ชีสนับเป็นหนึ่งในอาหารที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และยังมีความแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ปัจจุบันมีชีสมากกว่า 3,000 ชนิดบนโลกนี้ให้เราเลือกรับประทาน แต่วันนี้จะมาแนะนำชีส 11 ชนิดที่มีความโดดเด่น และแปลกประหลาดกว่าชนิดใดๆ บนโลก จะน่ากินขนาดไหนต้องลองไปพิสูจน์ด้วยตัวเองล่ะนะ
11. Donkey cheese (Serbia)
ชีสจากนมลานั้นอุดมวิตามินซีมากกว่าชีสนมวัวถึง 60 เท่า แต่ลาหนึ่งตัวจะให้น้ำนมได้แค่วันละ 200 มิลลิลิตร (ประมาณนม 1 กล่อง) ต้องใช้น้ำนม 25 ลิตรจึงจะได้ชีส 1 กิโลกรัม นั่นหมายความว่า นมลาเพียวๆ นั้นมีมูลค่าสูงอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นก็คือ €1,000 ต่อกิโลกรัม (ประมาณ 44,500 บาท!) นอกจากผลิตชีสแล้วยังเอาไปทำสบู่ และครีมทาหน้าด้วย ตามตำนานของคลีโอพัตรายังเอ่ยถึงเคล็ดลับความงามด้วยว่า เป็นเพราะพระนางอาบน้ำนมลาเป็นประจำนั่นเอง
10. Alpaca and llama cheese (Andean communities)
สำหรับผู้คนที่อาศัยบริเวณที่ราบเขา Altiplano (เทือกเขาสูงในทวีปอเมริกาใต้ บริเวณประเทศเปรู ชิลี โบลิเวีย และอาร์เจนตินา) แล้ว ตัวลามา และอัลปาก้าเป็นสัตว์ที่มีคุณเป็นอย่างมาก มูลของพวกมันถูกใช้เป็นเชื้อเพลิง ขนนำมาทำเครื่องนุ่งห่ม หนังเอามาทำเครื่องหนัง และน้ำนมของมันก็เอามาทำชีสแสนอร่อยได้ ชีสที่ทำจากน้ำนมตัวลามะ และอัลปาก้านั้นมีอายุการเก็บรักษาได้นาน รสชาติออกเค็ม และเข้มข้นมาก ชีสประเภทนี้หาซื้อได้ยาก เพราะการรีดนมจากสัตว์ประเภทนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มีเรื่องเล่าว่าคนรีดนมอัลปาก้ามักจะโดนตะโกนเสียงดังใส่ และถุยน้ำลายรดด้วย
9. Deer milk cheese (New Zealand)
ชีสจากนมกวางแดง กำลังเป็นที่นิยมมากในนิวซีแลนด์ หลังจากเริ่มมีการผลิต และวางจำหน่ายเพียงหนึ่งปี คาดว่ามันกำลังจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์ส่งออกยอดนิยมของแดนกีวีในอนาคตอย่างแน่นอน แม้เราจะไม่รู้ว่ามันมีรสชาติเป็นอย่างไร แต่หากดูจากราคาน้ำนมกวางที่สูงถึง $100 ต่อลิตร แสดงว่าคงไม่ธรรมดาแน่ๆ
8. Lichen cheese (Canada)
ชีสประเภทนี้เกิดจากการหมักนมแพะกับ Lichen ซึ่งเป็นเห็ดราชนิดหนึ่ง ทำให้ได้กลิ่นคล้ายกับบลูชีส ผู้ที่ค้นพบเห็ดราชนิดนี้คือชาวเผ่าเอสกิโมที่อาศัยอยู่แถบแคนาดานั่นเอง โดยพวกเขาบังเอิญเจอเห็ดนี้อยู่ในกระเพาะอาหารของกวางแคริบูที่ล่ามาได้ พอลองชิมดูก็พบว่ามีความอร่อยเหมือนชีสนั่นเอง
7. American cheese
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีผลิตภัณฑ์ประเภทชีสมากมายหลากหลายมาก และวางอยู่เต็มชั้นทุกๆ วัน รอให้อเมริกันชนมาหยิบไปทำอาหาร ทั้งเบอร์เกอร์หรือแซนด์วิชต่างๆ แต่ความเป็นจริงที่หลายคนไม่รู้ก็คือ ชีสหลายยี่ห้อในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นไม่ใช่ชีสแท้ๆ! แต่เป็นการนำเอานม เวย์โปรตีน ไขมันนม เกลือ เจลาติน นมผง สารปรุงแต่งกลิ่น และน้ำมัน มาผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมให้มีความข้น กลิ่น สี ออกมาเหมือนชีสนั่นเอง ชีสประเภทนี้พบได้ทั่วไปในร้านฟาสต์ฟู้ดต่างๆ(แล้วฟาสฟู้ดในไทยคงไม่ต้องถามสินะว่ายังไง)
6. Human milk cheese (New York)
ไม่เพียงเฉพาะน้ำนมสัตว์เท่านั้น แต่น้ำนมของคนยังเอามาทำชีสได้ด้วย เชฟอเมริกันนามว่า Daniel Angerer ได้ทดลองทำชีสจากน้ำนมของภรรยาตัวเอง แล้วอัพโหลดวิดีโอขั้นตอนการผลิตลงบล็อคด้วย ซึ่งเขาแน่ใจว่าชีสที่ได้จากนมคนนั้นให้คุณ่าทางอาหารมากกว่าชีสจากนมวัวอย่างแน่นอน ถึงจะฟังน่าสนใจขนาดไหนแต่ชีสชนิดนี้ยังไม่มีการผลิตจริงจังเพื่อจำหน่ายแต่อย่างใด เพราะขั้นตอนการผลิตยังไม่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับนั่นเอง
5. Camel's milk cheese (Ethiopia, Mauritania, Sudan and Bedouin communities)
กลุ่มคนเลี้ยงม้าในแถบแอฟริกา เรียนรู้วิธีทำชีสจากนมอูฐมากกว่าศตวรรษแล้ว ชีสที่ทำจากนมอูฐจะมีปริมาณไขมัน และโปรตีนสูงกว่านมวัวมาก จึงมีกรรมวิธีการทำต่างจากทั่วไป คือต้องหมักนมในภาชนะที่ทำจากกระเพาะสัตว์ ชีสแบบนี้จะมีกลิ่นฉุนรุนแรง
4. Airag cheese (Central Asia)
พบได้มากในประเทศแถบเอเชียกลางที่นิยมเลี้ยงม้า โดยจะรีดนมในช่วงที่ม้าจะตกลูก ก่อนจะนำไปหมักทิ้งไว้ เติมนมต้มลงไปเพื่อเพิ่มความเข้มข้น ก่อนนำไปกรองด้วยผ้าขาวบาง ชีสชนิดนี้นิยมรับประทานทั้งแบบแห้งเป็นของว่างระหว่างวัน หรือนำไปใส่ซุปให้นุ่มลงก็ได้
3. Yak cheese (Tibetan communities)
คำเตือน! ชีสชนิดนี้ทำให้คุณฟันหักได้ เพราะมันเหนียวจนเหมือนเคี้ยวยางไม้ก็ไม่ปาน ชีสชนิดนี้ทำจากน้ำนมของตัวจามรี ที่รีดส่วนประกอบที่เป็นน้ำออกจนหมด แล้วนำมาตัดเป็นแท่งนำไปอบด้วยไฟอีกรอบ ได้ความแห้งแข็งระดับสุดยอด เป็นที่นิยมมากในแถบทิเบต อินเดีย เนปาล เพราะเก็บได้นาน และพกพาสะดวก
2. Milbenkase (Germany)
มาที่เยอรมนีเขาก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน เพราะที่นีมีชีสที่จะเลี้ยงตัว Mites (แมลง 6 ขาตัวเล็กๆ ประเภทไร,เห็บ) ไว้ภายใน ซึ่งเอ็นไซม์ในน้ำย่อยของแมลงพวกนี้จะช่วยให้ชีสอ่อนนุ่มขึ้น และค่อยๆ เปลี่ยนสี จากสีเหลืองเป็นน้ำตาลแดง จนกระทั่งเป็นสีดำก็แปลว่าพร้อมรับประทานแล้ว ในขั้นตอนการผลิตจะนำเอาข้าวไรย์มาวางข้างๆ ชีสเพื่อเป็นอาหารเสริมให้กับพวกแมลงอีกด้วย
ชีสชนิดนี้รสชาติจะออกขมๆ แต่มีความพิเศษตรงที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับคนที่เป็นภูมิแพ้ฝุ่นนั่นเอง เข้าทำนองขมเป็นยานั่นแหละ
1. Casu Marzu (Italy)
Casu Marzu (คาสุ มาร์ซู ) ชีสพื้นเมืองของชาว Sardinia ทำมาจากนมแกะ ถ้าแปลให้ตรงตัวแล้ว Casu Marzu จะแปลว่า 'ชีสเน่า' เพราะชาวซาร์ดิเนียนจะนำชีสที่ทำเสร็จแล้ว ไปทิ้งไว้จนเน่าเพื่อดึงดูดให้แมลงวันมาวางไข่ ปล่อยให้หนอนชอนไชดุ๊กดิ๊กอยู่ภายใน ช่วยเร่งกระบวนการหมักให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ชีสมีความอ่อนนุ่มมากเป็นพิเศษ
แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า ชีสชนิดนี้ขึ้นชื่อว่าเป็น 'ชีสที่อันตรายที่สุดในโลก' เลยทีเดียว เพราะถ้ารอให้หนอนข้างในตายก่อน ชีสก้อนนั้นจะเป็นพิษทันที! นั่นแปลว่า ต้องรีบกินขณะที่หนอนยังคงคลานยั้วเยี้ยอยู่นั่นเอง