SWA 1-2 LFC post match analysis
- ทั้งสองทีมสตาร์ทด้วย 4-3-3 เหมือนกัน
- นอกจาก 11 ตัวจริงแล้ว ในส่วนของลิเวอร์พูลอีกประเด็นที่น่าสนใจคือม้านั่งสำรอง
ประกอบไปด้วย Sturridge Klavan Moreno Lucas Mignolet Can และ Orig
ซึ่งอาจจะเรียกได้วว่าเป็นตัวสำรองที่ดีที่สุดในรอบหลายปีเลยทีเดียว
- กุยโดลินทำการบ้านมาได้ดี รู้ว่าคล็อปป์ชอบให้ลูกทีมขึ้นเกมจากแดนหลัง จึงใช้การเพรสซิ่งสูงบีบให้ลิเวอร์พูลต้องเคลียร์ทิ้งหลายครั้ง
- สังเกตว่าจะใช้อย่างน้อย 3 คนในการเพรสซิ่ง โดยมีหนึ่งคนคอยเข้ากดดันโฮลดิ้งมิดฟิลด์เพื่อไม่ให้พลิกเล่นง่ายๆ
- ในกรณีที่ลิเวอร์พูลทะลุการเพรสซิ่งจากแดนหน้าของสวอนซีได้ กุยโดลินสั่งให้ลูกทีมลงไปแพ็คแน่นรอจังหวะโต้กลับ
- และอาศัยการเพรสซิ่งในแดนกลางบีบให้ลิเวอร์พูลเสียบอลกลางสนาม
จังหวะนี้ขณะที่ไคลน์เติมขึ้นมาช่วยแดนกลาง สวอนซีตัดบอลได้ ทำให้พื้นที่ด้านขวาโล่งทันที
- หลังเกมผ่านไปได้ประมาณ 30 นาที ชัดเจนว่านักเตะสวอนซีเริ่มหมดแรงเพรสซิ่ง
- ทำให้ลิเวอร์พูลทะลุแดนกลางมาได้ง่ายๆหลายครั้ง
- จังหวะนี้สังเกตแดนหน้า สเตอร์ริดจ์ และเฟอร์มิโน่ที่หุบเข้ากลางมาช่วยค้ำคู่เซ็นเตอร์ของสวอนซี
- และดูนักเตะสองคนที่เป็นคีย์แมนของการบุกจังหวะนี้คือมาเน่ที่สอดขึ้นมาจากแดนกลาง และ ไคลน์ที่ฉีกออกริมเส้น(รวมถึงมิลเนอร์ทางด้านซ้าย)
- นอตั้นเจองานยากทันทีเพราะถ้าฉีกออกมาประกบไคลน์ ก็จะเปิดพื้นที่ตรงกลางให้มาเน่สอดขึ้นมาได้ แต่ถ้าหุบเข้ากลางมากไปไคลน์ก็จะมีพื้นที่เล่นกว้างมาก
- จังหวะนี้จบลงด้วยนอตั้นหุบเข้ากลาง ทำให้ลิเวอร์พูลออกบอลมาที่ไคลน์ ก่อนจะตบเข้ากลางแต่ติดบล็อค
- ครึ่งแรกยิ่งเล่นแนวรับสวอนซียิ่งหลวม ทำให้ลิเวอร์พูลบุกเข้าเขตโทษได้หลายครั้ง ติดแค่จังหวะสุดท้ายยังไม่เด็ดขาดพอ
- จังหวะนี้สังเกตไคลน์ที่เติมขึ้นมาทางริมเส้นด้านขวากับไวนัลดุมที่ฉีกออกมาเล่นใน half-space ด้านขวา
- เป็นอีกครั้งที่นอตั้นสับสนว่าจะประกบใครดีจึงฉีกออกจากไลน์ เปิดพื้นที่ให้มาเน่วิ่งทำทางเตรียมตัดหลังทันที
- ขณะที่มาเน่ออกตัววิ่งก็เป็นการดึงตัวประกบให้เซ็นเตอร์ของสวอนซีหลุดตำแหน่งไปด้วย
จนเปิดพื้นที่ให้เฟอร์มิโน่เข้าไปรับบอลจากไวนัลดุมได้
- ก่อนจะจบลงด้วยการพุ่งล้มของสเตอริดจ์
- สิ่งที่ลิเวอร์พูลขาดไปในครึ่งแรกคือเครืื่องหมายการค้าของคล็อปป์ 'Gegenpressing'
- จังหวะนี้น่าจะเป็นจังหวะเดียวในครึ่งแรกที่ลิเวอร์พูลได้ใช้ถูกถนัด คูตินโย่เพรสซิ่งจนตัดบอลได้ที่กลางสนาม ทำให้ลิเวอร์พูลเปลี่ยนจากรับเป็นรุกทันที
- เริ่มครึ่งหลังมาลิเวอร์พูลมีความกระหายในชัยชนะมากขึ้นชัดเจน
- จังหวะนี้คือตัวอย่างของ gegenpressing ที่คล็อปป์ต้องการให้ลูกทีมเล่น
- สังเกตโซนสีแดงที่ลูกทีมของคล็อปป์ช่วยกันรุมแย่งบอล และมาเน่ในโซนสีเหลืองที่ยืนโล่งๆ
- ลิเวอร์พูลรุมแย่งบอลจนได้ และจ่ายให้มาเน่ที่รอจังหวะอยู่แล้ว
- วิธีการเล่นที่เปลี่ยนจากรับเป็นรุกได้เร็วแบบนี้ทำให้แนวรุกมีพื้นที่เล่นจำนวนมาก
- gegenpressing อีกครั้งของลิเวอร์พูล
- นักเตะลิเวอร์พูลเข้ารุมแย่งบอลที่กลางสนามจนตัดบอลได้ แล้วเปลี่ยนจากรับเป็นรุกทันที
- จะเห็นว่าครึ่งหลังลิเวอร์พูลได้เข้าทำในพื้นที่โล่งๆหลายครั้ง ต่างจากครึ่งแรกที่ต้องบุกในขณะที่สวอนซีตั้งโซนรับแน่นหนาซึ่งเจาะลำบากกว่ามาก
- จาก heat map จะเห็นว่าครึ่งหลัง (ขวา) ลิเวอร์พูลบุกมากขึ้นชัดเจน ครองบอลในแดนตัวเองลดลง เข้าทำในแดนสวอนซีมากขึ้น
- สถิติการยิงประตู จากครึ่งแรกยิง 4 เข้ากรอบ 0 ขึ้นมาเป็น 18 ครั้ง และมาจากการเข้าทำในจังหวะ open play ถึง 10 ครั้ง
- สถิติของลิเวอร์พูลเทียบกับทีมอื่นๆในพรีเมียร์ลีก นับถึงนัดเจอฮัลซิตี้
*******************************************
อ้างอิงข้อมูลจาก post match analysis โดย sky sport, BBC และสถิติจาก whoscored