ทุนน้อยเริ่มธุรกิจยังไงดี
อันนี้เขียนจากประสบการณ์ตรงอาจเรียบเรียงไม่ดีนักแต่จะถ่ายทอดให้ได้ประโยชน์มากที่สุดครับ
มันมีแนวคิดที่ไม่ผิดแต่มันไม่จริงเสมอไปอยู่หลายอย่างในการเริ่มธุรกิจตามที่คนชอบปลูกฝังกันมาเช่น
- ต้องมีทุนเยอะ ๆ นะ
- ต้องมีเส้นสาย คอนเน็กชั่น
- ต้องทำธุรกิจที่มันใหญ่เลย ทำเล็ก ๆ ไปได้อะไร
ก่อนอื่นผมต้องบอกว่าแนวคิดสามข้อนี้มีส่วนที่ถูกต้องแต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน ถ้าคุณมีทุนเยอะ รู้จักคนมากมายในวงการใหญ่ ๆ หรือมีความพร้อมที่จะลงทุนทำใหญ่ mass เลยอันนั้นก็คือความพร้อมของคุณ แต่สำหรับคนที่ไม่พร้อมล่ะมันจะเริ่มธุรกิจไม่ได้เลยใช่มั้ย?? คำตอบคือไม่ใช่ครับ
คุณสามารถเริ่มธุรกิจได้แม้ทุนไม่มาก แต่..มันมีคำว่าแต่คุณจะใช้ "ทางแก้ปัญหาสำเร็จรูป" แบบที่คนที่ทรัพยากรพร้อมกว่าคุณไม่ได้เพราะทุนคุณไม่เท่าเค้า ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกะทะเกรียนคิง
กะทะเกรียนคิงใช้วิธีทำธุรกิจสำเร็จรูปมาตรฐานนั่นคือลงงบที่การโฆษณาให้มากที่สุด กว้านซื้อสื่อ ใช่บุคคลที่มีชื่อเสียง นั่นคือเค้าเล่นเกมส์ตามทรัพยากรที่เค้ามี
ทีนี้ถ้าทุนที่คุณมีไม่สามารถจ้างวูดดี้ได้แม้แต่นาทีเดียวให้มาโฆษณาให้คุณได้ล่ะคุณจะทำยังไง?? คำตอบคือทำการตลาดให้เหมาะกับทรัพยากรที่ตัวเองมีครับ
แต่ก่อนหน้าที่เราจะพูดถึงการตลาดเราต้องพูดถึง "แนวคิด" ก่อน
หลายคนพอเริ่มคิดทำธุรกิจและร่างแผนจะเกิดอาการ 2 อย่าง
- ร่างและไม่ได้ลงมือทำ
- เห็นโอกาสเต็มไปหมด ไอ้นั่นก็ดีนี่ก็ดีตัดสินใจเลือกไม่ได้อยากจะทำมันทั้งหมด
ตามที่เกริ่นหัวว่าทุนคุณน้อยสิ่งสำคัญที่สุดคือ "โฟกัส" ครับ วิธีที่สุดสำหรับคนทุนไม่เยอะคือการ "เลือกแก้ปัญหาเฉพาะทาง" ให้กับ "คนเฉพาะกลุ่ม" หรือ Niche ก่อน
คำว่าเฉพาะกลุ่มไม่ได้แปลว่าเล็กเสมอไป ถ้าพูดกันตามตรงคือคุณแก้ปัญหาสำคัญ "อย่างเดียว" ของคนกลุ่มหนึ่งที่อาจเป็นคนกลุ่มใหญ่แต่มีสินค้าน้อยมากที่แก้ปัญหา "เฉพาะทางสำหรับพวกเค้า" จริง ๆ
ตัวอย่างในกรณีนี้ที่ง่ายสุดคือเสื้อผ้าครับ เสื้อผ้าแบรนด์ต่าง ๆ จะมีขนาดที่หลากหลายและพยายามครอบคลุมกลุ่มผู้ใช้ให้มากที่สุดแต่ก็จะมีหลายคนที่ตัวใหญ่เกินมาตรฐานไปมากและเสื้อผ้าที่เป็นแบรนด์ดี ๆ สำหรับเค้าหาได้ยากเหลือเกิน ที่เค้าใส่ได้ก็มักจะเป็นของห่วย ๆ ซึ่งคนกลุ่มนี้ตลาดบนจะไม่สนใจทำขนาดให้เพราะเค้าคิดว่าตลาดที่เค้าถือครองอยู่นั้นเพียงพอแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือมีแบรนด์ที่ทำ "เสื้อผ้าสำหรับคนตัวใหญ่มาก" ขึ้นมา คือเน้นแต่เสื้อผ้าที่คนตัวใหญ่ใส่ได้และดูดี คุณภาพดีและราคาเหมาะสม
คำว่าเหมาะสมไม่ได้แปลว่าถูกเสมอไป ตัวอย่างเช่น สำหรับคนตัวใหญ่ที่หาเสื้อผ้าแบรนด์ดี ๆ ใส่ได้ยากและแบรนด์ที่สูงมากก็แพงจัดไป ระหว่างเสื้อผ้าคุณภาพแย่ ๆ ตัวละ 200 บาทกับของที่เนื้อผ้าดีกว่าใส่สวยกว่าแต่ตัวละ 400 คนกลุ่มนี้ก็มีโอกาสที่จะเลือกจ่ายมากกว่าเพื่อ "แก้ปัญหา" ของตัวเอง หรือง่าย ๆ คือคนเหล่านี้ไมไ่ด้ซื้อของที่ราคาเป็นหลักแต่ซื้อเพราะ "ความพอใจ" เป็นหลัก เป็นต้น
แล้วถามว่าคนกลุ่มนี้เป็นเฉพาะกลุ่มจริงแต่มีจำนวนน้อยมั้ย?? ไม่เลยครับจำนวนเยอะด้วยซ้ำ จะเห็นว่าคำว่าเฉพาะกลุ่มไม่ได้แปลว่าต้องน้อยเสมอไป
นี่เป็นสิ่งสำคัญว่าเวลาทำตลาดสินค้าอะไรผมแนะนำเสมอว่าให้เน้นที่การสร้างมูลค่าอย่าเน้นตัดราคาถูก อย่าเน้นตัดคุณภาพเพื่อหลอกล่อลูกค้าให้ซื้อ จากประสบการณ์ตรงการทำตลาดด้วยการเล่นราคาถ้าคุณไม่ทุนหนาแบบ Tesco อะไรพวกนี้อย่าทำเด็ดขาดเพราะคุณจะล้มในเวลาไม่นานเพราะคุณเล่นในเกมส์ที่คุณเป็นรองแต่แรกทั้งทรัพยากรและเงื่อนไขตลาด เน้นที่การสร้างมูลค่าและจับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพราะคุณค่า ซื้อเพราะความพอใจ ซื้อเพราะสินค้าเราแก้ปัญหาให้เค้าได้ไม่ใช่ซื้อเพราะถูก
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือลูกค้าที่มีปัญหาเรื่องมาก เยอะ เพ้อเจ้อเนี่ยคือกลุ่มที่ซื้อเพราะราคานี่แหละครับ จ่ายน้อยคาดหวังมหาศาลและด่าทุกอย่างที่ไม่ได้ดั่งใจ ลูกค้าอีกกลุ่มที่ซื้อเพราะความพอใจจะมีปัญหานี้น้อยกว่ามาก คุณได้กำไรมากกว่าและปวดหัวน้อยกว่า แบบนี้ดีกว่ามั้ยครับ??
ใครที่อยากเริ่มธุรกิจวันนี้ลองกลับไปคิดดูนะครับว่าถ้าคุณต้องเลือกแก้ปัญหา "อย่างเดียว" ให้กับ "คนกลุ่มเดียว" คุณจะแก้ปัญหาอะไรและคนกลุ่มไหนครับ
ปล. ทุนเป็นสิ่งสำคัญแต่แนวความคิดสำคัญกว่ามากครับ ถ้าแนวความคิดไม่ผ่านมองตลาดไม่ขาด ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักเรียนรู้เป็นชาล้นถ้วย มีกี่ล้านก็เจ๊งครับ
"ผู้ชายทุกคนอยากได้ภรรยาที่ดีพร้อมแต่น้อยคนที่ทำตัวให้ดีพอที่จะได้จริง ๆ" - นิรนาม
"ความยิ่งใหญ่ของเราไม่ได้เกิดจากการไม่เคยล้มเลยหากแต่เกิดจากการลุกขึ้นทุกครั้งที่ล้ม" ขงจื๊อ
"อยู่ห่างจากคนคิดลบไว้ เพราะสำหรับเค้าทุกทางแก้ล้วนมีแต่ปัญหา" อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์