ค.ศ.1861- ค.ศ.1865 (สงครามกลางเมืองอเมริกา) อับราฮัม ลินคอล์น จากเรื่อง Lincoln (ออกฉายปี 2012) แสดงโดย Daniel Day-Lewis(ชนะออสการ์ดารานำชาย)
อับราฮัม ลินคอล์น เป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา เกิดค.ศ. 1809 - อสัญกรรม ค.ศ. 1865
ลินคอล์นดำรงตำแหน่งตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 1861 กระทั่งถูกลอบสังหารเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1865 เขาประสบความสำเร็จในการนำพาประเทศผ่านพ้นสงครามกลางเมืองอเมริกา ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญ ทางทหารและศีลธรรมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยรักษาไว้ซึ่งสหภาพ ขณะที่เลิกทาส และส่งเสริมการทำให้เศรษฐกิจและการเงินทันสมัย
ในวัยเด็กแม่ของลินคอล์นเสียชีวิตขณะที่เขาอายุเพียง 9 ขวบ ในวัยหนุ่มลินคอล์นรับจ้างตัดไม้ทำรั้ว และเป็นทนายความในเวลาต่อมา ลินคอล์นเป็นทนายความที่เก่ง ตอนลงการเมืองแรกๆลินคอล์นยังไม่มีชื่อเสียงนัก ถึงตอนเสนอตัวเป็นตัวแทนพรรคเพื่อสมัครเป็นประธานธิบดี ลินคอล์นก็เป็นรองคู่แข่ง แต่ด้วยทัศนะเกี่ยวกับระบบทาสในสหรัฐ ทำให้ลินคอล์นเป็นตัวแทนพรรคลงสมัครเป็นประธานาธิบดีและชนะการเลือกตั้งในที่สุด
ลินคอล์นโดนลอบสังหารในวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1865 ที่โรงละครฟอร์ดส, กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.โดย จอห์น ไวลค์ส บูธที่ต่อต้านแนวคิดที่จะล้มล้างระบบทาสในสหรัฐฯ ลินคอล์นได้ถึงแก่อนิจกรรมในเช้าถัดมาหลังจากถูกบูธใช้ปืนยิงหนึ่งนัดเข้าที่ด้านหลังของศีรษะ
หลังจากการลอบสังหาร บูธขี่ม้าหนีไปยังรัฐแมริแลนด์ทางตอนใต้ ก่อนจะเดินทางไปยังไร่ในแถบชนบทในรัฐเวอร์จิเนียทางตอนเหนือในอีก 12 วันต่อมา ก่อนที่เขาจะถูกตามสะกดรอยมาถึงที่ และถูกบอสตัน คอร์เบ็ท ทหารสหรัฐฯ ยิงโดยฝ่าฝืนคำสั่งที่ให้จับเป็น ผู้ก่อการอีก 8 คนที่เหลือถูกจับกุม ไต่สวนและถูกตัดสินว่าผิดจริง โดยที่ในนั้นมี 4 คนที่ถูกแขวนคอ
ค.ศ.1867 – ค.ศ. 1912 (ครองราชย์) จักรพรรดิเมจิ จากเรื่อง The Last Samurai (ออกฉายปี2003) แสดงโดย Shichinosuke Nakamura
หมายเหตุ ตรงกับเมืองไทยสมัย ร.5 (รัชกาลที่ 5 ทรงขึ้นครองราชย์ปี ค.ศ.1868 – ค.ศ.1910)
สมเด็จพระจักรพรรดิมุสึฮิโตะ พระนามตามรัชสมัยคือ จักรพรรดิเมจิ ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 122 ของประเทศญี่ปุ่น ครองราชย์ตั้งแต่ ค.ศ.1868 ด้วยพระชนมายุเพียง 14 พรรษา จนเสด็จสรรคต
เจ้าชายมุสึฮิโตะเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อ ค.ศ.1868 หลังการสวรรคตของสมเด็จพระจักรพรรดิโคเม พระราชบิดาที่ประชวรด้วยไข้ทรพิษ ประมาณ 4 วัน
ในปีค.ศ.1869 กลุ่มผู้จงรักภักดีต่อราชบัลลังก์ และต่อต้านอำนาจของโชกุนตระกูลโทะกุงะวะ ประกาศนโยบายฟื้นฟูพระราชอำนาจแห่งจักรพรรดิ ณ พระราชวังเคียวโตะ ซึ่งต่อมาในเดือนเดียวกันนั้น กองกำลังของกลุ่มผู้จงรักภักดีต่อราชวงศ์จากแคว้นโจชูและแคว้นซะสึมะได้กำชัยอย่างเด็ดขาดในสงครามโทะบะ-ฟุชิมิ ซึ่งเป็นการตอกย้ำความล่มสลายของรัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะลงไปอีก สงครามกลางเมืองได้ปะทุขึ้นเป็นครั้งคราว จนกระทั่งกองกำลังของตระกูลโทะกุงะวะปราชัยอย่างราบคาบในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1869
จักรพรรดิเมจิ ได้ย้ายเมืองหลวงจากเกียวโตไปที่เมืองเอโดะแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นโตเกียว พระองค์ได้เปลี่ยนแปลงประเทศจากระบอบศักดินาให้เป็นจักรวรรดิในเวลาต่อ ได้นำประเทศญี่ปุ่นสู้ความทันสมัย ทั้งไฟฟ้า รถไฟ อุตสาหกรรม
ปี ค.ศ.1904-1905 ได้ทำสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น แล้วญี่ปุ่นชนะ เป็นครั้งแรกๆที่จักรวรรดิทางเอเซียชนะจักรวรรดิทางยุโรปได้ ทำให้บัลลังจักรพรรดิซาร์นิโคลัสแห่งรัสเซียสั่นคลอน และเป็นการเพิ่มความมั่นใจของชนชาติญี่ปุ่นเป็นอย่างมากจนเกิดลัทธิชาตินิยมแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่น
ค.ศ.1911 ปฏิวัติซินไห่ ซุน ยัตเซ็น จากหนังเรื่อง The 1911 Revolution (ออกฉายปี 2011) แสดงโดย Winston Chao
หนังเรื่องนี้ฉลองครบรอบ 100 ปีการปฏิวัติซินไห่ ล่มล้างราชวงศ์แมนจู เป็นหนังถ่ายทอดเรื่องราวของช่วงเวลานั้น
ซุน ยัตเซ็น (ค.ศ. 1866 - ค.ศ. 1925) เป็นนักปฏิวัติและประธานาธิบดีจีน ซุนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น "บิดาของชาติ" ในสาธารณรัฐจีน และ "ผู้บุกเบิกการปฏิวัติประชาธิปไตย" ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ด้วยความเป็นผู้ริเริ่มจีนชาตินิยมคนสำคัญ ซุนมีบทบาทสำคัญในการล้มราชวงศ์ชิงระหว่างการปฏิวัติซินไฮ่ ซุนเป็นประธานาธิบดีเฉพาะกาลคนแรกเมื่อสาธารณรัฐจีนก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1912 และภายหลังร่วมก่อตั้งพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งเขาเป็นหัวหน้าพรรคคนแรก ซุนเป็นบุคคลผู้สร้างความสามัคคีในจีนหลังยุคจักรวรรดิ และยังคงเป็นนักการเมืองจีนสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 20 เพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างกว้างขวางจากประชาชนทั้งสองฟากฝั่งช่องแคบไต้หวัน
ซุน ยัตเซ็น เดิมชื่อ ซุนเหวิน เกิดในครอบครัวที่ฐานะยากจน แต่ก็เรียนจบแพทย์ที่มหาวิทยาลัยการแพทย์ฮ่องกง อายุ 33 ปีเปลี่ยนชื่อเป็น ซุน ยัตเซ็น (จีนกลาง ซุน จงซาน)
ค.ศ.1917(ระยะครองราชย์หลังการปฏิวัติ) จักรพรรดิผู่อี๋ จากเรื่อง The Last Emperor (ออกฉายปี1987 ชนะ 9 ออสการ์) แสดงโดย John Lone
สมเด็จพระจักรพรรดิผู่อี๋ (ค.ศ.1906 – ค.ศ.1967) หรือ เฮนรี่ ผู่อี๋ (ชื่ออังกฤษที่เรจินัล จอนสตันตั้งให้) เป็นจักรพรรดิหรือฮ่องเต้ชาวแมนจูแห่งราชวงศ์ชิง และเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 10 แห่งราชวงศ์ชิง (นับเริ่มแต่จักรพรรดิซุ่นจื้อ) และเป็นองค์สุดท้ายของประเทศจีน จากปี ค.ศ 1908 จนกระทั่งสละราชสมบัติใน ค.ศ 19012และในช่วงระยะเวลาการฟื้นฟูราชวงศ์สั้นๆในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1917 โดยขุนซึก จาง ซวิน ต่อมาในปี ค.ศ. 1934 ก็ได้สถาปนาเป็น สมเด็จพระจักรพรรดิคังเต๋อ ในประเทศแมนจูกัว ซึ่งถูกสถาปนาขึ้นโดย จักรวรรดิญี่ปุ่น พระองค์ครองราชย์ที่แมนจูกัวจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1945 ต่อมาภายหลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี ค.ศ. 1949 ผู่อี๋ได้เข้าเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 จนกระทั่งสวรรคตเยี่ยงสามัญชนในปี ค.ศ. 1967
ผู่อี๋ หรือ ถูกเลือกให้เป็นจักรพรรดิโดยพระนางซูสีไทเฮาในขณะที่ประชวรหนักอยู่บนพระแท่นบรรทม ผู่อี๋ขึ้นเป็นจักรพรรดิในขณะที่มีพระชนมายุ 2 พรรษากับอีก 10 เดือน ในเดือน ธันวาคม ค.ศ 1908
หลังปฏิวัติซินไห่ในปี ค.ศ.1911 ผู่อิ๋ก็เหมือนเป็นกษัตริย์เพียงแค่ในนาม ไม่มีอำนาจบริหารบ้านเมืองเช่นจักรพรรดิจีนก่อนหน้านี้ โดนขังไว้ในวังต้องห้าม แต่ก็มีเหตุการณ์มากมายวุ่นวายแย่งอำนาจในประเทศจีน ผู่อี๋โดนขับออกจากวังต้องห้ามในปี ค.ศ.1924 และได้ไปพำนักอยู่ในสถานทูตญี่ปุ่น 1 ปี และได้รับการสนับสนุนจากจักรวรรดิญี่ปุ่นให้เป็นจักรพรรดิแห่งแมนจูกัวที่ญี่ปุ่นครอบครองอยู่ นับเป็นผู้บริหารหุ่นเชิดให้กับจักรวรรดิญี่ปุ่น
เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ.1945 ผู่อี๋โดนจับได้โดนกองทัพแดงของโซเวียตขณะกำลังจะหนีไปญี่ปุ่น ต่อมา เหมาเจ๋อตุงมีอำนาจในจีนได้เจรจาต่อรองให้ผู่อี๋กลับมาสอบสวนที่จีน แต่ก็ได้รับการอภัยโทษเป็นพิเศษจากเหมาเจ๋อตุง และใช้ชีวิตเฉกเช่นสามัญชนในปักกิ่งกับน้องสาวเป็นเวลา 6 เดือนก่อนที่จะย้ายไปยังโรงแรมที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาล ผู่อี๋บอกว่าจะสนับสนุนและทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์โดยการเป็นคนสวนในสถาบันพฤษศาสตร์ เมื่ออายุ 56 ปี ผู่อี๋ได้แต่งงานกับหลี่ สูเสียน ซึ่งเป็นพยาบาล ในปี ค.ศ 1962 ต่อมาเขาได้ทำงานเป็นบรรณาธิการแผนกวรรณกรรมที่สภาที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติ โดยมีรายได้ 100 หยวน ต่อเดือนและเป็นที่ทำงานที่ผู่อี๋ทำจนวาระสุดท้ายของชีวิต
ผู่อี๋ นับเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีนที่มีมายาวนานถึง 2000 กว่าปี จากตำแหน่งโอรสสวรรค์แต่ปั้นปลายและวาระสุดท้ายของชีวิตแบบคนธรรมดา
ค.ศ.1934-ค.ศ.1945 (ดำรงค์ตำแหน่งฟือเรอร์) อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จากเรื่อง Der Untergang ( Downfall ออกฉายปี2004) แสดงโดย Bruno Ganz
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เกิดเมื่อ 20 เมษายน ค.ศ. 1889 ที่เมืองเบราเนา อัม อินน์ จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี สัญชาติออสเตรีย ฮิตเลอร์เกิดมาที่มีพ่อเป็นคนเข้มงวดและอายุมาก มีแม่ที่รักลูกมาก พ่อของฮิตเลอร์มีอาชีพศุลกากรและอยากให้ลูกชายตามรอยความสำเร็จในอาชีพของเขา แต่ฮิตเลอร์อยากเรียนศิลปะมากกว่า
แต่ในปี ค.ศ. 1900 พ่อของฮิตเลอร์ได้ส่งฮิตเลอร์ไปเรียนในโรงเรียนอาชีวะ เรอัลชูเลอ (Realschule) ในลินซ์ ฮิตเลอร์ขัดขืนต่อการตัดสินใจนี้ และใน ไมน์คัมพฟ์(หนังสือที่ฮิตเลอร์เขียน) ได้เปิดเผยว่า เขาเรียนได้เลวมากในโรงเรียน ด้วยหวังว่าเมื่อบิดาเห็นว่า "ฉันมีความคืบหน้าน้อยเพียงใดที่โรงเรียนอาชีวะ เขาจะปล่อยให้ฉันอุทิศตัวเองแก่ความใฝ่ฝันของฉัน"
ฮิตเลอร์ไม่ได้สนใจเรียนตามพ่อบอกเลย จนปี 1903 พ่อของเขาได้เสียชีวิต ฮิตเลอร์ก็เปลี่ยนที่เรียน จนปี 1905 หลังสอบปลายภาค ก็ได้ออกจากโรงเรียนโดยไม่แยแส
นับจาก ค.ศ. 1905 ฮิตเลอร์ได้ใช้ชีวิตแบบโบฮีเมี่ยนในเวียนนาด้วยเงินสงเคราะห์เด็กกำพร้าและการสนับสนุนจากมารดา เขาทำงานเป็นกรรมกรชั่วคราว และท้ายสุด เป็นจิตรกรขายภาพวาดสีน้ำ
สถาบันวิจิตรศิลป์เวียนนาปฏิเสธเขาสองครั้ง ใน ค.ศ. 1907 และ 1908 เพราะ "ความไม่เหมาะสมที่จะวาดภาพ" ของเขา
ค.ศ. 1907 มารดาของเขาเสียชีวิตในวัย 47 ปี หลังสถาบันฯ ปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง ฮิตเลอร์ก็หมดเงิน ใน ค.ศ. 1909 เขาอาศัยอยู่ในที่พักคนไร้ที่บ้าน และใน ค.ศ. 1910 เขาย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านพักชายรับจ้างยากจนบนถนนเมลเดมันน์สทราเซอ
ด้วยความหลงใหลในลัทธิชาตินิยมเยอรมันตั้งแต่เยาว์วัย ฮิตเลอร์แสดงความเคารพต่อเยอรมนีเท่านั้น แม้ราชวงศ์ฮับสบูร์กและการปกครองเหนือจักรวรรดิออสเตรียที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติจะเสื่อมลงก็ตาม ฮิตเลอร์และเพื่อนของเขาใช้คำทักทายภาษาเยอรมัน "ไฮล์" และร้องเพลงชาติเยอรมัน "ดอยท์ชลันด์อือแบร์อัลเลส์" แทนเพลงชาติจักรวรรดิออสเตรีย
และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ปะทุ ฮิตเลอร์สมัครเข้ารับราชการในกองทัพเยอรมัน เขาได้รับการตอบรับในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 ทั้งๆที่เขายังเป็นพลเมืองออสเตรีย เขาถูกจัดไปยังกรมทหารราบกองหนุนบาวาเรีย 16 (กองร้อยที่ 1 แห่งกรมลิสท์) เขาปฏิบัติหน้าที่เป็นพลนำสารส่งแนวรบด้านตะวันตกในฝรั่งเศสและเบลเยียม นี่เป็นการเริ่มสู่วงการทหารและการเมืองในเวลาต่อมา
หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 1 สนธิสัญญาแวร์ซายกำหนดให้เยอรมนีต้องสละดินแดนหลายแห่งและให้ไรน์แลนด์ปลอดทหาร สนธิสัญญากำหนดการลงโทษทางเศรษฐกิจและเรียกเก็บค่าปฏิกรรมจากประเทศเยอรมัน ทำให้ฮิตเลอร์เจ็บใจที่ชาติที่ตนรักต้องมีชะตากรรมเช่นนี้(ฮิตเลอร์เป็นคนออสเตรียแต่ใจเป็นเยอรมัน)
จากนั้นฮิตเลอร์ก็พยายามเข้าสู่วงการการเมือง ล้มลุกคลุกคลาน เคยโดนจับขังคุก(เขียนหนังสือ ไมน์คัมพฟ์ การต่อสู่ของข้าพเจ้า) โดยปล่อยตัวก็เคลื่อนไหวต่อ จนได้เป็นนายกรัฐมนตรี และผู้นำเผด็จการณ์(ฟือเร่อร์) พาโลกเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 แพ้สงคราม และฆ่าตัวตายในบังเกอร์ในปี ค.ศ. 1945 หลังจากทราบแน่ชัดแล้วว่านาซีแพ้สงคราม
เรื่องราวของฮิตเลอร์ละเอียดมาก หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
ค.ศ.1936 (ครองราชย์) พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 แห่งสหราชอาณาจักร จากหนังเรื่อง The King's Speech (ออกฉายปี2010) แสดงโดย Guy Pearce
หนังเกี่ยวกับ พระเจ้าจอร์จที่ 6 ที่เป็นน้องชายของ พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 แต่เรื่องของ พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 น่าสนใจกว่า
กษัตริย์ที่สละราชสมบัติเพื่อหญิงที่ตนรัก
เจ้าชายเอดเวิร์ด ดยุกแห่งวินเซอร์ หรืออดีต สมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 (เอดเวิร์ด อัลเบิร์ต คริสเตียน จอร์จ แอนดรูว์ แพทริค เดวิด) เป็นอดีตพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ รวมถึงดินแดนของอังกฤษในโพ้นทะเลต่าง ๆ และสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งอินเดีย
เรื่องมีอยู่ว่า *พระเจ้าจอร์จที่ 5 ที่เป็นพระราชบิดา สววรคต ในปี ค.ศ 1936 เจ้าชายเอดเวิร์ด ที่เป็นพระราชโอรสองค์โต มีตำแหน่ง เจ้าชายแห่งเวลส์ หรือมกุฎราชกุมาร ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดาตามสายตรง
* หมายเหตุ พระเจ้าจอร์จที่ 5 เป็นหลานย่าของควีนวิคตอเรีย เป็นกษัตริย์ที่เปลี่ยนชื่อราชวงค์จากซัคเซิน-โคบูร์กและโกทาของพระราชบิดามาเป็นราชวงค์วินเซอร์(ในปัจจุบัน) เพราะยุคนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เลยมีการต่อต้านเยอรมัน ชื่อราชวงค์เก่าเป็นชื่อราชวงค์เยอรมันมาจากเจ้าชายอัลเบิร์ต พระสวามีของควีนวิคตอเรียที่เป็นปู่ของพระเจ้าจอร์จที่ 5 เอง
คิงเอดเวิร์ดที่ 8 ครองราชย์เพียง 11 เดือน(ในปี 1936) ช่วงเวลาหลายเดือนในรัชกาล พระองค์ทรงทำให้เกิดวิกฤตการณ์ในรัฐธรรมนูญ ได้ชื่อว่าวิกฤตการณ์สละราชสมบัติด้วยการขออภิเษกสมรสกับวอลลิส ซิมป์สัน แม่ม่ายหย่าร้างชาวอเมริกัน
คิงเอดเวิร์ดกับวอลลิส ซิมป์สันพบกันตั้งแต่ก่อนเอดเวิร์ดจะขึ้นครองราชย์ นางซิมป์สันเป็นแม่หม้ายผ่านการหย่าร้างมาแล้ว 2 ครั้ง และเอดเวิร์ดต้องการจะแต่งกับเธอ แม้ว่าทางกฎหมายแล้วคิงเอดเวิร์ดจะสามารถแต่งงานกับวอลลีส ซิมป์สัน แล้วเป็นกษัตริย์ต่อไปได้
แต่คณะรัฐมนตรีได้คัดค้านการแต่งงานโดยโต้แย้งว่าประชาชนจะไม่ยอมรับเธอเป็นพระราชินีได้เลย คิงเอดเวิร์ดทรงทราบดีว่ารัฐบาลของสแตนเลย์ บาลด์วิน นายกรัฐมนตรีจะลาออกถ้าการแต่งงานคงดำเนินต่อไป อันจะทำให้ลากพระองค์ไปสู่การเลือกทั่วไปซึ่งจะเป็นการทำลายสถานะของพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ทรงเป็นกลางทางการเมืองของพระองค์อย่างไม่สามารถแก้ไขได้ แทนที่จะเลิกกับนางซิมป์สัน แต่พระองค์กลับทรงเลือกที่จะสละราชสมบัติ พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 เป็นพระประมุของค์เดียวของสหราชอาณาจักรที่ทรงสละราชบัลลังก์อย่างสมัครใจ นอกจากนี้ยังเป็นพระประมุขที่ทรงครองราชสมบัติสั้นที่สุดพระองค์ในประวัติศาสตร์อังกฤษ และมิได้ทรงกระทำพิธีบรมราชาภิเษกเลย
ผู้ที่มาสืบบัลลังค์ต่อคือเจ้าชายอัลเบิร์ตที่เป็นน้องชาย ใช้พระนามว่า สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร (พระราชบิดาของควีนอลิธซาเบธที่ 2 กษัตริย์อังกฤษองค์ปัจจุบัน)
หลังจากการสละราชสมบัติ เอดเวิร์ดได้พระยศเป็น ดยุคแห่งวินเซอร์ และถูกส่งไปเป็นแค่ข้าหลวงใหญ่ประจำหมู่เกาะบาฮามัสในแถบทะเลอเมริกากลาง (ส่งไปซะไกลเลย) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เจ้าชายเอดเวิร์ดก็ไม่ทรงได้รับการแต่งตั้งทางราชการอื่นใดอีกเลย และใช้ชีวิตร่วมกันกับ วอลลีส ซิมป์สันอย่างสันโดษจนวาระสุดท้ายของชีวิตในปี ค.ศ.1972(พ.ศ.2515) โดยมี วอลลีส ซิมป์สันอยู่ข้างกายขณะสิ้นพระชนน์
จะผู้ชายคนไหนในโลกนี้ที่รักผู้หญิงคนหนึ่งมากมายได้ขนาดยอมสละราชสมบัติได้
มีคำพูดเชิงตลกว่า ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ชาวอเมริกันขโมยพระมหากษัตริย์ไปจากชาวอังกฤษ (วอลลีส ซิมป์สันเป็นชาวอเมริกัน)
ค.ศ.1945 (ปีที่เสียชีวิต) นายพลแพตตัน จากเรื่อง Patton (ออกฉายปี 1970 ชนะ 7 รางวัลออสการ์) แสดงโดย George C. Scott (ชนะออสการ์ดารานำชาย)
จอร์จ เอส แพตตัน George S. Patton (1885-1945) เป็นนายพลคนสำคัญของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง แพ็ตตันเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการทหารของสหรัฐฯ เขามีส่วนในบัญชาการรบที่แอฟริกาเหนือ การยกพลขึ้นบกที่เกาะชิชิลีของอิตาลี ภายใต้ปฏิบัติการฮัสกี้ (Operation Husky) จนทำให้ฝ่ายพันธมิตรยึดเกาะชิชิลีได้ และทำการยกพลขึ้นบกที่แผ่นดินใหญ่ของอิตาลีในเวลาต่อมา (Allied invasion of Italy) ด้วยลักษณะนิสัยที่มีความเคร่งครึมในตัว นายพลแพตตันจึงเป็นนายพลเพียงคนเดียวของฝ่ายพันธมิตรที่ทหารในกองทัพเยอรมันกลัว
แพตตันเป็นคนมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 แพตตันมีความขัดแย้งกับนายพลมอนโกมอรี่ของอังกฤษอย่างมาก แต่กองทัพภายใต้การบังคับบัญชาของแพตตันก็รบได้มีประสิทธิภาพมากที่สุดหน่วยหนึ่งของสัมพันธมิตรเลย
แพตตันเคยผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นนายพลในสงครามโลกครั้งที่ 2 จบชนะสงคราม แต่หลังสงครามไม่กี่เดือน แพตตันเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในวันที่ 21 ธันวาคม 1945 ที่เมืองฮิลเดนเบิร์ก ประเทศเยอรมัน
ว่ากันว่าแพตตันเป็นคนแนะนำในกองทัพสหรัฐบุกโซเวียตรัสเซียต่อเลยหลังจากเยอรมันยอมแพ้ ด้วยเหตุว่าโซเวียตรัสเซียเป็นคอมมิวนิสต์ซักวันก็ต้องรบกัน ทำไมไม่ทำตอนนี้ ตอนที่กำลังทหารเราพร้อมและจ่ออยู่หน้าบ้านรัสเซียแล้ว นับว่าแพตตันเป็นคนเริ่มสงครามเย็นระหว่างโลกเสรีกับคอมมิวนีสต์คนแรกเลยหากเป็นเช่นนี้จริง และนี่อาจจะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอุบัติเหตุของแพตตันก็ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้
นายพลกระดูกเหล็ก ผ่านสงครามโลกมาสองครั้ง แต่มาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุหลังสงครามสงบไม่กี่เดือน
ค.ศ. 1948 (ปีที่อสัญกรรม) มหาตมา คานธี จากหนังเรื่อง Gandhi (ออกฉายปี1982 ชนะ 8 ออสการ์) แสดงโดย Ben Kingsley(ออสการ์ดารานำชาย)
มหาตมา คานธี (Mahatma Gandhi) มีชื่อเต็มว่า โมหันทาส กะรัมจันท คานธี เป็นผู้นำและนักการเมืองที่มีชื่อเสียงชาวอินเดียและศาสนาฮินดู
เกิด ค.ศ. 1869 - อสัญกรรมในปี ค.ศ.1948 จากการลอบสังหาร
ปีค.ศ. 1888 คานธีได้เดินทางไปอังกฤษ เมื่อไปถึงอังกฤษ คานธีพบปัญหาใหญ่ในการดำเนินชีวิตในอังกฤษ นั่นคือ วัฒนธรรม มารยาท สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในอังกฤษนั้นไม่เหมือนอินเดีย คานธีต้องระวังตนในเรื่องมารยาทซึ่งจะมาทำตามคนอินเดียเหมือนเดิมไม่ได้ คานธีต้องปรับตัวบุคลิกต่างๆให้เข้ากับคนอังกฤษให้ได้ และในที่สุดคานธีก็สำเร็จการศึกษาและสอบได้เป็นเนติบัณฑิต และเมื่อได้เป็นเนติบัณฑิตแล้ว คานธีก็เดินทางกลับสู่อินเดียใน ค.ศ. 1892 เพื่อประกอบอาชีพ
ใน ค.ศ. 1893 คานธีได้เดินทางไปว่าความที่ประเทศแอฟริกาใต้ โดยเมื่อเดินทางไปถึง คานธีได้ซื้อตั๋วรถไฟชั้น First Class (ชั้นที่หรูหราสะดวกสบายที่สุด ค่าตั๋วแพงที่สุด) ไปยังเมืองที่ ลูกความ ต้องการ แต่ทว่า ผู้โดยสารชั้น First Class ที่ผิวขาว ไม่พอใจที่คนผิวคล้ำอย่างคานธีมาอยู่ร่วมชั้น First Class กับพวกเขา จึงไปประท้วงบอกเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงเดินมาสั่งให้คานธีย้ายตู้โดยสารไปโดยสารตู้ของ Third Class (ชั้นไม่สะดวก ไม่หรูหรา แต่ค่าตั๋วถูกที่สุด) ทั้งๆที่คานธีเสียเงินซื้อตั๋ว First Class มาอย่างถูกต้อง คานธีจึงปฏิเสธ ทำให้ความขัดแย้งในรถไฟชั้น First Class รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด คานธีก็ถูกเจ้าหน้าที่รุมทำร้าย และคานธีถูกผู้โดยสารผิวขาวโยนออกมาจากรถไฟ โดยเจ้าหน้าที่ต่างอ้างว่า รถไฟชั้นหนึ่งนี้สร้างสำหรับผู้โดยสารผิวขาวเท่านั้น
เหตุการณ์นี้ทำให้คานธีเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งเศร้ามากยิ่งขึ้นเมื่อรู้ว่าชาวผิวคล้ำเกือบทุกคนถูกเหยียดหยามจากชนผิวขาวในแอฟริกาใต้ นับแต่นั้น คานธีก็ได้เข้าต่อสู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชนของชาวผิวคล้ำในแอฟริกาใต้ และเมื่อคานธีรู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่จบง่ายๆ จึงได้เดินทางไปอินเดียใน ค.ศ. 1896 เพื่อพาครอบครัวมาอยู่ด้วยกันที่แอฟริกาใต้ และกลับสู่อินเดียใน ต้นปี ค.ศ. 1897 และใช้ชีวิตครอบครัวต่อจนมีลูกกับภรรยาต่ออีก 2 คน
เป็นการเริ่มต้นการต่อสู่เพื่อสิทธิมนุษยชนทั้งในอาฟริกาใต้และอินเดียที่เป็นอาณานิยมของอังกฤษทั้งคู่
ค.ศ. 1922 ได้เกิดเหตุใช้กำลังต่อสู้กันอีกครั้ง คานธีถูกจับกุมในฐานะผู้ก่อความไม่สงบ และถูกศาลตัดสินจำคุก 6 ปี แต่ถูกปล่อยตัวออกมาก่อนกำหนดเพราะเหตุผลทางสุขภาพใน ค.ศ. 1924 และตั้งแต่ถูกปล่อยตัว คานธีก็หันไปแก้ไขปัญหาที่เกิดจากภายในประเทศก่อน เช่น ฟื้นฟูเศรษฐกิจชนบท แก้ไขปัญหาการถือชนชั้นวรรณะในอินเดีย ปัญหาความขัดแย้งระหว่างศาสนาฮินดูกับมุสลิม ปัญหาความไม่เสมอภาคของสตรี และปัญหาต่างๆ ที่ไม่ได้เกิดจากการกดขี่จากต่างประเทศ
ค.ศ. 1930 คานธีหวนกลับสู่สังเวียนการเมืองอันเร่าร้อน เพราะต้องการประท้วงกฎหมายอังกฤษที่ห้ามคนอินเดียทำเกลือกินเอง เป็นสิ่งที่ไม่สมควรที่จะไม่ให้คนอินเดียใช้ทรัพยากรของอินเดีย โดยในวันที่ 12 มีนาคม คานธีได้เริ่มสัตยาเคราะห์เกลือ หรือการเดินทางไปยังชายทะเลในตำบลฑัณฑี พร้อมกับประชาชนนับแสนคนที่เต็มใจไปกับคานธี คานธีเดินทางเป็นเวลา 24 วัน 400 กิโลเมตร ก็ไปถึงชายทะเล คานธีบอกประชาชนนับแสนให้ร่วมกันทำเกลือกินเอง ดังนั้น ในวันนั้น คานธีและประชาชนนับแสนได้ทำเกลือจากทะเลกินเอง เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่อังกฤษตั้งไว้
คานธีต่อสู้ทางการเมืองมาตลอดจนกระทั่ง 15 สิงหาคม ค.ศ. 1947 อินเดียเป็นอิสระจากอังกฤษโดยสมบูรณ์ และในวันนั้น อินเดีย ก็แตกเป็น 2 ประเทศ คืออินเดียของชาวฮินดู กับปากีสถานของมุสลิม แต่ว่า ท้องที่ๆ คนส่วนใหญ่เป็นศาสนาหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนอีกศาสนาหนึ่งอาศัยอยู่เลย ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในอาณาเขตประเทศที่เป็นท้องที่ที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาตรงข้าม ก็ต้องอพยพ กล่าวคือ ผู้ที่เป็นมุสลิมในอินเดีย ก็ต้องอพยพไปปากีสถาน และผู้ที่เป็นฮินดูในปากีสถาน ก็ต้องอพยพมาอินเดีย คานธีไม่ต้องการให้แยกเป็นสองประเทศ และหาทางปรองดองกันระหว่างมุสลิมกับฮินดู
และในปี วันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1948 ในตอนเย็น ขณะที่คานธีอยู่กลางสนามหญ้า กำลังสวดมนต์ไหว้พระตามกิจวัตร ขณะที่คานธีกำลังพูดว่า "เห ราม" แปลว่า "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า"
นาถูราม โคทเส ชาวฮินดูผู้คลั่งศาสนา ไม่ต้องการให้ฮินดูสมานฉันท์กับมุสลิม ได้ยิงปืนใส่คานธี 3 นัด จนคานธีล้มลง และเมื่อแพทย์ได้มาพบคานธี ก็พบว่า คานธีได้สิ้นลมหายใจแล้วในวัย 78 ปี
ค.ศ 1953–1959 (การปฏิวัติคิวบา) เช กูวาร่า จากหนังเรื่อง Diarios de motocicleta (ออกฉายปี2004) แสดงโดย Gael Garc?a Bernal
หมายเหตุ หนังเกี่ยวกับ เช ในวัยหนุ่มเป็นนักศึกษาแพทย์ตกลงกับเพื่อนขี่มอเตอร์ไซต์ตะเวนทั่วอเมริกาใต้
รูป เช กูวาร่าในวัยหนุ่ม
เอร์เนสโต เกบารา (ในสำเนียงสเปน) Ernesto Guevara คือชื่อจริงของ เช กูวาร่า(ออกเสียงตามภาษาอังกฤษ) คำว่า "เช" เป็นชื่อเรียกหรือฉายามาจากภาษาสเปนในอาเจนติน่าบ้านเกิดของกูวาร่า แปลว่า สวัสดีเหมือนคำว่า เชา ในภาษาอิตาลี แต่ในความหมายนี้เพื่อนนักปฏิวัติของกูวาร่าเปรียบได้ว่าคำว่า"เพื่อน"
เช เกิดเมื่อ ค.ศ. 1928 ที่อาร์เจนติน่า เชเกิดมาในครอบครัวฐานะค่อนข้างดีในอาร์เจนติน่า ขณะที่ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ เช ได้เดินทางไปทั่วทวีปอเมริกาใต้และรู้สึกสะเทือนใจกับความยากจนข้นแค้น ความหิวโหย และโรคภัยที่เขาพบเห็นระหว่างการเดินทาง ความปรารถนาจะทำลายล้างสิ่งที่เขามองว่าเป็นการขูดรีดของทุนนิยมในลาตินอเมริกา
ต่อมา ขณะอาศัยอยู่ในกรุงเม็กซิโกซิตี้ เขาได้พบกับราอุลและฟีเดล คาสโตร เข้าร่วมขบวนการ 26 กรกฎาคม และออกเดินทางสู่คิวบา ด้วยจุดประสงค์ที่จะขับไล่ผู้นำเผด็จการ บาติสตา(ซึ่งอเมริกาหนุนหลังอยู่)ออกไป ไม่ช้าเชก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญในกองกำลังกบฏดังกล่าว ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองผู้บัญชาการ และมีบทบาทสำคัญยิ่งในการสู้รบแบบกองโจรซึ่งสามารถล้มระบอบบาติสตาได้สำเร็จภายในเวลาสองปี
เช กูวาร่า กับ ฟิเดล คาสโตร
หลังจากปฏิวัติคิวบาสำเร็จ เชเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดรองจาก ฟิเดล คาสโตร เชได้มีส่วนอย่างมากในการปฏิรูปประเทศคิวบา จับนักการเมืองขี้โกงของคิวบายิงเป้า เป็นผู้อำนวยการฝึกกองกำลังทหาร เขียนหนังสือ และเชเป็นนักพูดที่เก่งมาก เชจึงเดินทางไปทั่วโลกในฐานะผู้แทนทางทูตจากสังคมนิยมคิวบา เป็นกระบอกเสียงให้กับสังคมนิยมต่อต้านทุนนิยม
เมื่อคิวบาได้รับการปฏิวัติแล้ว แต่งานของเชยังไม่จบ เพราะเชต้องการให้ทุกประเทศในลาตินอเมริกาเป็นสังคมนิยมทั้งหมด เชจึงเดินทางไปประเทศโบลิเวียเพื่อดำเนินการปฏิวัติที่นั่น
และเป็นที่โบลิเวียนี่เอง ในวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1967(อายุ 39 ปี) เชได้ถูกทหารของโบลิเวียจับได้ และประหารชีวิตแบบไม่มีการไต่สวน ว่ากันว่าเบื้องหลังการจับตัวและประหารเชครั้งนี้คือ CIA
ในคิวบา เช กูวาร่า เป็นที่นับถือมาก มีการสร้างสุสานและอนุสาวรีย์เพื่อเป็นการรำลึกถึง มีมหาวิทยาลัยเป็นชื่อของเช
เช กูวาร่าไม่ใช่เพียงแค่เป็นสัญญลักษณ์ของสังคมนิยม คอมมิวนีสต์ เท่านั้น แต่ เช ยังเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับอำนาจของผู้ปกครองที่กดขี่ประชาชน เป็นสัญญลักษณ์ของการลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจที่เอาเปรียบในสังคม
แต่ในเมืองไทย เช กูวาร่า คือสัญญลักษณ์ท้ายสิบล้อ พอๆกับ เซอร์ปิโก้(อัล ปาชิโน่) ไม่ค่อยมีคนรู้ว่าหมอนี่คือใครแล้วทำไมมาอยู่ท้ายสิบล้อ
เครดิต
http://pantip.com/topic/32304710