The Lamb Lies Down On Broadway Peter Gabriel’s last with Genesis
The Lamb Lies Down On Broadway อัลบั้มลำดับที่ 6 ของ Genesis เป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีชของ Peter Gabriel ก่อนที่จะออกจากวงไปหาความท้าทายใหม่ด้วยการเป็นศิลปินเดี่ยว หลังจากเสร็จสิ้นการแสดงทัวร์ Selling England จากอัลบั้ม Selling England by The Pound นั้นแหละครับ ในปี 1974 ทางวงก็ได้ตัดสินใจที่จะทำ Double album ที่เป็น Concept album ซึ่งเป็นโอกาสดีที่พวกเค้าสามารถใส่ไอเดียในการสร้างสรรค์ดนรีได้มากขึ้นแต่ก็ต้องแลกมากับการทำงานที่หนักขึ้นเพื่อสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมมาให้แฟนๆได้ฟังกัน โดยแรกเริ่มนั้น Mike Rutherford ได้เสนอไอเดียที่มาจากนวนิยายที่ชื่อว่า The Little Princess แต่ Peter Gabriel ไม่ชอบไอเดียนี้และคิดว่ามันล้าสมัยไปแล้วที่จะมาทำคอนเซ็ปต์เกี่ยวความแฟนตาซีหรือแฟรี่เทล ในท้ายที่สุดนั้นก็จบมาลงที่ไอเดียของ Peter Gabrie นั้นเอง ซึ่งมันจะเกี่ยวกับตัวละครที่ชื่อ Rael เด็กชายเชื้อสายปวยร์โตรีโกที่อาศัยอยู่ในเมือง New York City ที่ต้องไปผจญภัยและเจอเหตุการณ์อันแปลกประหลาดมากมายที่ไม่มีใครเคยพบเจอมาก่อน ที่ส่วนใหญ่ก็มาจากความฝันของ Peter Gabriel นั้นเอง ทางคอนเซ็ปต์นั้นมีความซับซ้อนและยากที่จะเข้าใจได้ สามารถแปลได้หลายแง่มุม ที่ในแต่ละเพลงจะพูดถึงเรื่องต่างๆสังคมเช่น เพศ, สื่อโฆษณาหรือแม้กระทั่งเรื่องราวที่เป็นเทพนิยายหรือตำนาน
ในทางดนตรีแล้วอัลบั้มนี้ก็ทำด้วยทั้งวงในสตูดิโอนั้นแหละ แต่ว่าเรื่องเนื้อเพลงและการวางคอนเซ็ปของเนื้อหานั้น Gabriel เป็นคนคิดทั้งหมด ถ้าจะบอกเป็น Solo Album ของเค้าเอง ที่มีสมาชิกวง Genesis มาเล่นเครื่องดนตรีให้ก็ไม่ค่อยจะแปลกใจซะเท่าไหร่ (ขนาด Steve Hackett ยังรู้สึกว่าเค้าได้มีส่วนร่วมใน the Lamb น้อยมาก) ซึ่งสำหรับเค้ามันก็ลำบากพอสมควรเพราะเค้ามีเวลาอันน้อยนิดในการเขียนมันขึ้นแต่มันก็ยังคงสุดยอดอยู่นะ ผู้ฟังต้องใช้เวลาและความตั้งใจในการฟังการอ่านเนื้อเพลง ตั้งแต่เริ่มต้นเนื้อเรื่องไปจนถึงตอนจบเพื่อที่จะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ ถึงแม้จะมีความยากความซับซ้อนแค่ไหนแต่ถึงกระนั้นอัลบั้มนี้ก็ยังพิสูจน์ได้ว่าเป็นอัลบั้มโปรดของแฟนๆเดนตายอยู่ดี
ตอนขึ้นแสดงสดนั้น the Lamb จะถูกเล่นทั้งอัลบั้มทุกเพลงแล้วตามด้วย encore เพลงดังๆเพลงอื่นหรือเพลงที่เซอร์ไพรสแฟนๆอย่างเช่น Harold the Barrel ซึ่ง Steve Hackett บอกว่าพวกเราแสดงสดได้ดีกว่าอัดลงบน record เสียอีก แต่อย่างไรก็ตามมันไม่เคยมีวีดีโอบันทึกการสดเลยและหนทางเดียวที่จะได้ชมได้ฟังกันก็จะเป็นทาง Bootlegs ที่จะซาวด์ดีซาวด์แย่ปะปนกันไป ในท้ายที่สุดมันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีกับแฟนๆทั้งโลกเพราะมันมีการบันทึกเสียงจากการแสดงสดใน soundboard ได้ถูกขุดคุ้นมาเพื่อมาให้แฟนๆได้เสพย์เป็นการดำรงไว้ซึ้งความยิ่งใหญ่ของการแสดงสดในอัลบั้มนี้อีกด้วย
แต่ the Lamb ก็ยังไม่ถูกมองว่ามันยอดเยี่ยมทั้งหมดนะ (เช่นเดียวกันกับ Tales from Topographic Oceans ของวง Yes ซึ่งเป็น double concept album จากช่วงกลางของยุค 70s) แล้วมันยังไม่ดีพออีกสำหรับ double concept album ที่มีความยาวและความซับซ้อนขนาดนี้อีกหรอ ? แต่ Phil Collins ก็ได้บอกว่า the Lamb นั้นเริ่มต้นจาก material ที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดในตอนจบ ซึ่งมันก็จริงที่มันดีจนกระทั่งมันถึงเพลง the Carpet Crawlers จากนั้นมันก็ค่อยๆเริ่มแย่ลง ปัจจัยอื่นๆก็คือผู้ฟังต้องการที่จะฟังอะไรก็ตามที่พวกเค้าเคยฟังและแฟนๆของ Genesis ก็ต้องการได้ยินสิ่งที่เป็นมาตรฐานของวงอยู่แล้ว เวลา 2 ชั่วโมงกว่ากัยการเล่นเพลงในอัลบั้มนี้บวกกับเพลงจากอัลบั้มก่อนๆมันไม่ทรมานสำหรับแฟนๆส่วนใหญ่หรอก ได้บอกอีกว่า the Lamb tour เป็นทัวร์แห่งสายเขียวเลยแหละเพราะว่าเค้าเสพย์กัญชาตลอดทุกครั้งแล้วขึ้นไปเล่นแสดงสดบนเวทีและเค้าก็มีความสุขมากๆ
ในระหว่างทัวร์นั้น เนื่องจาก Peter Gabriel ได้มีภาระทางครอบครัวที่มากขึ้น เค้าจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากวงและนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้สถานการณ์วงเริ่มตึงเครียดขึ้น จากสิ่งทั้งหมดที่ได้ทำมาเค้ารู้สึกว่าได้เป็น Frontman ของวงจริงๆและก็รู้สึกผิดเพราะการที่ผู้คนได้คิดว่าเค้าเป็นคนเขียนเพลงขึ้นมาทุกเพลงและทำทุกสิ่งอย่าง the Lamb ทำให้เค้าวิตกกังวลเป็นอย่างมาก รวมทั้ง Concept และเรื่องราวของมันก็คือการที่เค้าโดดเด่นมากกว่าและบดบังรัศมีของวง มันเป็นสิ่งที่ผู้คนยัดเยียดให้กับเค้าและทำให้ต้องออกจากวงไปในที่สุด เค้าได้ประกาศลาออกทันทีหลังจากที่ทัวร์ the Lamb จบ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับผู้คนที่วิจารณ์เค้าไปต่างๆนานานั้นแหละ ได้บอกว่าเหมือน Genesis ไม่มีความสำคัญอีกต่อไปแล้วเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ทำมาในอดีต แต่มันมีบางคนที่ยังคิดว่าสมาชิกของวงไม่มีทางถูกทำลายได้ง่ายๆหรอกและทางสมาชิกก็คงมีแผนการสำหรับอัลบั้มต่อไปแล้ว ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเค้าคิด แล้วนั้นมันก็จุดจบของ Genesis Classic Lineup ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุด แต่มันก็เป็นจุดจบที่สวยงามได้จากไปพร้อมกับหนึ่งในอัลบั้มที่ดีที่สุดของวงการ Progressive Rock
นี้แหละครับ Concept album 555 เป็นจุดเด่นของ Genesis ยุค Peter Gabriel เลย ถ้าจะมีคล้ายกันก็พวก Neo Progressive อย่าง Marillion, IQ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก Genesis เนี่ยแหละครับ
นี้แหละครับ Concept album 555 เป็นจุดเด่นของ Genesis ยุค Peter Gabriel เลย ถ้าจะมีคล้ายกันก็พวก Neo Progressive อย่าง Marillion, IQ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก Genesis เนี่ยแหละครับ
จริงๆ ก็เห็น concept album เยอะเหมือนกันนะ พวก Pink Floyd, The Who ฯ แต่ว่าไงดี ส่วนใหญ่เนื้อหาในเพลงมันจะเชื่อมต่อกันก็จริง แต่ก็ยังฟังเป็นเพลงๆ ได้ แต่อันนี้มันแบบ ไปอีกทางนึงเลย งงมั้ย 555
นี้แหละครับ Concept album 555 เป็นจุดเด่นของ Genesis ยุค Peter Gabriel เลย ถ้าจะมีคล้ายกันก็พวก Neo Progressive อย่าง Marillion, IQ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก Genesis เนี่ยแหละครับ
จริงๆ ก็เห็น concept album เยอะเหมือนกันนะ พวก Pink Floyd, The Who ฯ แต่ว่าไงดี ส่วนใหญ่เนื้อหาในเพลงมันจะเชื่อมต่อกันก็จริง แต่ก็ยังฟังเป็นเพลงๆ ได้ แต่อันนี้มันแบบ ไปอีกทางนึงเลย งงมั้ย 555
นี้แหละครับ Concept album 555 เป็นจุดเด่นของ Genesis ยุค Peter Gabriel เลย ถ้าจะมีคล้ายกันก็พวก Neo Progressive อย่าง Marillion, IQ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก Genesis เนี่ยแหละครับ
จริงๆ ก็เห็น concept album เยอะเหมือนกันนะ พวก Pink Floyd, The Who ฯ แต่ว่าไงดี ส่วนใหญ่เนื้อหาในเพลงมันจะเชื่อมต่อกันก็จริง แต่ก็ยังฟังเป็นเพลงๆ ได้ แต่อันนี้มันแบบ ไปอีกทางนึงเลย งงมั้ย 555
นี้แหละครับ Concept album 555 เป็นจุดเด่นของ Genesis ยุค Peter Gabriel เลย ถ้าจะมีคล้ายกันก็พวก Neo Progressive อย่าง Marillion, IQ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก Genesis เนี่ยแหละครับ
จริงๆ ก็เห็น concept album เยอะเหมือนกันนะ พวก Pink Floyd, The Who ฯ แต่ว่าไงดี ส่วนใหญ่เนื้อหาในเพลงมันจะเชื่อมต่อกันก็จริง แต่ก็ยังฟังเป็นเพลงๆ ได้ แต่อันนี้มันแบบ ไปอีกทางนึงเลย งงมั้ย 555
นี้แหละครับ Concept album 555 เป็นจุดเด่นของ Genesis ยุค Peter Gabriel เลย ถ้าจะมีคล้ายกันก็พวก Neo Progressive อย่าง Marillion, IQ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก Genesis เนี่ยแหละครับ
จริงๆ ก็เห็น concept album เยอะเหมือนกันนะ พวก Pink Floyd, The Who ฯ แต่ว่าไงดี ส่วนใหญ่เนื้อหาในเพลงมันจะเชื่อมต่อกันก็จริง แต่ก็ยังฟังเป็นเพลงๆ ได้ แต่อันนี้มันแบบ ไปอีกทางนึงเลย งงมั้ย 555