ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ
: 0 ใบ
เข้าร่วม: 26 Sep 2009
ตอบ: 2561
ที่อยู่: บ่ฮู้นำแล่ว
โพสเมื่อ: Wed Dec 10, 2014 02:28
ถูกแบนแล้ว
ขนหัวลุก
ใบหนาด
"สิงหา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากการวิดปลา
ผมเป็นเด็ก อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี แม้จะอยู่ใกล้ๆ กรุงเทพฯ เมืองหลวงก็จริง แต่กลับเป็นเมืองเก่าแก่ โบร่ำโบราณที่สุดจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยก็ว่าได้นะครับ
มีหลักฐานทางโบราณคดีว่าสุพรรณบุรีมีอายุไม่ต่ำกว่า 3,500 ปีมาแล้ว ได้ขุดพบโบราณวัตถุทั้งยุคหินใหม่ ยุคสำริดและยุคเหล็ก วัฒนธรรมก็สืบทอดต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยสุวรรณภูมิ, ฟูนัน, ทวารวดี, ศรีวิชัย และสุพรรณบุรี
บ้านเมืองเก่าแก่หลายพันปีนะครับ เรื่องผีๆ สางๆ ถือว่าเป็นธรรมดามาก!
วันหนึ่งตอนเย็น ลมตก นกกาเจี๊ยวจ๊าวอยู่ตามยอดไม้ พวกสาวๆ หาบของเดินเลาะคันนามาเป็นแถว ผมกับเพื่อนๆ กำลังดูตาล้อมกับลุงเพ็งวิดปลาอยู่เหย็งๆ บังเอิญมหาอ้วน-สมัยก่อนบวชเป็นเพื่อนกับลุงเพ็งผ่านมาพอดี
นอกจากจะแวะมองแล้ว มหาอ้วนยังพูดเปรยๆ ว่า...ชาวบ้านเขามีแต่จะปล่อยนกปล่อยปลากันเพื่อเอาบุญ พวกแกกลับมาวิดปลาเอาไปกินอีก ไม่กลัวบาปกรรมเสียมั่งเลย
ตาล้อมยกมือไหว้ ตัวแช่อยู่ในโคลน บอกว่าไม่จับปลากินแล้วจะให้ไปจับจระเข้ที่ไหนกินล่ะหลวงพี่? ทั้งไอ้ดุกไอ้ช่อนตัวอ้วนๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าใครๆ เขาก็จับไปทำของกินมั่ง ถวายพระมั่ง มาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์แล้ว...เดี๋ยวนี้หลวงพี่ฉันมังสวิรัติแล้วหรือขอรับ?
มหาอ้วนทำไขหู ถามว่ารู้ไหมทำไมเขาปล่อยปลาเอาบุญกัน? ตาล้อมกับลุงเพ็งสบตากันแล้วส่ายหน้า มหาอ้วนก็บอกว่าดีล่ะ จะบอกให้เอาบุญ!
สมัยพุทธกาล พระสารีบุตรท่านเห็นด้วยญาณทิพย์ว่าเณรรูปหนึ่งจะต้องสิ้นชีวิตภายใน 7 วัน ท่านบังเกิดเมตตาจึงสั่งให้เณรกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่ต่างเมือง แต่ไม่ได้บอกว่าเพื่อให้ผู้บังเกิดเกล้าได้เห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้าย!
ระหว่างทางนั้น เณรน้อยได้เห็นปลาฝูงหนึ่งตกคลั่กอยู่ในหนองน้ำใกล้จะแห้งขอด เกิดเวทนาสัตว์ร่วมโลกจึงช้อนปลาฝูงนั้นไปปล่อยในน้ำแห่งใหม่ เป็นการช่วยชีวิตปลาทั้งฝูงให้รอดตายไปได้
เมื่อสามเณรกลับมาจนเลย 7 วันไปแล้ว ก็มิได้ล้มตายตามญาณทิพย์ของพระสารีบุตร ท่านจึงเรียกเณรมาถามว่า ระหว่างทางไปกลับได้พบเห็นสิ่งไรบ้าง? เณรน้อยก็เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้ฟังจนหมดสิ้น
พระสารีบุตรจึงทรงทราบว่าการช่วยชีวิตผู้อื่นนั้นบันดาลให้เกิดกุศลสูงส่งยิ่งนัก การปล่อยปลาและสัตว์อื่นๆ เพื่อบุญกุศลจึงเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยกึ่งพุทธกาลนั่นเอง!
ลุงเพ็งยกมือไหว้ แต่ตาล้อมหัวเราะ บอกว่าวันนี้จะจับปลาพอหม้อแกง ไม่เหลือใส่บาตรแล้ว บาปกรรมจะได้ลดลง พระเจ้าก็จะได้รอดตัวด้วย ดังสำนวนเก่าๆ ที่ว่า "บาปอยู่ที่คนทำกรรม-กรรมอยู่ที่คนกิน"
มหาอ้วนถอนใจปลงอนิจจัง มองนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งคล้ายจะแผ่เมตตาให้สัตว์โลกทั้งหลาย ก่อนจะเดินกลับวัดไป
ใกล้จะค่ำแล้ว ตาล้อมกับลุงเพ็งได้ปลาเกือบเต็มข้อง จู่ๆ ลมแรงก็พัดมาฮือใหญ่ ยอดไม้ส่งเสียงกระโชกน่ากลัว เพื่อนๆ ผมผละวิ่งกลับบ้าน...ตาล้อมกับลุงเพ็งก็เดินลุยโคลนมาที่ขอบสระ
ทันใดนั้นเอง เหตุการณ์น่าขนหัวลุกก็อุบัติขึ้นกะทันหัน!
"เฮ้ย! ปลาอะไรวะนี่? ตัวใหญ่ขนาดเด็กอ่อนๆ แน่ะ" ตาล้อมร้องขึ้น "ช่วยกันจับเร็วๆ เถอะ เอาไปขายได้เงินโขเลยโว้ย"
ลุงเพ็งหันขวับ ผมเกือบจะวิ่งกลับบ้านอยู่แล้ว แต่ความอยากรู้อยากเห็นว่าปลาอะไรตัวใหญ่นัก...ปราดเข้าไปดูพร้อมๆ กับลุงเพ็งก็ช่วยจับปลาที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในโคลนตม
"เอ็งจับหางมันแน่นๆ ซี่ไอ้เพ็ง ข้าจับหัวมันได้แล้ว เอ้า! ช่วยกันโยนขึ้นบกเลย มันจะได้หนีไม่พ้น...อ้าวเฮ้ย! อะไรวะ..."
เสียงตาล้อมดังลั่น ผงะหน้า ตาเหลือกลาน เมื่อหัวปลาโผล่พรวดขึ้นจากโคลนมาสะบัดพึ่บๆ ท่ามกลางเสียงลมพัดอื้ออึง ให้ตายดับไปเถอะ! มันไม่ใช่ปลายักษ์ปลามารอะไรอีกแล้ว เพราะสิ่งที่ดิ้นเร่าๆ สะบัดโคลนกระจายอยู่ระหว่างคนสองคนนั้นคือศีรษะมนุษย์!
ใบหน้าเหี่ยวย่นของชายแก่หงำเหงือก ตาแดงจ้าปานแสงไฟ เล่นเอาตาล้อมกับลุงเพ็งผงะหงาย ปล่อยมือ ก้นจ้ำเบ้า ร้องร่ำแต่เฮ้ยๆ ตะเกียกตะกายลุยโคลนเข้าหาฝั่งตาลีตาเหลือก...สองมือโกยขี้เลนท่าทางเหมือนกำลังว่ายน้ำหนีสุดฤทธิ์
ผมเองอยากวิ่งหนีใจจะขาด แต่แข้งขาหนักอึ้งราวถูกก้อนหินถ่วงจนยกไม่ไหว
ปลาจากนรกจมหายไปในน้ำโคลนแล้ว แต่มันยังฟาดหัวฟาดหางตูมตาม...ผมเพิ่งจะมีแรงตั้งหลักเผ่นอ้าวจนลมออกหู...ได้ข่าวว่าตาล้อมกับลุงเพ็งเลิกวิดปลาตั้งแต่นั้นมา!
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ