[Bayern5-1Arsenal] Arsene Who ?
BAYERN MUNICH VS ARSENAL
ค่อนข้างชัวร์แล้วว่าบาเยิร์นมิวนิคทำได้ดีเพียงพอที่จะการันตีว่าทีมของอาร์แซน เวนเกอร์จะตกรอบ16ทีมสุดท้ายของ UCL เป็นฤดูกาลที่ 7 ติดต่อกัน
ว่ากันตามเนื้อผ้า FA cup อาจจะเป็นเพียงรายการเดียวที่เวนเกอร์ยังมีลุ้นอยู่ในฤดูกาลนี้ก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าอาร์เซนอลจะได้ชูถ้วยแชมป์หรือไม่ก็ตาม อนาคตของเวนเตอร์กับอาร์เซนอลจะยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามต่อไปจนจบฤดูกาลแน่นอน
เวนเกอร์อาจพูดได้ว่าเขาโชคร้ายที่เสียกอสเซียนี่ไปขณะที่ทีมของเขายังอยู่ในเกม แต่สิ่งที่พวกเราได้เห็นจากทั้งเวนเกอร์และลูกทีมของเขามันฟ้องว่าสิ่งที่พวกเขาเสียไปคือความกระหายใจชัยชนะต่างหาก
บาเยิร์นมีทีมที่ดีกว่าจริง มีคุณภาพของนักเตะเหนือกว่าจริง แต่พวกเขาก็มีแทคติกที่ดีกว่าเช่นเดียวกัน
ปล่อยให้บาเยิร์นได้เซ็ตบอลจากแดนตัวเอง
ขณะบาเยิร์นเป็นฝ่ายครองบอลเวนเกอร์ใช้วิธีการยืนตำแหน่งแบบ 4-4-2 โดยให้ 2 แนวรุก โอซิลและซานเชส ทำหน้าที่ในการไล่เพรสซิ่งในแดนหน้า
จากภาพจะเห็นว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ 2 ผู้เล่นของอาร์เซนอลจะสามารถไล่เพรสซิ่งจนสามารถตัดบอล หรือแม้แต่เพิ่มความกดดันให้กับแดนหลังของบาเยิร์นมิวนิค ทำให้ตลอดทั้งเกมเราจะเห็นลูกทีมของคาร์โล อันเชล็อตติ สามารถพาบอลทะลุขึ้นมาเล่นในแดนกลางได้โดยง่ายตลอด
สังเกต 4 ผู้เล่นในแผงมิดฟิลด์ที่ยืนค่อนข้างต่ำ แน่นอนว่าเวนเกอร์ต้องการให้แผงกลางยืนใกล้กับแผงแบ็คโฟร์ เพื่อปิดพื้นที่ในแดนตัวเองให้แน่นหนาที่สุด แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นการปล่อยให้แดนกลางของบาเยิร์นมิวนิก สามารถเซ็ตบอลเล่นได้อย่างสบายๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากบาเยิร์นสามารถพาบอลทะลุแนวเพรสซิ่งแดนหน้าของอาร์เซนอลที่มีเพียงโอซิลและซานเชส
จะเห็นว่าแดนกลางของบาเยิร์นมีพื้นที่และเวลาเพียงพอที่จะสร้างสรรค์เกมรุก
ความพยายามของอาแซน เวนเกอร์ในการวางหมากรับลึกเพื่อปิดพื้นที่อันตราย ไม่ให้บาเยิร์นเข้าทำได้โดยง่ายดูเหมือนจะพังทลายลงทันที หลังจากมิดฟิลด์ของบาเยิร์นทั้งวิดัล อลอนโซ่ และโดยเฉพาะธิอาโก้สามารถทำเกมได้อย่างอิสระ แผงมิดฟิดล์ของเวนเกอร์ถูกบีบให้ต้องถอยลงไปเรื่อยๆ จนแทบจะยืนเป็นไลน์เดียวกับแบ็คโฟร์ จนนำมาสู่ประตู่ 1-0 ในที่สุด
จังหวะนี้จะเห็นว่าแดนกลางของอาร์เซนอลถอยลงไปลึกมากๆ จนกลายเป็นเปิดพื้นที่ที่ลูกทีมของเวนเกอร์ที่ควรจะรู้ดีที่สุดว่าการปล่อยให้นักเตะอย่างร็อบเบนเลี้ยงบอลเข้าไปในพื้นที่บริเวณนี้จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
มีนักเตะอาร์เซนอล 4 คน ล้อมอาร์เยน ร็อบเบน 2 คนในนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ดีพอที่น่าจะป้องกันได้ดีกว่านี้
โดยเฉพาะเมื่อกอเกอแล็งวิ่งออกจากตำแหน่งไปบล็อคร็อบเบน สิ่งสุดท้ายที่โอซิลควรจะทำคือการยืนดูร็อบเบนง้างเท้ายิงประตู
เชมเบอร์เลน อิโวบี กับการเพิ่มบทบาทเกมรับ
ค่อนข้างชัดเจนว่าอาร์แซน เวนเกอร์วางหมากมาเพื่อเน้นเกมรับเป็นพิเศษ โดยทิ้งโอซิล และซานเชสไว้สำหรับเกมสวนกลับ
แต่การเลือกใช้ เชมเบอร์เลนและอิโวบี ในฐานะตัวริมเส้นที่ในเกมนี้มีหน้าที่หลักคือการตามประกบฟิลลิป ลาห์ม และ ดาวิด อลาบา จะสามารถสร้างความแตกต่างในเกมได้จริงหรือ ?
จังหวะขึ้นเกมบุกทางด้านขวาของบาเยิร์นก่อนที่จะได้ประตู 2-1 จะเห็นว่ากิบส์ต้องเจอกับสถานการณ์ 2v1
ซึ่งในทางแทคติกแล้ว เป็นไปยากมากๆที่ฝ่ายตั้งรับจะสามารถป้องกันเกมบุกในจังหวะแบบนี้ได้
ในเกมระดับท็อป มันจึงแทบจะเป็นสูตรตายตัวว่าจังหวะลักษณะเช่นนี้ จะเป็นหน้าที่ของตัวรุกริมเส้น (หรือในบางกรณีมิดฟิลด์ตัวกลาง)
ที่จะต้องตามออกมาช่วยซ้อนฟูลแบ็ค
ในขณะเดียวกัน พื้นที่ตรงกลางสนามจะเห็นว่าโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี ถูกล้อมรอบด้วยผู้เล่นอาร์เซนอลถึง 3 คน (อิโวบีพยามฉีกออกมาช่วยซ้อนกิบส์) ซึ่งในทางทฤษฎีต่อให้ตัวริมเส้นของบาเยิร์นสามารถครอสบอลได้ อาร์เซนอลก็ถือไพ่เหนือกว่าในพื้นที่สุดท้ายอยู่ดี น่าเสียดายที่ในทางปฏิบัติ มันไม่ง่ายเลยที่จะประกบนักเตะอย่างเลวาน
กอเกอแล็ง ชาก้า กับ 3 มิดฟิลด์ของบาเยิร์น
การตัดสินใจใช้วิธีการยืนตำแหน่งแบบ 4-4-1-1 ทำให้คู่มิดฟิดล์ของอาร์เซนอลต้องรับมือกับวิดัล อลอนโซ่ และ ธิอาโก้ ผลที่ตามมาคือบาเยิร์นมิวนิคสามารถเคาะบอลเล่นได้อย่างไม่ยากเย็น และแทบไม่ต้องมีคำถามใดๆถึงสถิติครองบอลเพียง 26 เปอร์เซ็นต์ของลูกทีมของเวนเกอร์ ซึ่งนับว่าเกือบจะน้อยที่สุดบรรดาทีมที่เข้ามาแข่งขันในแชมป์เปี้ยนส์ลีกฤดูกาลนี้ (มีเพียงดินาโมซาเกร็บ และ เอฟซี รอสตอฟ ที่ทำได้ 23 และ 22 ตามลำดับ)
และอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าเกมนี้แนวทางการเล่นที่เวนเกอร์วางไว้ให้คู่มิดฟิลด์เน้นการคุมโซนรับลึก เมื่อประกอบกับด่านเพรสซิ่งด่านแรกในแดนหน้าที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการหยุดการขึ้นเกมของบาเยิร์น ทำให้ทีมของเวนเกอร์แทบจะพ่ายแพ้ทั้งในแดนหน้า แดนกลาง และริมเส้น เหลือเพียงแผงแบ็คโฟร์ที่จะเป็นปราการด่านสุดท้ายในการหยุดแนวรุกของบาเยิร์น และผลก็ออกมาอย่างที่พวกเราได้เห็นกัน
คาแร็คเตอร์และประสบการณ์ในเกมระดับยุโรป
จังหวะได้ประตู 3-1 สังเกตเลวานดอฟสกีที่พร้อมจะรับบอลจากอลอนโซ่ และธิอาโก้ที่เห็นช่องว่างระหว่างคู่เซ็นเตอร์ของอาร์เซนอล และออกตัววิ่งเข้าใส่ทันทีโดยไม่ลังเล และสังเกตที่มุสตาฟี่ ที่ไม่ได้กำลังมองบอลจากอลอนโซ่ด้วยซ้ำ แต่กลับชี้นิ้วคุยกับฟูลแบ็คโดยไม่สนใจธิอาโก้ที่ออกตัววิ่งเรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่าในเกมนี้มีจังหวะน่ากังขาที่เวนเกอร์อาจจะมองว่าทำให้ทีมเขาเสียประโยชน์อยู่บ้าง รวมถึงการเสียผู้เล่นคนสำคัญอย่างกอสเซียลนี่ แต่รูปเกมที่สื่อให้เราได้เห็น มันฟ้องว่าทุกอย่างมันเลวร้ายกว่านั้น ทีมของอาร์แซน เวนเกอร์ขาดคาแร็คเตอร์บางอย่างที่จะสามารถทำให้พวกเขาพลิกสถานการณ์ได้ ทีมของเขาขาดประสบการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อย่างที่อันเชล็อตติได้กล่าวไว้หลังเกมว่าทีมของเขานั้นเต็มไปด้วยนักเตะที่มีประสบการณ์สูงในเกมระดับท็อปเช่นนี้
BAYERN MUNICH 5 - 1 ARSENAL
เกมนี้มีจังหวะปัญหาต่างๆที่ไม่เอื้อต่ออาร์เซนอลก็จริง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้พวกเขาแพ้ถึง 5-1 จริงอยู่ที่บาเยิร์นมีนักเตะที่มีคุณภาพมากกว่า มีประสบการณ์มากกว่า แต่เราก็ได้เห็นมานักต่อนักแล้วว่าด้วยแทคติกที่ดีกว่าทีมที่ตัวผู้เล่นด้อยกว่าก็สามารถเป็นผู้ชนะได้ ปัญหาของเวนเกอร์ไม่ใช่ว่าเขาเก่งสู้อันเชล็อตติไม่ได้ เราเคยเห็นทีมของเขาเอาชนะคู่แข่งที่เหนือกว่ามานักต่อนักแล้ว
ว่ากันตามตรงสิ่งที่แฟนบอลผิดหวังอาจจะไม่ใช่เรื่องทีมของเขาพ่ายแพ้ต่อทีมระดับบาเยิร์นมิวนิค แต่คือพัฒนาการของทีมต่างหาก
ครั้งสุดท้ายที่มีการเปลี่ยนผ่านในทีมอาร์เซนอลเกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน "Arsene Who?" นสพ.ฉบับเย็นของลอนดอนพาดหัวแบบไม่เกรงใจกูนเนอรส์ ใครจะรู้ล่ะว่าผู้จัดการทีมโนเนมจากญี่ปุ่นคนนี้แหละที่สามารถเปลี่ยนจาก "บอริง อาร์เซน่อล" มาเป็น "อเมซิ่ง อาร์เซน่อลได้
การสร้างทีมขึ้นมาอยู่ในระดับท็อปและรักษามาตรฐานนั้นไว้ได้นานถึงเพียงนี้บ่งบอกถึงคุณภาพและการทำงานอย่างหนัก
การทำงานมาต่อเนื่องยาวนานถึง 20 ปี และยังคงอยู่ในระดับท็อปได้ไม่ใช่งานง่าย แต่อาร์เซนอลในวันนี้ไม่เหมือนกับวันที่เขาก้าวเข้ามาคุมทีมเมื่อ 20 ปีก่อน คู่แข่งต่างๆทั้งในลีกและในระดับยุโรปไม่เหมือนเมื่อ 20 ปีก่อน ไม่ว่าอาร์เซนอลจะเป็นแชมป์เอฟเอคัพหรือไม่ก็ตาม มันจะต้องมีการตัดสินใจอะไรบางอย่างเมื่อจบฤดูกาล แต่ไม่ใช่โดยบอร์ดบริหาร ไม่ใช่โดยคนอื่น คนที่จะต้องตัดสินใจคืออาร์แซน เวนเกอร์
**********************************************************************************
ข้อมูลจาก
James olley, Standard Sport
Adam Bate, Sky sports
Rio ferdinand, Michael ballack, Martin Keown, BT sports