าวเที่ยงหลังจากที่ซ้อมกันมา เขาจะพูดไม่หยุด เขาจะพูดไปเรื่อยและแทบไม่หยุดหายใจ แต่ก็เป็นเรื่องดีๆ เขาจะเปลี่ยนหัวข้อที่จะพูดไปเรื่อย ทั้งเรื่องเพลง การเล่นกีต้าร์ของเขาและฟุตบอล เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีแพสชั่นมากที่สุดที่ผมเคยเจอมา และเขาก็เป็นคนที่หนักแน่นด้วยเช่นกัน ในห้องแต่งตัวผู้จัดการทีมมักจะเข้าไปคุยกับ Gaz อยู่บ่อยๆ มากกว่าผู้เล่นคนไหนของทีม เพราะเขารับมือกับทุกเรื่องได้นั่นเอง และเขาไม่ได้อ่อนปวกเปียกเหมือนกับนักฟุตบอลบางคน
เวลาที่เขาลงเล่น เขาจะเป็นเหมือนกับจิตวิญญาณของผู้จัดการทีม เขาแบกความทะเยอะทะยานในชัยชนะเอาไว้ และผู้เล่นคนอื่นๆอย่าง Paul Scholes และ Ryan Giggs ก็เช่นกัน พวกเขาต่างก็นำประสบการณ์มากมายแบ่งปันในห้องแต่งตัว ในเดือนแรกๆของผมกับสโมสร มีอยู่หลายครั้งที่บางทีมที่ไม่สามารถสู้พวกเราได้ พวกเขาจะรับมือและสู้ด้วยการเล่นที่รุนแรงและ park the bus นั่นมันทำให้ผมท้อแท้ ผมสูญเสียความอดทนและเริ่มที่จะยิงไกลจากจุดที่ไม่น่าจะเข้า แต่ Gary ก็ทำให้ผมใจเย็นลง
“พยายามต่อไป Wazza พยายามอยู่ในเกมของพวกเรา เดี๋ยวโอกาสมันก็จะมาเอง”
9 จาก 10 ครั้งที่เขาพูด เขาพูดถูก
ผมไม่ใช่เพียงคนเดียว ที่รับฟังคำแนะนำจากเขา มีเด็กหนุ่มอีกคนนึงที่ชื่อ Ronaldo ซึ่งเขาพึ่งย้ายมาร่วมทีมเมื่อซีซั่นก่อนจากสปอร์ตติ้งลิสบอน ด้วยค่าตัวถึง 12.2 ล้านปอนด์ และทุกๆคนเริ่มที่จะพูดว่าเขาจะเป็นอนาคตของสโมสรแห่งนี้เคียงคู่ไปกับผม เขานั้นไม่ได้มีอะไรเลย นอกจากการเล่นลวดลายต่างๆและมีร่างกายที่ผอม เขานั้นจัดฟัน มีผมที่หยิกหยอยและเป็นคนไม่แน่นอน Ronaldo นั้นดูเหมือนเด็กคนหนึ่ง มันยากที่จะเชื่อว่าพวกเรามีอายุที่ไล่เลี่ยกัน
สงสัยเหมือนกันว่าเขาจะเป็นยังไง?
------------------------------------------------------------------------------
ที่ยูไนเต็ด ผมสามารถรับรู้ได้เลยว่า ความคาดหวังนั้นมันเยอะมากๆ และผู้เล่นทุกคนต่างก็ถูกปฏิบัติเหมือนกับเป็น rock star มันน่ากลัวนะ เพราะผู้คนต่างก็รู้จักผมทุกที่ที่ผมไป บนท้องถนนแม่และเด็กๆมักจะเข้ามาขอลายเซ็นผม ซึ่งส่วนใหญ่ผมก็โอเคนะ แต่มันก็มีบางเวลาเหมือนกันที่มันมากจนเกินไป ผมพึ่งอายุ 18 ปีและมันยากที่จะรับมือกับสถานการณ์แบบนั้นในบางครั้ง
การเซ็นสัญญากับยูไนเต็ดนั้น นั่นหมายถึงว่าผมต้องรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ให้ได้ด้วย มันเป็นส่วนหนึ่งของงานของผม และผมก็ตระหนักได้เลยว่าผมนั้นโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตท่ามกลางสปอร์ตไลท์ที่บ้าคลั่งนี้
ในเที่ยงวันหนึ่ง ไม่นานนักหลังจากเกมกับเฟเนร์บาห์เช่ ผมไปที่โรงจอดรถเพื่อที่จะเติมน้ำมัน ขณะที่ผมกำลังยืนเติมน้ำมันอยู่ มีผู้ชายคนหนึ่งมาจอดรถข้างๆผม และลดหน้าต่างลง
“นี่ Wayne นี่คุณก็มาเติมน้ำมันรถเองเหมือนกันหรอ?”
เหมือนกับทุกๆคนนั่นแหละ ผมก็ทำมันเหมือนกัน
แปลโดย
FPL Carletto