BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1, 2
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
เลขาสโมสร
Status: I'm crazy about Jesus.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 7356
ที่อยู่: ZION
โพสเมื่อ: Wed Oct 30, 2013 08:36
ภาพโบสถ์สวยๆ กับบรรยากาศดีๆ


Church of the Assumption of Mary




Dresden Frauenkirche




Godly Sunrise in Reykjavik




Azorean Blue Church II




Kaunas before the rain




Witney church, Oxfordshire




Church on Spilt Blood




nearby church-HDR




St. Thomas’ Church




Orthodox Church of Tornio




Raising the Roof at Ely Cathedral!




SMALL CHURCH IN NATURE




Village church on a winter day




WHITE CHURCH




Our Lady’s Church Nuremberg




THE CHURCH




San Isidro Church




Wintertime church




Church of the Grotto




St.Demetrios Church




f?nyk?p?szk?polna




Kyiv-Pecherska Lavra, Ukraine




Yosemite Church




stavechurches




Skaro Holy Cross




L?gafellskirkja




Merry christmas everybody…




Hallgrim?s Church




West Virginia Country Church Morning Snow Storm




Saint-Michel d’Aiguilhe




St. Basil’s Cathedral in Moscow


ที่มา : http://www.noupe.com/photography/beautiful-churches-around-the-world.html
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
I love Jesus and He loves me. He's the reason why I am Catholic.

ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 17492
ที่อยู่: กิเลสท่วมใจทั้งคืนวัน คิดว่าปัญญาเพียงน้อยนิดจะเอาชนะกิเลสได้
โพสเมื่อ: Wed Oct 30, 2013 08:47
ถูกแบนแล้ว
[RE: ภาพโบสถ์สวยๆ กับบรรยากาศดีๆ]
บางที่เคยไปเยือนล่ะ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 18 May 2011
ตอบ: 2768
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Oct 30, 2013 10:50
[RE: ภาพโบสถ์สวยๆ กับบรรยากาศดีๆ]
งามมาก

ผมชอบมาก โดยส่วนตัว
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
เลขาสโมสร
Status: I'm crazy about Jesus.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 7356
ที่อยู่: ZION
โพสเมื่อ: Sat Apr 12, 2014 18:33
[RE: ภาพโบสถ์สวยๆ กับบรรยากาศดีๆ]
ไดโนซอร์



มนุษย์ได้มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์เช่นไดโนเสาร์มาเป็นเวลานานนับพันปีแล้วค่ะ แต่ยังไม่มีผู้ใดเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเศษซากพวกนี้เป็นของสัตว์ชนิดใดกันแน่ และต่างก็พากันคาดเดาไปต่างๆ สำหรับชาวจีนมีความคิดว่านี้คือกระดูกของมังกร ขณะที่ชาวยุโรปเชื่อว่านี้เป็นสิ่งที่หลงเหลือของสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปเมื่อครั้งเกิดน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ จนกระทั่งเมื่อมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ในปี ค.ศ. 1822 โดย กิเดียน แมนเทล นักธรณีวิทยาชาวอังกฤษ ไดโนซอร์ ชนิดแรกของโลกจึงได้ถูกตั้งชื่อขึ้นว่า อิกัวโนดอน เนื่องจากซากดึกดำบรรพ์นี้มีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกับโครงกระดูกของตัวอิกัวนาในปัจจุบันนั้นเองค่ะ

สองปีต่อมา วิลเลียม บัคแลนด์ (William Buckland) ศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยา ประจำมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ก็ได้เป็นคนแรกที่ตีพิมพ์ข้อเขียนเกี่ยวกับคำอธิบายของไดโนซอร์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ โดยเป็นไดโนซอร์ชนิด เมกะโลซอรัส บักแลนดี (Megalosaurus bucklandii) และการศึกษาซากดึกดำบรรรพ์ของสัตว์อย่างเช่นพวกกิ้งก่า ขนาดใหญ่นี้ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากนักวิทยาศาสตร์ทั้งในยุโรปและอเมริกา

จากนั้นในปี ค.ศ. 1842 เซอร์ริชาร์ด โอเวน เห็นว่าซากดึกดำบรรพ์ขนาดใหญ่ที่ถูกค้นพบมีลักษณะหลายอย่างร่วมกัน จึงได้บัญญัติคำว่า ไดโนซอร์ เพื่อจัดให้สัตว์เหล่านี้อยู่ในกลุ่มอนุกรมวิธานเดียวกัน นอกจากนี้ เซอร์ริชาร์ด โอเวน ยังได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ขึ้น ที่เซาท์เคนซิงตัน กรุงลอนดอน เพื่อเป็นการจัดแสดงซากดึกดำบรรพ์ของไดโนซอร์ รวมทั้งหลักฐานทางธรณีวิทยาและชีววิทยาอื่นๆ ที่ถูกค้นพบ โดยได้รับการสนับสนุนจากเจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งแซกซ์-โคเบิร์ก-โกทา (Prince Albert of Saxe-Coburg-Gotha) พระสวามีของสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร

หลังจากนั้นมา ก็ได้มีการค้นหาซากดึกดำบรรพ์ของเจ้าไดโนซอร์ในทุกทวีปทั่วโลกเลยค่ะ (รวมทั้งทวีปแอนตาร์กติกาด้วย) ทุกวันนี้ก็ยังมีคณะสำรวจซากดึกดำบรรพ์ไดโนซอร์อยู่มากมายทั่วโลกเลยค่ะ ทำให้มีการค้นพบไดโนซอร์ชนิดใหม่เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ประมาณว่ามีการค้นพบไดโนซอร์ชนิดใหม่เพิ่มขี้นหนึ่งชนิดในทุกสัปดาห์เลยนะ โดยทำเลทองในตอนนี้อยู่ที่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ โดยเฉพาะประเทศอาร์เจนตินา และประเทศจีน




ไดโนซอร์ (Dinosaur) เป็นชื่อเรียกโดยรวมของสัตว์ดึกดำบรรพ์ในอันดับใหญ่ Dinosauria ซึ่งเคยครองระบบนิเวศบนพื้นพิภพก่อนมนุษย์ ในมหายุคมีโซโซอิก เป็นเวลานานถึง 165 ล้านปี ก่อนที่จะสูญพันธุ์ ไปเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้วค่ะ คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าไดโนซอร์เป็นสัตว์เลื้อยคลาน แต่อันที่จริงแล้ว ไดโนซอร์เป็นสัตว์ในอันดับหนึ่งที่มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างสัตว์เลื้อยคลานและนกนั้นเองค่ะ

คำว่า ไดโนซอร์ ในภาษาอังกฤษ dinosaur ถูกตั้งขึ้นโดย เซอร์ ริชาร์ด โอเวน นักบรรพชีวินวิทยา ชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นการผสมของคำในภาษากรีกสองคำ คือคำว่า deinos (δεινός) (ใหญ่จนน่าสะพรึงกลัว) และคำว่า sauros (σαύρα) (สัตว์เลื้อยคลาน)

หลายคนเข้าใจผิดว่า ไดโนซอร์ คือสัตว์ที่อาศัยอยู่ในมหายุคมีโซโซอิกทั้งหมด แต่จริงๆแล้ว ไดโนซอร์ คือสัตว์ชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่บนพื้นดินเท่านั้นค่ะ สัตว์บกบางชนิดที่คล้ายไดโนซอร์สัตว์น้ำและสัตว์ปีกที่มีลักษณะคล้ายไดโนซอร์ ไม่ถือว่าเป็นไดโนซอร์ค่ะ เป็นเพียงสัตว์ชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในยุคเดียวกับไดโนซอร์เท่านั้นเอง

แม้ว่าไดโนซอร์จะสูญพันธุ์ไปนานหลายล้านปีแล้ว แต่คำว่าไดโนซอร์ก็ยังเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะไดโนซอร์นั้นนับว่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยปริศนาและความน่าอัศจรรย์เป็นอันมากนั่นเอง



ลักษณะทางชีววิทยา

ไดโนซอร์เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์ โดยที่พวกมันมีผิวหนังที่ปกคลุมเป็นเกล็ดเช่นเดียวกันกับ งู จระเข้ หรือ เต่า กระเพาะอาหารของไดโนซอร์ที่กินพืช มักมีขนาดใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากเซลลูโลสของพืชทำให้บางครั้งมันจึงต้องกลืนก้อนหินไปช่วยย่อย ส่วนไดโนซอร์กินเนื้อจะย่อยอาหาร ได้เร็วกว่า แต่ข้อมูลของไดโนซอร์ยังไม่ทราบแน่ชัดนัก เนื่องจากไดโนซอร์สูญพันธ์ไปหมด เหลือเพียงซากดึกดำบรรพ์เท่านั้น ดังนั้น นักบรรพชีวินวิทยาจึงต้องใช้ซากฟอสซิลนี้ในการสันนิษฐานข้อมูลต่างๆ รวมถึงพฤติกรรม การล่าเหยื่อและการดำรงชีวิตของไดโนซอร์ขึ้นมา ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงเท่าไรค่ะ แต่ใกล้เคียงที่สุด



อาร์โคซอร์หรืออาร์โคซอรัส


วิวัฒนาการ

บรรพบุรุษของไดโนซอร์คือ อาร์โคซอร์ (archosaur) ซึ่งไดโนซอร์เริ่มแยกตัวออกมาจากอาร์โคซอร์ในยุค ไทรแอสซิก ไดโนซอร์ชนิดแรกถือกำเนิดขึ้นราวๆ 230 ล้านปีที่แล้ว หรือ 20 ล้านปี หลังจากเกิดการสูญพันธุ์เพอร์เมียน-ไทรแอสซิก (Permian-Triassic extinction event|Permian-Triassic extinction) ซึ่งคร่าชีวิตสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกสมัยนั้นไปกว่า 90 เปอร์เซ็นต์เลยที่เดียวค่ะ

สายพันธุ์ไดโนซอร์แพร่กระจายอย่างรวดเร็วหลังยุคไทรแอสซิก กล่าวได้ว่าในยุคทองของไดโนซอร์ (ยุคจูแรสซิกและยุคครีเทเชียส) ทุกสิ่งมีชีวิตบนพื้นพิภพที่มีขนาดใหญ่กว่าหนึ่งเมตรก็คือไดโนซอร์

จนกระทั่งเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว การการสูญพันธุ์ครีเทเชียส-เทอร์เทียรี (Cretaceous-Tertiary extinction) ก็ได้กวาดล้างไดโนซอร์จนสูญพันธุ์ เหลือเพียงไดโนซอร์บางสายพันธุ์ที่เป็นบรรพบุรุษของนกในปัจจุบัน ยุคต่างๆของไดโนซอร์

มหายุค เมโสโซอิค (Mesaozoic Era) 65-225 ล้านปี ในยุคนี้มี 3 ยุค คือ ยุค ไตรแอสสิก ยุคจูราสสิก ยุคครีเตเซียส และยุคซีโนโซอิกในยุคไตรแอสสิกนี้ สภาพอากาศในขณะนั้น จะมีสภาพร้อนและแล้งมากขึ้นกว่าในอดีต ทำให้ต้นไม้ใหญ่น้อยในเขตร้อนสามารถเจริญเติบโตได้ ดีมาก จนกระทั่ง "ไดโนซอร์ ตัวแรก"ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ ไดโนซอร์กลุ่มแรกที่ได้กำเนิดขึ้นมา จะมีขนาดเล็กเดินได้แค่ 2 เท้าเองค่ะ และจะมีลักษณะพิเศษ คือ เท้ามีลักษณะคล้ายกับเท้าของนก ต่อมาในยุคจูราสสิกนี้ จัดว่าเป็นยุคที่เฟื่องฟูเป็นอย่างมาก เพราะมีบรรดาพืชพรรณธัญญาหารที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ไดโนซอร์จำนวนมากขยายพันธุ์ไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้มีร่างกายที่ใหญ่โต ซึ่งส่วนใหญ่จะกินพืช เป็นอาหาร และยุคนี้ยังได้ ถือกำเนิด นก ขึ้นมาเป็นครั้งแรกอีกด้วยค่ะ ต่อมาในยุคครีเตเชียสนี้ จัดว่า เป็นยุคที่ไดโนซอร์นั้นรุ่งเรื่องที่สุด เพราะยุคนี้ไดโนซอร์ ได้มีการพัฒนาพันธุ์ออกมาอย่างมากมาย



ยุคไทรแอสสิก

การครอบครองโลกของไดโนซอร์ในยุคนี้ โลกถูกปกคลุมด้วยป่าไม้จำนวนมากค่ะ พืชตระกูลที่ใช้สปอร์ในการขยายพันธ์ประสบความสำเร็จและมีวิวัฒนาการถึงขั้นสูงสุด ในป่ายุคไตรแอสสิกช่วงแรกนั้นมีสัตว์ใหญ่ไม่มากนักเช่นสัตว์ปีกที่ใหญ่ที่สุดคือแมลงปอยักษ์ที่ปีกกว้างถึง 2 ฟุตและได้ชื่อว่าเป็นนักล่าเวหาเพียงชนิดเดียวของยุคนี้ เนื่องจากในช่วงปลายของยุคเปอร์เมียนเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิต ทำให้พวกสัตว์เลื้อยคลานกึ่งเลี้ยงลูกด้วยนมจำนวนมากสูญพันธุ์ไป พวกที่เหลือได้สืบทอดเผ่าพันธุ์มาจนถึงต้นยุคไตรแอสสิกในกลุ่มสัตว์เหล่านี้ ซินนอกนาตัส เป็นสัตว์นักล่าที่น่าเกรงขามที่สุดในหมู่พวกมัน และในช่วงนี้เองไดโนซอร์ก็ถือกำเนิดขึ้นมาค่ะ โดยพวกมันวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลานที่เดินด้วยขาหลังอย่าง ธีโคดอน ซึ่งถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของไดโนซอร์ การสูญพันธ์ครั้งใหญ่ในยุคเปอร์เมียนทำให้พวกมันสามารถขยายเผ่าพันธุ์ได้อย่างมากมายในช่วงต้นยุคไตรแอสสิกและกลายมาเป็นคู่แข่งของพวกสัตว์เลื้อยคลานกึ่งเลี้ยงลูกด้วยนมที่เหลือไดโนซอร์ในยุคแรกเป็นพวกเดินสองขา เช่น พลาทีโอซอร์ ไดโนซอร์กินพืชคอยาวที่เป็นบรรพบุรุษของพวก ซอโรพอด หรือ ซีโลไฟซิส บรรพบุรุษของพวกกินเนื้อ นักล่าสองขาความสูง 1 เมตร การที่มันสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยสองขาหลังทำให้พวกมันมีความคล่องตัวในการล่าสูงกว่า ซินนอกนาตัส หรืออีรีโทรซูคัสที่ยาวถึง 15 ฟุตซึ่งมีกรามขนาด ใหญ่และแข็งแรงนักล่าเหล่านี้ได้เปรียบซินนอกนาตัสและสัตว์เลื้อยคลานกึ่งเลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆทำให้พวกนี้ต้องวิวัฒนาการให้มีขนาดเล็กลงเพื่อที่จะหลบหนีพวกไดโนเสาร์ และหลีกทางให้เผ่าพันธุ์ไดโนซอร์ก้าวมาครองโลกนี้แทนในที่สุดนั้นเองค่ะ



ซอโรพอด


พลาทีโอซอร์


ธีโคดอน


ซินนอกนาตัส

ยุคจูราสสิก

ไดโนซอร์ครอบครองโลกได้สำเร็จในตอนปลายยุคไตรแอสสิก จนเมื่อเข้าถึงยุคจูราสสิกพวกมันก็ขยายเผ่าพันธุ์ไปทั่วโลกในยุคนี้ผืนแผ่นดินถูกปกคลุมด้วยพืชขนาดยักษ์จำพวกสนและเฟิร์น ยุคนี้ได้เริ่มมีพืชดอกปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงกลางของยุคนี้นับว่าเป็นจุดเริ่มของการขยายพันธุ์รูปแบบใหม่ของพวกพืชในยุคจูราสสิกนับได้ว่าเป็นยุคที่พวกไดโนซอร์คอยาวตระกูลซอโรพอด (Sauropod) ขยายเผ่าพันธุ์อย่างกว้างขวาง พวกมันเป็นไดโนซอร์ ขนาดยักษ์สายพันธุ์ที่รู้จักกันดีก็คือ แบรกคิโอซอรัส (Brachiosaurus) ดิปโพลโดคัส (Diplodocus) และอะแพทโตซอรัส (Apatosaurus) หรืออีกชื่อคือบรอนโตซอรัสนอกจากนี้ยังมีชนิดอื่นๆอีกมากมายเลยค่ะ สัตว์ยักษ์พวกนี้ครั้งหนึ่งถูกมองว่า เป็นสัตว์ที่โง่และไม่อาจป้องกันตัวจากสัตว์นักล่าได้ แต่ว่าในปัจจุบันนักโบราณคดีชีววิทยา (paleontology) เชื่อว่าพวกมันใช้หางที่หนาและหนักโจมตีศัตรูที่มาจู่โจม ซึ่งนับว่าเป็นการตอบโต้ที่น่ายำเกรงไม่น้อยและเพราะหางที่ยาว และมีน้ำหนักมากนี่เองที่ทำให้พวกมันต้อง มีคอยาวเพื่อสร้างสมดุลของสรีระของมัน



แบรกคิโอซอรัส


ดิปโพลโดคัส


อะแพทโตซอรัส

ยุคครีเตเซียส

ยุคครีเตเชียสเป็นยุคที่ต่อจากยุคจูแรสสิกสัตว์เลื้อยคลานเจริญมากในยุคนี้ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการค้นพบสัตว์ทะเลที่เคยอาศัยอยุ่ในช่วงเดียวกันกับไดโนซอร์ได้แก่ พวก พลีซิโอซอร์ เช่น อีลาสโมซอรัส พวกกิ้งก่าทะเลโมซาซอร์อย่าง ไฮโนซอรัส และ อาร์เครอน ที่เป็นพวกเต่าอาศัยอยู่ในทะเล บนท้องฟ้าก็มี เคอาร์โคโทรุส ซึ่งมีขนาดปีกที่ยาวถึง 15 เมตร บินอยู่มากมายในยุคนี้เลยค่ะ และยุคนี้เป็นยุคที่ไดโนซอร์ได้มีการพัฒนาตัวเองอย่างมาก พวกซอริสเชียนที่กินเนื้อและมีตัวขนาดใหญ่ได้แก่ อัลเบอร์โตซอรัส ไทรันโนซอรัส ก็ปรากฏตัวในยุคนี้ โดยมีลักษณะดังนี้ ไทรันโนซอรัส นั้นจะมีเล็บที่ขาหลังใหญ่โตและมีฟันแหลมยาวประมาณ 13 เซนติเมตร เพื่อใช้จับเหยื่อพวกซอริสเชียนที่กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหารก็ได้แก่ ออนิโตมิมัสพวกออร์นิธิสเชียนมักจะเป็นพวกกินพืชพวกที่ถูกค้นพบครั้งแรกก็ได้แก่ อิกัวโนดอน แล้วก็พบ ฮิพุชิโรโฟดอน และ ฮาโดโรซอรัส พวกออร์นิธิสเชียน ได้แก่ ไทรเซอราทอปส์ แองคิโลซอรัส พบเจริญอยู่มากมาย แต่ว่าก่อนจะหมดยุคครีเตเชียส นั้นอากาศก็เริ่มเปลี่ยนแปลงจนไดโนซอร์บางพวกเริ่มตายลงและสูญพันธุ์ หลังจากไดโนซอร์สูญพันธุ์ไปแล้วสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็มีบทบาทขึ้นมาบนโลกนี้แทนค่ะ



อีลาสโมซอรัส


ไฮโนซอรัส


อาร์เครอน


เคอาร์โคโทรุส


อัลเบอร์โตซอรัส


ไทรันโนซอรัส


อิกัวโนดอน


แองคิโลซอรัส


ไทรเซอราทอปส์



การจัดจำแนก

ไดโนซอร์ถูกแบ่งออกเป็นสองอันดับใหญ่ๆ ตามลักษณะโครงสร้างของกระดูกเชิงกราน คือ Saurischia (เรียกไดโนซอร์ในอันดับนี้ว่า ซอริสเชียน) ซึ่งมีลักษณะกระดูกเชิงกรานแบบสัตว์เลื้อยคลาน มีทั้งพวกกินพืชและกินสัตว์ และ Ornithischia (เรียกไดโนซอร์ในอันดับนี้ว่า ออร์นิทิสเชียน) มีกระดูกเชิงกรานแบบนกและเป็นพวกกินพืชทั้งหมด

ไดโนซอร์สะโพกสัตว์เลื้อยคลาน หรือ ซอริสเชียน (จากภาษากรีก แปลว่าสะโพกสัตว์พวกกิ้งก่า) เป็นไดโนซอร์ที่คงโครงสร้างของกระดูกเชิงกรานตามบรรพบุรุษ ซอริสเชียนรวมไปถึงไดโนซอร์เทอโรพอด (theropod) (ไดโนซอร์กินเนื้อเดินสองขา) และซอโรพอด (sauropod) (ไดโนซอร์กินพืชคอยาว)

ไดโนซอร์สะโพกนก หรือ ออร์นิทิสเชียน (จากภาษากรีก แปลว่าสะโพกนก) เป็นไดโนซอร์อีกอันดับหนึ่ง ส่วนใหญ่เดินสี่ขาและกินพืช



ไดโนซอร์ในวัฒนธรรมสมัยนิยม

แม้ว่ายุคสมัยของไดโนซอร์จะสิ้นสุดลงเป็นเวลาหลายสิบล้านปีแล้ว แต่ในปัจจุบัน ไดโนซอร์ยังคงปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมสมัยนิยมและวิถีชีวิตประจำวันของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น นิยายหลายเล่มมีการกล่าวถึงไดโนซอร์ เช่น เพชรพระอุมา ของ พนมเทียน, เดอะลอสต์เวิลด์ (The Lost World (Arthur Conan Doyle)|The Lost World) ของ เซอร์ อาเทอร์ โคแนน ดอยล์, และ "จูราสสิค พาร์ค" (ซึ่งถ้าสะกดตามหลักการถ่ายคำต้องสะกดเป็น จูแรสซิกพาร์ก) ของ ไมเคิล ไครช์ตัน (Michael Crichton) ไม่เพียงแต่ในหนังสือนิยายเท่านั้น การ์ตูนสำหรับเด็กก็มีการกล่าวถึงไดโนซอร์ด้วยเช่นกันค่ะ เช่นในเรื่อง มนุษย์หินฟลินท์สโตน (The Flintstones) โดราเอมอน ตำรวจกาลเวลาและก๊องส์

นอกจากนี้ ไดโนซอร์ยังได้ปรากฏตัวอยู่ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น คิงคอง (ปี ค.ศ. 1933) และ จูราสสิค พาร์ค (ปี ค.ศ. 1993) ซึ่งภาพยนตร์เรื่องหลังนี้ดัดแปลงมาจากนิยายของ ไมเคิล ไครช์ตัน และประสบความสำเร็จอย่างสูงมาก และยังเป็นการปลุกกระแสไดโนซอร์ให้คนทั่วไป หันมาสนใจกันมากขึ้น ในปีค.ศ. 2000 Walt Disney ได้นำไดโนซอร์มาสร้างเป็น ภาพยนตร์แอนิเมชัน ชื่อเรื่องว่า Dinosaur

ในปี 2549 มีภาพยนตร์เรื่องเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (Natural History Museum) ชื่อ Night at the Museum ของ ชอน เลวี่ (Shawn Levy) มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับสิ่งต่างๆในพิพิธภัณฑ์ที่ต้องคำสาบให้กลับมีชีวิตขึ้นมาในตอนกลางคืน มีตัวเอกตัวหนึ่งเป็นไดโนซอร์ชื่อซู (Sue) ซึ่งเป็นโครงกระดูกไดโนซอร์ทีเร็กที่มีความสมบูรณ์ที่สุด มีขนาดลำตัวยาวกว่า 12.8 เมตร และความสูงถึงสะโพก 4 เมตร ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ Field Museum ที่ชิคาโก

ระหว่าง 23 กรกฎาคม - 30 กันยายน พ.ศ. 2550 ทางองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช) ได้นำโครงกระดูกของซู มาจัดแสดงร่วมกับไดโนซอร์ที่พบในประเทศไทย ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ คลอง5 ปทุมธานี

ในประเทศไทย ไดโนซอร์ได้รับเลือกให้เป็นสัตว์ประจำจังหวัดของจังหวัดขอนแก่น ส่วนในภาษาไทยนั้น ไดโนเสาร์มีความหมายนัยประหวัดสำหรับใช้เรียกคนหัวโบราณ ล้าสมัย



****เซอร์ ริชาร์ด โอเวน (Sir Richard Owen KCB) (20 ก.ค. ค.ศ. 1804 - 18 ธ.ค. ค.ศ. 1892) เป็นนักชีววิทยา, นักกายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบ, และนักบรรพชีวินวิทยา ชาวอังกฤษ เขาคนนี้คือคนกำหนดชื่อเรียกให้กับซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ว่าไดโนซอร์
****ไดโนซอร์ คือ คำเรียกสัตว์โลกล้านปีที่คนไทยเรียกว่า ไดโนเสาร์ นั้นเองค่ะ



เนื้อหาโดย : Spirit of Earth
ที่มา : http://board.postjung.com/776193.html

แก้ไขล่าสุดโดย noojidsai เมื่อ Sat Jun 07, 2014 01:32, ทั้งหมด 10 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
I love Jesus and He loves me. He's the reason why I am Catholic.

ออฟไลน์
เลขาสโมสร
Status: I'm crazy about Jesus.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 7356
ที่อยู่: ZION
โพสเมื่อ: Fri May 02, 2014 08:54
[RE: ภาพโบสถ์สวยๆ กับบรรยากาศดีๆ]
มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

ไม่นานมานี้เพื่อนๆ หลายคนอาจจะได้ดูภาพยนตร์เรื่อง NOAH ที่เกี่ยวกับตำนานน้ำท่วมโลกที่ทำให้เกิดโดยพระเจ้าหรือเทพเจ้าเพื่อทำลายอารยธรรม โดยเป็นการตอบสนองผลกรรม ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นประเด็นที่แพร่หลายในตำนานกรีก และตำนานในวัฒนธรรมอื่นๆ อีกมากมาย เรื่องราวของโนอาห์และเรือของโนอาห์ในเจเนซิส, มัสยาวตาร ในคัมภีร์ปุราณะ ของฮินดู, ดูเคเลียน ในตำนานเทพเจ้ากรีก และ อุตนาปิชติม ในมหากาพย์กิลกาเมช เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของตำนานต่างๆที่เราคุ้นเคยกันดี และนี่คือ มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก ที่นักโบราณคดีหลายๆ คนบอกว่า มหากาพย์เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ในทางประวัติศาสตร์ ว่าบุคคลที่ถูกพูดถึงในนิยายเล่มนี้อาจจะเคยมีชีวิตอยู่จริงๆก็ได้!





มหากาพย์กิลกาเมช (Gilgamesh) เป็นตำนานน้ำท่วมโลกที่เก่าแก่ที่สุดในยุคของเมโสโปเตเมียโบราณ และเป็นหนึ่งในงานวรรณกรรมประเภทนิยายที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย นักวิชาการเชื่อว่ามหากาพย์เรื่องนี้มีกำเนิดมาจากตำนานกษัตริย์สุเมเรียนและบทกวีเกี่ยวกับวีรบุรุษในตำนานที่ชื่อว่า กิลกาเมช ซึ่งถูกรวบรวมเอาไว้กับบรรดาบทกวีอัคคาเดียนในยุคต่อมา

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก เป็นเรื่องราวการผจญภัยของวีรบุรุษนามว่า กิลกาเมช (Gilgamesh) กษัตริย์ในตำนานแห่งนครอุรุค ซึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไทกริส-ยูเฟติส อารยธรรมเมโสโปเตเมีย (ประเทศอิรักปัจจุบัน) เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกิลกาเมช กับเพื่อนของเขาชื่อ เอนกิดู เนื้อหาส่วนใหญ่ในมหากาพย์เน้นย้ำถึงความรู้สึกสูญเสียของกิลกาเมช หลังจากเอนกิดูเสียชีวิต และกล่าวถึงการกลับเป็นมนุษย์อีกครั้งพร้อมกับเน้นย้ำเรื่องความเป็นอมตะ




รูปปั้นกิลกาเมช ที่มหาวิทยาลัยซิดนีย์


มหากาพย์กิลกาเมช
- มหากาพย์ในต้นฉบับสุเมเรียนที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุอยู่ในช่วงราชวงศ์ที่ 3 ของอูร์ (Ur) คือระหว่าง 2150-2000 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนฉบับอัคคาเดียนที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ในช่วงต้นๆ ของสหัสวรรษที่ 2
- มหากาพย์อัคคาเดียนฉบับ “มาตรฐาน” ประกอบด้วยแผ่นดินเหนียว 12 แผ่น ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งระหว่าง 1300-1000 ปีก่อนคริสตกาล ค้นพบอยู่ในหอจารึกของ Ashurbanipal ที่เมืองนีนะเวห์ (Nineveh) หอสมุดแห่งนี้ถูกพวกเปอร์เซียทำลายเมื่อ 612 ปีก่อนคริสตกาล และจารึกทั้งหมดก็พินาศไปด้วย
- มหากาพย์ชุดที่สมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบันปรากฏในแผ่นดินเหนียว 12 แท่งซึ่งเก็บรักษาไว้ที่หอเก็บจารึกของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย เมื่อราวศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล
- มหากาพย์อัคคาเดียนนี้ ถูกจารึกระบุชื่อผู้แต่งไว้ด้วย ซึ่งนับเป็นเรื่องที่แปลกมาก เนื่องจากในสมัยโบราณ แทบจะไม่มีการจารึกชื่อผู้แต่งเรื่องใด ๆ (จารึกไทยในสมัยสุโขทัยหรืออยุธยาก็ไม่มีการจารึกชื่อผู้แต่งเช่นกัน) ผู้แต่งจารึกนี้คือ ชิเนฆิอุนนินนิ (Shin-eqi-unninni) อาจกล่าวได้ว่า บุคคลผู้นี้เป็นนักเขียนที่เก่าแก่ที่สุดในโลกวรรณกรรม ที่เราสามารถระบุชื่อได้
- มหากาพย์ มีชื่อดั้งเดิมว่า ผู้มองเห็นเบื้องลึก (He who Saw the Deep) หรือผู้ยิ่งใหญ่กว่าราชันทั้งปวง (Surpassing All Other Kings)
- มีการคาดเดาว่า กิลกาเมชอาจจะเป็นผู้ปกครองที่มีตัวตนจริงในอดีตระหว่างราชวงศ์ที่ 2 ของยุคต้นของสุเมเรีย (ประมาณ 2,700 ปีก่อนคริสตกาล)
- การค้นพบวัตถุโบราณอายุประมาณ 2600 ปีก่อนคริสตกาลที่มีความเกี่ยวข้องกับ Enmebaragesi แห่ง Kish ผู้ปรากฏชื่ออยู่ในตำนานว่าเป็นบิดาของศัตรูคนหนึ่งของกิลกาเมช ทำให้มหากาพย์เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ในทางประวัติศาสตร์มากขึ้น และช่วยยืนยันว่ากิลกาเมชน่าจะมีตัวตนจริง
- มหากาพย์กิลกาเมช หลงเหลืออยู่เป็นวรรณกรรมในหลายภาษา เช่น ของชาวอัคคาเดีย (ภาษาตระกูลเซมิติค ซึ่งมีความสัมพันธ์กับภาษาฮีบรู, เป็นภาษาที่พูดกันในอาณาจักรบาบิโลน) นอกจากนี้ยังมีปรากฏบนแผ่นจารึกดินเหนียว เป็นภาษาฮูร์เรียน และภาษาฮิตไตต์ (ภาษาหนึ่งในตระกูลอินโด-ยูโรเปียน ซึ่งพูดกันในเขตรอยต่อยุโรปและเอเชีย นับเป็นหนึ่งในบรรดาภาษาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก) ภาษาทั้งหมดที่พูดมานี้ จารด้วยอักษรลิ่ม หรือที่เราคุ้นเคยกันด้วยชื่อ คูเนฟอร์ม




มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก


มหากาพย์กิลกาเมช ตามตำนานได้เล่าไว้ว่า …

กิลกาเมช เป็นษัตริย์แห่งนครอูรุก ซึ่งเป็นนครรัฐใหญ่ของชาวสุเมอร์เรียน พระองค์ทรงมีพระมารดาเป็นเทพและมีพระบิดาเป็นมนุษย์ ทำให้ทรงมีเลือดเทพอยู่ในวรกายครึ่งหนึ่ง

กิลกาเมชเป็นกษัตริย์ที่มัวเมาในเรื่องของกามารมณ์เป็นอย่างมาก พระองค์ใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการหาสาวงามมาสนองตัณหาของตัวเอง โดยไม่ละเว้นว่า หญิงสาวผู้นั้นจะเป็นสาวโสดหรือมีคู่ครองแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์มักจะไปปรากฏตัวในงานแต่งงานและเรียกร้องสิทธิในการนอนกับเจ้าสาวในคืนแรกของการสมรส ซึ่งการกระทำเหล่านี้ทำให้พลเมืองชาวอูรุกพากันคับแค้นใจอย่างมาก แต่ก็มิอาจทำอะไรได้ เนื่องจากเกรงกลัวในอำนาจของกษัตริย์และสายเลือดแห่งเทพของกิลกาเมช

ด้วยเหตุนี้เอง บรรดาปวงชนผู้ทุกข์ร้อนจึงพากันไปสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าให้ทรงจัดการกับกิลกาเมช และเมื่อเสียงสวดอ้อนวอนของประชาชนไปถึงสวรรค์ เหล่าเทพเจ้าจึงลงมติที่จะต้องจัดการกับมนุษย์ครึ่งเทพผู้นี้ โดยเหล่าเทพได้ให้เทพีอารารูปั้นดินเหนียวเป็นรูปบุรุษผู้หนึ่งและให้นามว่า เอ็นคิดู โดยเทพเจ้าได้นำความป่าเถื่อนของสัตว์ป่า 12 ชนิดใส่ลงไปในตัวของเขา เพื่อให้เขาทรงพลังพอที่จะจัดการกับกิลกาเมชได้




เอ็นคิดู


เอ็นคิดูมีร่างกายท่อนบนเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำสูงใหญ่ขณะที่ขาทั้งสองข้างนั้นเป็นขาของวัวกระทิง ส่วนบนศีรษะยังมีเขากระทิงงอกออกมาอีกด้วย เหล่าเทพได้ส่งเอ็นคิดูลงมาอยู่กับบรรดาสัตว์ป่าในป่านอกเมืองอูรุก ซึ่งเอ็นคิดูได้ใช้พลังของตนปกป้องสัตว์เหล่านั้นจากสัตว์นักล่าและนายพราน

บรรดานายพรานต่างไม่พอใจที่มีผู้มาขัดขวางการล่าสัตว์ ทว่าเมื่อพวกเขาได้พบกับเอ็นคิดูแล้ว ก็เกิดความพรั่นพรึงในตัวของมนุษย์ครึ่งกระทิงผู้นี้ พวกนายพรานจึงคิดหาวิธีจัดการกับเอ็นคิดู โดยพากันไปว่าจ้าง แซมฮัต ยอดหญิงนครโสเภณีประจำเทวาลัยแห่งอูรุก ให้ไปล่อลวงเอ็นคิดูออกมาจากป่าและทำให้พลังกับความป่าเถื่อนของมนุษย์ผู้นี้ลดน้อยลง

แซมฮัตใช้มารยาหญิงยั่วยวนจนเอ็นคิดูหลงในบ่วงสวาทของเธอ ทั้งคู่อยู่ร่วมกันถึงเจ็ดราตรีและการที่เอ็นคิดูมาใช้ชีวิตอยู่กับนางได้ทำให้เหล่าสัตว์ป่าที่เคยแวดล้อมเขา พากันหนีหายไป อีกทั้งพลังของเอ็นคิดูเองก็ลดน้อยลงด้วย จากนั้นแซมฮัตก็ชักชวนเอ็นคิดูเข้าเมืองและนำเขาไปรู้จักการใช้ชีวิตแบบชาวเมืองจนในที่สุด เอ็นคิดูก็หมดสภาพความป่าเถื่อนและกลายเป็นชาวเมืองโดยสมบูรณ์




กิลกาเมช VS เอ็นคิดู


วันหนึ่งขณะที่เอ็นคิดูกับแซมฮัตพำนักอยู่ด้วยกันกับเหล่าคนเลี้ยงแกะ พวกเขาก็ได้ข่าวว่า ราชากิลกาเมชกำลังจะเสด็จไปที่งานแต่งงาน งานหนึ่งเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ในการนอนกับเจ้าสาวในคืนแรก ซึ่งเมื่อเอ็นคิดูทราบเรื่องก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารีบตรงดิ่งไปที่งานและเข้าขัดขวางกิลกาเมชไม่ให้กระทำการอันน่าบัดสีนั้น

กษัตริย์หนุ่มทรงกริ้วที่มีผู้มาขัดขวาง พระองค์จึงเข้าต่อสู้กับเอ็นคิดูอย่างดุเดือดจนบ้านเรือนรอบข้างพังพินาศ ทว่าหลังจากทั้งสองขับเคี่ยวกันเป็นเวลานานต่างก็ไม่มีใครปราบใครลงได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้กิลกาเมชทรงประทับใจในพละกำลังของอีกฝ่าย พระองค์จึงได้ยุติการต่อสู้และขอให้เอ็นคิดูมาอยู่กับพระองค์ในฐานะพระสหาย

มิตรภาพทำให้กิลกาเมชเปลี่ยนไป กษัตริย์หนุ่มทรงเลิกพฤติกรรมร้ายกาจที่เคยทำจนหมดสิ้นและด้วยคำแนะนำของเอ็นคิดู พระองค์ได้หันมาใส่พระทัยกับการดูแลบ้านเมือง จนนครอูรุกเจริญรุ่งเรืองและประชาชนต่างพากันแซ่ซ้องสรรเสริญในคุณงามความดีของราชากิลกาเมช




นครอูรุก


ทว่าในขณะที่ประชาชนทั่วทั้งนครพากันมีความสุขภายใต้การปกครองของราชาหนุ่ม กิลกาเมชกลับเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตที่สงบสุขนี้ พระองค์ปรารถนาที่จะแสวงหาความตื่นเต้นในชีวิต จึงได้ตรัสชวนเอ็นคิดูเดินทางไปยังป่าซีดาร์แห่งทิศตะวันตกเพื่อเผชิญหน้ากับอสูรฮูวาวา

เมื่อได้ยินดังนั้น เอ็นคิดูก็ส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วยกับความคิดของสหาย เขากล่าวเตือนกิลกาเมชว่า ”อสูรตนนี้สูงใหญ่เทียมฟ้า ลมหายใจของมันเป็นเปลวไฟที่นำมาซึ่งความตายอย่างน่าสยดสยอง อีกทั้งเทพเอนลิลยังประทานพละกำลังให้มันเพื่อเป็นผู้ปกป้องป่าซีดาร์แห่งทิศตะวันตก การเผชิญหน้ากับมันไม่ผิดอะไรกับการเดินเข้าหาความตาย”

“หากข้าชนะ ข้าจะได้รับเกียรติอย่างยิ่งใหญ่หรือหากข้าตายในการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าก็ยังได้รับชื่อเสียงว่า เป็นผู้กล้าที่จะเผชิญหน้ากับจอมอสูรฮูวาวา ซึ่งนั่นคือการตายที่มีศักดิ์ศรี” กิลกาเมชตรัส ก่อนจะตำหนิ เอ็นคิดูว่า ไม่มีความกล้าหาญที่จะตายอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งเมื่อถูกผู้เป็นสหายตำหนิดังนั้นแล้ว เอ็นคิดูจึงตัดสินใจที่จะร่วมเดินทางไปกับกิลกาเมชเพื่อเผชิญหน้ากับอสูรฮูวาวา




อสูรฮูวาวา


ทั้งสองออกเดินจากนครอูรุกโยปราศจากผู้ติดตามและหลังจากเดินทางเป็นเวลานับเดือนก็มาถึงเขตป่าซีดาร์ยักษ์ของอสูรฮูวาวา หลังจากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันโค่นต้นซีดาร์ลงเพื่อท้าทายจอมอสูรให้ปรากฏตัว เมื่อฮูวาวารู้ว่ามีมนุษย์บุกเข้ามาโค้นต้นไม้ของมัน เจ้าอสูรก็ปรากฏกายขึ้นด้วยรูปร่างอันสูงใหญ่เทียมฟ้า เสียงคำรามของมันดังไปไกลทั่วผืนป่า ขณะที่ดวงตาแดงก่ำจ้องมองสองมนุษย์ผูอหังการ์

กิลกาเมชและเอ็นคิดูต่างรวมกำลังกันเข้าต่อสูกับฮูวาวาอย่างกล้าหาญ การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดและรุนแรง จนในที่สุด กิลกาเมชก็สามารถสังหารฮูวาวาลงได้ ด้วยการทิ่มดาบลงบนเท้าอันมหึมาของจอมอสูรจนมันถึงกับทรุดลง จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปเหยียบบ่าและใช้ดาบตัดหัวของอสูรร้ายขาดกระเด็น ร่างมหึมาที่ไร้ศีรษะของฮูวาวาล้มครืนราวภูเขาถล่มทลาย

เมื่อสังหารจอมอสูรลงได้แล้ว กิลกาเมชกับเอ็นคิดูก็ช่วยกันโค่นป่าซีดาร์จนราบเรียบ ชัยชนะในครั้งนี้ส่งผลให้ชื่อเสียงของทั้งคู่เลื่องลือระบือไกล จนแม้ทวยเทพบนสรวงสวรรค์ก็ยังรับรู้




เทพีอิชตาร์


ในยามนั้น เทพีอิชตาร์ เทพีแห่งความงาม ความรัก สงคราม และตัณหา ทรงได้ยินเรื่องราวของกิลกาเมช พระนางจึงเสด็จลงมาเพื่อทอดพระเนตรราชาหนุ่มและเมื่อได้เห็นแล้ว องค์เทพีก็บังเกิดความเสน่หาในตัวกิลกาเมช พระนางจึงมาปรากฏองค์ต่อหน้าเขาและขอให้เขาเสกสมรสกับพระนางโดยทรงยื่นข้อเสนอว่าจะมอบอำนาจอันยิ่งใหญ่ให้กับเขาเป็นการตอบแทน ทว่ากิลกาเมชกลับปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย ทั้งยังตรัสกับเทพีด้วยว่า เขารู้ดีว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างกับอดีตคู่รักของพระนาง ยามเมื่อพระนางสิ้นรักแล้ว และเขาไม่ปรารถนาจะเป็นเช่นนั้น

เทพีทรงโกรธและอับอายที่ถูกปฏิเสธซึ่งหน้า จึงเสด็จไปเข้าเฝ้าเทพอนู พระบิดาของพระนางเพื่อขอให้ลงโทษมนุษย์โอหังผู้นี้ “กิลกาเมชทำให้ข้าได้รับความอับอายยิ่งนัก ขอพระบิดาได้โปรดส่งกระทิงสวรรค์ไปสังหารมันและทำลายนครของมันให้พินาศสิ้นด้วยเถิด และหากพระบิดามิทรงยอมตามที่ลูกร้องขอ ลูกจะไปทลายประตูนรกเพื่อปลดปล่อยเหล่าผีร้ายให้ขึ้นมาย่ำยีมวลมนุษย์”




กิลกาเมชและนครอูรุก ต่อสู่กับ กระทิง


เมื่อทรงได้ฟังคำขอของพระธิดาแล้ว เทพอนูจึงส่งกระทิงสวรรค์ลงมาเพื่อสังหารกิลกาเมชและทำลายนครอูรุก โดยในทันทีที่กระทิงสวรรค์เหยียบลงบนแผ่นดินอูรุก เพียงครั้งแรกที่มันพ่นลมหายใจออกมา ก็เกิดแผ่นดินแยกและสูบเอาทหารของกิลกาเมชลงไปถึง 100 คน และเมื่อมันพ่นลมหายใจครั้งที่สองก็ทำให้ทหารถูกสูบลงไปอีก 500 คน และในการพ่นลมหายใจครั้งที่สาม เอ็นคิดูก็พลัดตกลงไปในรอยแยกของแผ่นดิน

ทว่าชายหนุ่มสามารถปีนกลับขึ้นมาได้และพุ่งเข้าจับเขาของกระทิงสวรรค์เอาไว้ พร้อมกับร้องบอกให้กิลกาเมชใช้ดาบแทงเข้าไปยังจุดตายที่อยู่ระหว่างเขาและคอของมัน กษัตริย์หนุ่มใช้ดาบแทงเข้าไปตามที่สหายร้องบอกและกระทิงสวรรค์ก็สิ้นชีพลงในทันที

ความอหังการ์ของสองสหาย ทำให้เหล่าเทพตัดสินใจให้บทเรียนที่สำคัญแก่กิลกาเมช โดยบันดาลให้เอ็นคิดูล้มป่วยและเสียชีวิตลง




มหากาพย์กิลกาเมช


ความตายของสหายทำให้กิลกาเมชเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจมอยู่กับความทุกข์เป็นเวลานาน ทั้งยังเกิดความหวาดหวั่นสิ่งหนึ่งขึ้นภายในใจ นั่นคือ ความหวาดหวั่นว่า วันหนึ่ง พระองค์จะต้องสิ้นชีวิตลงเช่นเดียวกับสหาย

ในที่สุด กิลกาเมชจึงตัดสินพระทัยหาวิธีที่จะทำให้พระองค์ไม่ต้องตาย โดยออกเดินทางไปยังต้นน้ำแห่งแม่น้ำทั้งมวลของโลก เพื่อค้นหา อุชนาปิชติม มนุษย์ผู้รอดตายจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลกและได้รับพรจากเทพเจ้าให้เป็นอมตะ

กิลกาเมชออกเดินทางเพียงลำพังและเผชิญหน้ากับสิ่งแปลกประหลาดมากมาย เช่น มนุษย์แมงป่องยักษ์ที่น่ากลัวสองตนที่ทำหน้าที่เฝ้าหนทางสู่โลกใต้พิภพ มนุษย์แมงป่องทั้งสองรู้ว่า กิลกาเมชมีสายเลือดของเทพเจ้าอยู่ในตัวโดยกล่าวว่า “ท่านมีความเป็นเทพอยู่สองในสามส่วน มีความเป็นมนุษย์อยู่หนึ่งในสามส่วน” และเมื่อพวกมนุษย์แมงป่องรู้ถึงความตั้งใจของกิลกาเมช พวกนั้นก็เอ่ยเตือนเขาถึงอันตรายที่รออยู่ข้างหน้า แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้เขาเดินทางต่อไป




กิลกาเมช เดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเล


หลังเดินทางผ่านดินแดนแห่งความมืดแล้ว กิลกาเมชก็มาถึงหุบเขาแห่งแสงสว่างและสวนพฤกษาแห่งอัญมณีซึ่งต้นไม้ทุกต้นมีผลเป็นอัญมณีเลอค่า จากนั้นกิลกาเมชก็ไปถึงยังฝั่งทะเลแห่งมรณะและเมื่อข้ามพ้นทะเลแห่งนั้น เขาก็ได้พบกับอุชนาปิชติม

ซึ่งอุชนาปิชติมบอกกับกิลกาเมชว่า “ความตายเป็นสิ่งที่มนุษย์หลีกเลี่ยงไม่พ้น เพราะเหล่าเทพเจ้ามีประสงค์ให้ชีวิตมนุษย์เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว” แต่กิลกาเมชก็ยังคงดึงดันที่จะเป็นอมตะ อุชาปิชติมจึงเล่าถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลกและกล่าวถึงการที่เทพเจ้าสั่งให้ตนต่อเรือช่วยสิ่งมีชีวิตบนโลกให้รอดตาย จากนั้นจึงได้รับพรจากเทพเจ้าให้เป็นอมตะ




กิลกาเมชดำน้ำลงไปต้นมหาสมุทร


อย่างไรก็ตาม ในที่สุด อุชนาปิชติมก็ทนการอ้อนวอนของกิลกาเมชไม่ไหว เขาจึงบอกให้กิลกาเมชดำน้ำลงไปต้นมหาสมุทร ณ จุดสิ้นสุดของโลก เพื่อนำเอาต้นไม้แห่งการกลับคืนสู่ความหนุ่มสาวขึ้นมา กิลกาเมชทำได้สำเร็จและดีใจมาก

เขาตั้งใจจะนำต้นไม้นี้กลับไปทดลองกับคนชราที่เมืองอูรุก ทว่าระหว่างเดินทางกลับ งูตัวหนึ่งได้มาขโมยต้นไม้ต้นนั้นไป ทำให้เหล่างูทั้งหลายสามารถลอกคราบเพื่อกลับคืนสู่ความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้อีกครั้ง




งูตัวหนึ่งได้มาขโมยต้นไม้ต้นนั้นไป


แม้กิลกาเมชจะผิดหวังกับความพยายามที่สุดท้ายก็สูญเปล่าของตน แต่ในที่สุด เขาก็ได้เข้าใจถึงสัจจะธรรมของชีวิตและยอมรับชะตากรรมของชีวิตโดยไม่คิดดิ้นรนเป็นอมตะอีกต่อไป จากนั้นกิลกาเมชก็สั่งให้ขุนนางจารึกเรื่องราวการเดินทางของพระองค์ไว้ที่ฐานของประตูเมืองและกลายเป็นตำนานที่เล่าขานมานานนับพันปี กล่าวขานสืบมาและเป็นอมตะในความทรงจำของคนรุ่นต่อมา สืบมาจนกระทั่งถึงวันนี้



ที่มา : http://teen.mthai.com/variety/77759.html
แก้ไขล่าสุดโดย noojidsai เมื่อ Tue Sep 09, 2014 21:01, ทั้งหมด 21 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
I love Jesus and He loves me. He's the reason why I am Catholic.

ออฟไลน์
เลขาสโมสร
Status: I'm crazy about Jesus.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 7356
ที่อยู่: ZION
โพสเมื่อ: Mon Jul 28, 2014 14:41
[RE: ภาพโบสถ์สวยๆ กับบรรยากาศดีๆ]
“13 หมู่บ้านเล็ก” ที่มีความเป็นเอกลักษณ์และมีเสน่ห์จากทั่วทุกมุมโลก

ในการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่เมืองใหญ่ๆ หรือเมืองที่เป็นที่รู้จักเสียมากกว่า แต่รู้ไหมว่า ยังมีเมืองหรือหมู่บ้านเล็กๆ ที่สวยงามและมีสเน่ห์ดึงดูดอยู่มากมาย

ในบทความนี้ผมก็จะพาเพื่อนๆไปดู 13 หมู่บ้านเล็ก ที่มีความเป็นเอกลักษณ์และมีเสน่ห์จากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งก็หวังว่าหมู่บ้านเหล่านี้จะเป็นตัวเลือกในการเดินทางเที่ยวต่างประเทศครั้งหน้าของเพื่อนๆครับ



1. Colmar, France

เป็นหมู่บ้านสีชมพูที่มีอายุเพียงแค่ 7 ปีเท่านั้น มีฉายาว่า เมืองแห่งเจ้าหญิงดิสนี่ย์










2. Juzcar, Spain

หมู่บ้านที่รู้จักกันในชื่อ Smurf Town เป็นเมืองที่ถูกทาสีเป็นสีฟ้าทั้งหมด เพื่อใช้เป็นฉากในเรื่อง Smurf










3. Alberobello, Italy

หมู่บ้านที่มีบ้านรูปทรงกรวยสีขาวตั้งอยู่บนเนินเขา รายล้อมไปด้วยสวนมะกอกน้อยใหญ่










4. Qaqortoq, Greenland

ฉายา Lego block town แห่ง Greenland หมู่บ้านที่มีประชากรเพียงแค่ 3000 คน










5. Burano, Italy

บ้านทุกหลังที่สร้างขึ้นในหมู่บ้านนี้ จะต้องส่งคำร้องไปยังรัฐเพื่อขออนุญาตทาสีบ้าน แล้วรัฐจะส่งรายชื่อสีที่อนุญาตให้ทากลับมา










6. Shirakawa-go, Japan

หมู่บ้านในชนบทที่แสนสงบ มีสเน่ห์ตรงที่หลังคาของแต่ละหลังที่มีความเป็นเอกลักษณ์










7. Monsanto, Portugal

หมู่บ้านที่มีกองหินขนาดยักษ์ตั้งอยู่มากมาย ดูแปลกตาและเป็นเอกลักษณ์ดีนะ










8. Hoi An, Vietnam

หมู่บ้านที่สว่างไสวไปด้วยโคมไฟจำนวนมากในยามค่ำคืน ซึ่งจำนวนโคมไฟที่นี่มีมากกว่าจำนวนประชากรเสียอีก










9. Greme, Turkey

หมู่บ้านที่มี fairy chimney หรือ ปล่องไฟนางฟ้า เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านที่ใช้การเจาะหน้าผาเพื่อทำเป็นหลังคาและปล่องไฟ













10. Giethoorn, Netherlands

หมู่บ้านที่ไม่มีถนน คนที่นี่จะใช้เรือในการเดินทางสัญจรไปมาแทนการใช้รถ










11. Cinque Terre, Italy

หมู่บ้านที่รัฐบาลได้ประกาศให้พื้นที่ทั้งหมดของเมืองเป็นอุทยานแห่งชาติ เพื่อรักษามรดกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่หลากหลายเอาไว้











12. Bibury, England

หมู่บ้านที่ถูกขนานนามว่าเป็น หมู่บ้านที่สวยที่สุดในอังกฤษ บ้านแต่ละหลังเป็นกระท่อมหินที่สร้างมาตั้งแต่ในยุคศตวรรษที่ 17










13. Sidi Bou Said, Tunisia

หมู่บ้านที่มีโทนสีฟ้าและขาว ดูสวยงามและสบายตาเป็นที่สุด









ที่มา : wegointer.com
แก้ไขล่าสุดโดย noojidsai เมื่อ Tue Oct 21, 2014 14:57, ทั้งหมด 14 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
I love Jesus and He loves me. He's the reason why I am Catholic.

ออฟไลน์
เลขาสโมสร
Status: I'm crazy about Jesus.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 7356
ที่อยู่: ZION
โพสเมื่อ: Mon Jul 28, 2014 14:42
[RE: ภาพโบสถ์สวยๆ กับบรรยากาศดีๆ]
สาวๆ นักดาราศาสตร์แห่งหอดูดาวฮาร์วาร์ด ความสามารถที่ถูกกีดกันในอดีต


Edward Pickering และสาวๆ นักดาราศาสตร์แห่งหอดูดาวฮาร์วาร์ด

ในงานวันขึ้นปีใหม่ประจำปี 1929 ที่จัด ณ หอดูดาวแห่งมหาวิทยาลัย Harvard มีการแสดงละครบนเวทีเรื่อง Observatory Pinaforte ซึ่งมีทั้งการร้องเพลง การเต้นระบำ และการแสดงโดยสตรีนับสิบ เพราะลีลาการร้อง และเล่นแสดงว่าเธอเหล่านั้นมิได้เป็นนักแสดงมืออาชีพ ดังนั้นคนที่เข้ามาชมการแสดงจึงอาจคิดไปว่า เธอๆ คงเป็นภรรยา ลูกสาว หรือญาติของบรรดานักดาราศาสตร์แห่งหอดูดาว และเธอคนหนึ่งอาจเป็นภรรยาของ Edward Pickering ซึ่งเป็นผู้อำนวยการแห่งหอดูดาวก็ได้

แต่ในความเป็นจริง เธอๆ คือพนักงานประจำของหอดูดาว ซึ่งได้รับค่าจ้างเพียงเล็กน้อยในการทำงานวิเคราะห์ภาพถ่ายดาว และกาแล็กซี่ที่นักดาราศาสตร์ชายได้ถ่ายไว้จำนวนนับแสนภาพ

แม้จะเป็นแค่ลูกจ้าง แต่ผลงานของเธอเหล่านี้ก็ได้ทำให้วงการดาราศาสตร์โลกก้าวหน้ามากถึงระดับที่ผู้อำนวยการและใครๆ ก็คิดไม่ถึง เช่น Annie Jump Cannon ได้คิดวิธีใหม่ในการจัดกลุ่มดาวฤกษ์ด้าน Henrietta Leavitt เมื่อได้วิเคราะห์ความสว่างของดาวแปรแสง (variable star) ก็ได้พบว่า นักดาราศาสตร์สามารถใช้ดาวเหล่านี้เป็นดาวมาตรฐานในการวัดระยะทางที่ดาวฤกษ์อยู่ห่างจากโลกได้ เป็นต้น

สำหรับสาเหตุที่ผู้อำนวยการ Pickering ว่าจ้างสตรีเหล่านี้มาทำงาน เพราะในปี 1877 ที่เขาเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการคนใหม่นั้น เขาได้พบว่า หอดูดาวมีภาพถ่ายของดาวต่างๆ ประมาณ 5 แสนภาพที่ยังไม่มีใครวิเคราะห์เลย

ในเบื้องต้น Pickering ได้จ้างชายหนุ่มหลายคนมาเคลียร์ปัญหานี้โดยเฉพาะ และได้พบว่า หนุ่มๆ มักทำงานอย่างไม่รอบคอบ คือไม่สนใจในรายละเอียด และมักไม่รายงานสิ่งที่ผิดสังเกตอะไรเลย ดังนั้นจึงพลาดการค้นพบสิ่งที่สำคัญ เพราะมองข้ามเรื่องที่น่าสนใจไปอย่างน่าเสียดาย และเมื่อความอดทนบรรลุถึงขีดสุด Pickering จึงระเบิดออกมาว่า สาวใช้ที่บ้านผมสามารถทำงานนี้ได้ดีกว่าบรรดาผู้ชายทุกคนที่จ้างมาอย่างแน่นอน



สาวๆ นักดาราศาสตร์แห่งหอดูดาวฮาร์วาร์ด ขณะทำงาน

หลังจากนั้นก็ได้เลิกจ้างบรรดาชายหนุ่มทั้งหลาย และจ้างผู้หญิง 10 คนมาทำงานแทน การตัดสินใจของ Pickering ครั้งนี้ได้ผลมาก เพราะได้พบว่า ผู้หญิงมักสังเกตรายละเอียดต่างๆ ได้ดีกว่า ตั้งอกตั้งใจทำงานมากกว่า และข้อที่ดีและประเสริฐที่สุดคือ เธอรับเงินเดือนเพียงครึ่งหนึ่งของผู้ชาย แม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้กล้องโทรทรรศน์ก็ตาม เพราะสังคม (ในสมัยนั้น) มีความเห็นว่า มันเป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่จะให้ผู้ชายและผู้หญิงส่องกล้องโทรทรรศน์ดูดาวด้วยกันเป็นเวลานานๆ ในเวลากลางคืน ลูกจ้างสตรีเหล่านั้นจึงต้องทำงานจ้องดูภาพดาว และจดบันทึกรายละเอียดของสิ่งที่เห็นในเวลากลางวัน โดยไม่มีผู้ชายอยู่ใกล้ๆ

สตรีคนหนึ่งในบรรดาสตรีที่ Pickering รับเข้ามาทำงานชื่อ Williamina Fleming ซึ่งเป็นชาวสก็อตจากเมือง Dundee ผู้เพิ่งหย่าจากสามี และได้อพยพมาอเมริกาเพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเอง และลูกที่ใกล้จะคลอด เพราะเธอได้รับการศึกษามากกว่าคนอื่นๆ ดังนั้น เธอจึงได้ครองตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม และผลงานที่สำคัญของเธอคือ ได้สังเกตเห็นภาพการระเบิดของดาวฤกษ์ประมาณ 10 ดวง

ส่วน Annie Jump Cannon สามารถแยกประเภทของดาวฤกษ์ได้ประมาณ 50,000 ดวงต่อเดือน โดยอาศัยการสังเกตและความสามารถในการจำแนกความสว่าง ตำแหน่ง และสีของดาว แคตตะล็อกของดาวที่ Cannon จัดทำนี้ ยังเป็นต้นแบบให้นักดาราศาสตร์ใช้จนถึงปัจจุบันนี้ ความสำเร็จของ Cannon เกิดจากการมีความสามารถระดับอัจฉริยะของเธอในการใช้สายตา เพราะหลังจากที่เธอล้มป่วยด้วยไข้ดำแดง (scarlet fever) หูของเธอได้หนวกสนิท เธอจึงต้องใช้สายตาในการรับรู้ความเป็นไปของโลกภายนอกได้มากกว่าคนธรรมดา

ด้าน Herrietta Leavitt นั้นก็หูหนวกเช่นกัน และเมื่อเธอเข้าทำงานในปี 1895 Pickering ได้ให้เธอมีหน้าที่ค้นหาดาวฤกษ์ที่เปล่งแสงไม่สม่ำเสมอหรือที่ปัจจุบันเราเรียก ดาวแปรแสง (variable star) เพราะความสว่างของมันไม่คงตัว คือแปรปรวนตามเวลา และในการค้นหานี้ เธอต้องนำแผ่นฟิล์มหลายแผ่นมาเปรียบเทียบกัน และถ้าพบว่า ถ้าดาวฤกษ์ดวงเดียวกัน ณ เวลาต่างกันเปล่งแสงไม่เท่ากัน มันก็จะเป็นดาวแปรแสง หรือดาวที่มีชื่อในปัจจุบันว่า Cepheid



Annie Jump Cannon

การค้นพบของ Leavitt ที่ว่า อัตราเร็วในการเปลี่ยนแปลงความสว่างเป็นปฏิภาคโดยตรงกับความสว่างของมัน เช่น ดาวบางดวงใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ในการหรี่แสงลง แล้วกลับมาสว่างเหมือนเดิมอีก Leavitt ได้พบว่า ดาวประเภทที่ว่านี้จะสว่างมากกว่าดาวที่เปลี่ยนความเข้มแสง ในเวลาเพียง 2-3 วัน โดยใช้สูตร log d = 0.2 (m – M + 5)

เมื่อ d คือระยะทางที่ดาวฤกษ์อยู่ห่างจากโลก ในหน่วย parsec (1 parsec คือระยะทาง 3.26 ปีแสง)
m คือ ความสว่างที่วัดได้โดยเฉลี่ย
M คือ ความสว่างสัมบูรณ์ (จริง) ซึ่งคำนวณได้จากสูตร M = -2.9 log P – 1.2
และ P เป็นคาบของการเปลี่ยนแปลง

ดังนั้น เมื่อรู้ค่า m, M, P ระยะทาง d ก็สามารถคำนวณได้

นี่คือการค้นพบที่สำคัญ เพราะข้อมูลที่ได้สามารถช่วยให้นักดาราศาสตร์สามารถวัดระยะทางที่ดาวดวงนั้นอยู่ห่างจากโลกได้ ดังนั้น ในปี 1923 Edwin Hubble จึงได้ใช้สมบัติของดาว Cepheid ในการวัดระยะทางที่กาแล็กซี่ต่างๆ อยู่ห่างจากโลก และพบว่าเอกภพมิได้มีเพียงกาแล็กซี่ทางช้างเผือก

ผลงานของ Leavitt ในเรื่องนี้ได้สร้างความประทับใจให้แก่นักดาราศาสตร์ทั่วโลก ดังนั้นองค์กร Swedish Academy of Science จึงดำเนินเรื่องจะเสนอชื่อเธอให้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ แต่ได้พบว่า เธอเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 1921 ด้วยโรคมะเร็ง

ถึงปี 1929 Hubble ก็ได้ใช้หลักการของ Leavitt ในการพิสูจน์ว่า เอกภพกำลังขยายตัวตลอดเวลา และนี่ก็คือหลักฐานแรกที่แสดงให้ทุกคนรู้ว่า Big Bang มีจริง

ด้าน Annie Jump Cannon นั้น เมื่อถึงปี 1925 เธอได้เป็นสตรีคนแรกที่ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัย Oxford และยังได้รับเหรียญทองคำ Draper จาก American National Academy of Sciences ด้วย ส่วน Williamina Fleming ในเวลาต่อมาได้ครองตำแหน่งภัณฑารักษ์คนแรกของหอดูดาว Harvard และได้รับเลือกเป็นสมาชิกของ Astronomical Society แห่งฝรั่งเศส และเม็กซิโก รวมถึงได้เป็นสมาชิกของ Royal Astronomical Society ของอังกฤษด้วย ผลงานเหล่านี้ทำให้หลุมอุกกาบาตหลุมหนึ่งบนดวงจันทร์ชื่อ Fleming



Henrietta Leavitt

นี่คือตัวอย่างของชีวิตนักดาราศาสตร์สตรีเมื่อหนึ่งศตวรรษก่อนที่ผู้หญิงถูกกีดกันไม่ให้ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ การขัดขวางลักษณะนี้ทำให้เธอหลายคนต้องลาออกจากโรงเรียนกลางคันเพื่อไปสร้างครอบครัว แม้เมื่อ 50 ปีก่อนที่มหาวิทยาลัย Caltech, MIT และ Harvard ต่างก็ปฏิเสธไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเรียนดาราศาสตร์ แต่ Cecillia Payne ก็เริ่มทำให้ความสามารถของสตรีเป็นที่ยอมรับ เมื่อวิทยานิพนธ์ที่เธอทำเสนอแนะว่า เอกภพมีธาตุไฮโดรเจนในปริมาณมากที่สุด ผลงานนี้ทำให้เธอได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์ ดาราศาสตร์คนแรกของมหาวิทยาลัย Harvard ซึ่งเป็นเรื่องที่คนทั่วไปคาดไม่ถึง แม้แต่พนักงานพิมพ์ดีด เพราะเวลาเขาพิมพ์จดหมายถึงเธอ เขาพิมพ์คำคารวะขั้นต้นว่า “Dear Sir” แทนที่จะเป็น “Dear Madam”

ปัจจุบันโลกมีนักดาราศาสตร์สตรีที่เก่งๆ อีกมากมายหลายคน เช่น Margaret Burbidge แห่ง University of California ที่ San Diego ซึ่งก็ประสบปัญหาการถูกกีดกันในเบื้องต้นเช่นกัน ดังในปี 1740 เมื่อเธอขอทุนการศึกษาที่ Carnegie Institution เธอได้รับจดหมายตอบว่า งี่เง่ามากที่มาสมัคร เพราะกฎของมหาวิทยาลัย ห้ามสตรีสมัครเข้าเรียน ในเวลาต่อมา เธอกับสามีได้ร่วมมือกันทำวิจัยดาราศาสตร์จนมีชื่อเสียงในฐานะผู้สร้างทฤษฎี Steady State ร่วมกับ Fred Hoyle และยังได้เสนอทฤษฎีการสร้างธาตุต่างๆ หลัง Big Bang ด้วย

เธอเล่าว่า ในการทำงานของเธอที่ Mount Wilson Observatory นั้นทางหอดูดาวมักจัดห้องพักคุณภาพดีให้นักดาราศาสตร์ชายพำนัก และจัดพ่อครัวฝีมือดีมาปรุงอาหารให้รับประทาน ส่วนเธอต้องหลบอยู่ในห้องเล็กๆ และต้องหุงหาอาหารกินเอง เธอจึงรู้สึกว่า เธอเป็นเสมือนประชาชนชั้นสองแต่ก็ได้ประจักษ์ในที่สุดว่า เธอต้องมีความอดทนและต้องมั่นใจ เธอจึงสามารถดำรงชีพอยู่ในวงการได้

ณ วันนี้ โลกมีนักดาราศาสตร์สตรีที่มีชื่อเสียงอีกหลายคน เช่น Vera Rubin แห่ง Carnegie Institution ซึ่งเป็นคนแรกที่วัดความเร็วในการหมุนรอบตัวเองของกาแล็กซี่ Margaret Geller แห่ง Center for Astrophysics ที่มหาวิทยาลัย Harvard ผู้ทำแผนที่โครงสร้างของเอกภพ รวมทั้ง Jocelyn Bell – Burnell แห่ง Opin University ที่อังกฤษ ผู้พบดาว pulsar ดวงแรกของโลก ฯลฯ

ชีวิตของเธอเหล่านี้เป็นแบบอย่างให้นักดาราศาสตร์สตรีรุ่นหลังได้เจริญรอยตาม


เขียนโดย : สุทัศน์ ยกส้าน
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000099221

แก้ไขล่าสุดโดย noojidsai เมื่อ Thu Sep 18, 2014 00:08, ทั้งหมด 9 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
I love Jesus and He loves me. He's the reason why I am Catholic.

ออฟไลน์
เลขาสโมสร
Status: I'm crazy about Jesus.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 7356
ที่อยู่: ZION
โพสเมื่อ: Mon Jul 28, 2014 14:42
[RE: ภาพโบสถ์สวยๆ กับบรรยากาศดีๆ]
ปฏิทินภาพถ่ายหาดูยากมาก กับช่วงเวลาน่าทึ่งของธรรมชาติแสนงดงาม

ตื่นตาตื่นใจไปกับภาพลมฟ้าอากาศและภูเขาไฟ ซึ่งเป็นผลงานของ Astronomy Picture of the Day หรือ APOD เพิ่งเปิดตัวปฏิทินใหม่ล่าสุดของปี 2015 ซึ่งเต็มไปด้วยภาพอันสวยงามตระการตาของโลกและห้วงอวกาศ ปฏิทินดังกล่าวมีทั้งหมด 8 ชุดด้วยกันได้แก่ Galaxies, General, Skyscapes, Moons & Planets, Star Clusters, Spaceflight, Sun และ Weather & Volcanoes

แต่ปฏิทินชุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดในความคิดของเราคือ Weather & Volcanoes ซึ่งคุณจะได้เห็นทุกอย่าง ตั้งแต่ภาพกลุ่มเมฆสีรุ้งที่สวยงามซึ่งถูกบันทึกภาพไว้ในปี 2009 จากบนเทือกเขาหิมาลัยในประเทศเนปาล เหนือยอดเขาทัมเซอกุที่สูงราว 6,600 เมตร ไปจนถึงภาพถ่ายสายฟ้าฟาดทำให้มองเห็นมวลเถ้าถ่านที่กำลังพวยพุ่งออกมาจากภูเขาไฟเอยาฟยาตลาเยอคุตล์ ภาพทั้งหมดนี้เป็นการสื่อถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่และความสวยงามของธรรมชาติกับโลกที่เราอาศัยอยู่

ผู้ที่สนใจปฏิทินชุดนี้สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีหรือร่วมบริจาคได้ที่
คลิกลิงค์เพื่อดาวน์โหลด www.phy.mtu.edu/apod/APODcalendar2015Weather.pdf



เถ้าถ่านและสายฟ้าฟาดเหนือภูเขาไฟแห่งไอซ์แลนด์




คำอธิบาย : ทำไมการปะทุของภูเขาไฟในปี 2010 ที่ไอซ์แลนด์จึงปรากฏเถ้าถ่านมากมายขนาดนี้? กลุ่มเถ้าภูเขาไฟขนาดมหึมากลายเป็นที่สังเกตเห็นเนื่องจากมันลอยผ่านพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น ภูเขาไฟเอยาฟยาตลาเยอคุตล์อยู่ทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์เริ่มปะทุครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ปี 2010 และการปะทุครั้งที่ 2 เกิดขึ้นใต้บริเวณตรงกลางของธารน้ำแข็งในวันที่ 14 เมษายน ปี 2010 ทำให้ธารน้ำแข็งละลาย หลังจากนั้นลาวาก็เย็นตัวลงและกลายเป็นอนุภาคแก้วเม็ดเล็กๆซึ่งถูกดันขึ้นไปพร้อมกับภูเขาไฟที่กำลังปะทุ ภาพด้านบนคือการปะทุของภูเขาไฟเอยาฟยาตลาเยอคุตล์ครั้งที่ 2 และสายฟ้าฟาดทำให้มองเห็นเถ้าถ่านที่กำลังพวยพุ่งออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟ



สายฟ้าฟาดยามจันทรคราส ณ the Planet of the Goats




คำอธิบาย : เหตุการณ์ฝนฟ้าคะนองเกือบทำลายทัศนียภาพอันสวยงามของปรากฏการณ์จันทรคราส แต่เมฆและฝนเหล่านี้แยกออกจากกันนานราว 10 นาทีระหว่างที่เกิดจันทรคราส ส่วนสายฟ้าฟาดก็ทำให้ท้องฟ้าดูสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ ภาพเงาของจันทรคราสแผ่กระจายไปเกือบทั่วโลกปกคลุมทั้งทวีปยุโรป แอฟริกา เอเชีย และออสเตรเลีย อย่างไรก็ตามภาพนี้ถูกถ่ายที่เกาะอิคาเรีย หรือที่รู้จักกันในนามว่า “The Planet of the Goats” เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่ขรุขระและเต็มไปด้วยหินรูปร่างแปลกประหลาด



กลุ่มเมฆสีรุ้งเหนือยอดเขาทัมเซอกุ




คำอธิบาย : ทำไมเมฆจึงมีสีแตกต่างกัน? นี่คือปรากฏการณ์ที่หาดูได้ยากมาก ที่กลุ่มเมฆสีรุ้งเหล่านี้ได้แสดงสเปกตรัมของทุกย่านสีออกมาพร้อมๆกัน โดยการก่อตัวจากหยดน้ำที่มีขนาดเท่าๆกัน เมื่อพระอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมหรือถูกเมฆหนาบดบังเป็นส่วนใหญ่ กลุ่มเมฆบางๆเหล่านี้ก็จะกระจายแสงอาทิตย์ออกมาในลักษณะที่เกือบใกล้เคียงกัน โดยมีการหักเหของสีในปริมาณที่ต่างกัน ผู้สังเกตการณ์จะมองเห็นสีสันได้จากทิศทางต่างๆรอบด้าน ภาพเมฆสีรุ้งด้านบนถูกบันทึกไว้ในปี 2009 จากเทือกเขาหิมาลัย ประเทศเนปาล อยู่หลังยอดเขาทัมเซอกุที่สูงราว 6,600 เมตร



ปรากฏการณ์เมฆแมมมาทัสเหนือเนบราสก้า




คำอธิบาย : เหตุใดฐานเมฆจึงมีลักษณะคล้ายฟองอากาศ? ฐานเมฆโดยทั่วไปจะมีลักษณะแบนเรียบ ปรากฏการณ์นี้เกิดจากอากาศร้อนชื้นที่ลอยขึ้นและเย็นตัวลงจะควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำในอุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งตามปกติแล้วความสูงระดับนี้เมื่อกลายเป็นหยดน้ำเมฆครึ้มก็จะเริ่มก่อตัว อย่างไรก็ตามเมฆชนิดนี้อาจกลั่นตัวเป็นหยดน้ำขนาดใหญ่หรือผลึกน้ำแข็งตกลงมาในอากาศขณะที่กำลังระเหยเป็นไอ เมฆชนิดนี้อาจเกิดขึ้นในสภาพอากาศที่วุ่นวายจากพายุฟ้าฝน และกลายเป็นปรากฏการณ์เมฆแมมมาทัสได้ถ้าหากมีแสงอาทิตย์ส่องจากด้านข้าง ภาพข้างบนนี้ถูกบันทึกได้ที่เมืองแฮสติงส์ รัฐเนบราสก้า ในช่วงเดือนมิถุนายน ปี 2004



ภูเขาไฟซากุระจิมะกับสายฟ้าฟาด




คำอธิบาย : เหตุใดภูเขาไฟระเบิดจึงต้องมีฟ้าผ่าในบางครั้ง? นี่คือภาพของภูเขาไฟซากุระจิมะที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่นกำลังระเบิดเมื่อต้นเดือนที่แล้ว หินหลอมละลายร้อนมากจนพุ่งออกมาเป็นสาย และหินเหลวก็ปะทุขึ้นมาจากใต้ดิน อย่างไรก็ตามมีภาพสายฟ้าฟาดซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนปรากฏขึ้นใกล้กับยอดภูเขาไฟ สาเหตุการเกิดฟ้าผ่าในยามฝนฟ้าคะนองยังเป็นประเด็นที่น่าสนใจ ส่วนการเกิดฟ้าผ่าในยามภูเขาไฟระเบิดก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ เหตุการณ์ฟ้าผ่ามักเกิดขึ้นได้ทุกที่ในโลกซึ่งปกติจะเกิดขึ้นมากกว่า 40 ครั้ง/วินาที



เมฆ นก พระจันทร์ ดาวศุกร์




คำอธิบาย : บางครั้งบนท้องฟ้าก็เปรียบเสมือนเวทีการแสดง ยกตัวอย่างเมื่อต้นเดือนกันยายน ปี 2010 พระจันทร์กับดาวศุกร์โคจรมาบรรจบกันทำให้ผู้ที่สนใจในท้องฟ้าจากทั่วโลกสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ภาพนี้ถูกบันทึกไว้ที่ประเทศสเปนขณะที่พระอาทิตย์กำลังตกดินทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงิน เบื้องหน้าของภาพนี้เป็นกลุ่มเมฆฝนกระจายตัวอยู่เต็มส่วนล่าง ขณะที่เมฆรูปร่างคล้ายทั่งตีเหล็กสีขาวปรากฏอยู่ด้านบน จุดสีดำในภาพคือฝูงนก แต่หลังจากถ่ายภาพนี้เสร็จ ฝูงนกก็บินผ่านไป พายุก็สงบลง ดาวศุกร์กับดวงจันทร์ก็เริ่มมองเห็นได้อีกครั้ง



เงารูปสามเหลี่ยมของภูเขาไฟยักษ์




คำอธิบาย : ทำไมเงาของภูเขาไฟลูกนี้จึงคล้ายกับรูปสามเหลี่ยม? ภูเขาไฟเมาท์เตเดไม่ได้มีรูปทรงพีระมิดเหมือนกับเงาของมัน แต่ปรากฏการณ์เงาสามเหลี่ยมของเมาท์เตเดไม่ใช่เรื่องแปลกและมักเห็นได้จากยอดเขาหรือภูเขาไฟลูกอื่นๆ สาเหตุที่เงาของมันมีรูปร่างแปลกเกิดจากเงาที่เราเห็นในตอนพระอาทิตย์ตก (หรือพระอาทิตย์ขึ้น) ซึ่งจะเป็นเงาที่ยืดยาวไปสู่เส้นขอบฟ้า ต่อให้ภูเขาไฟมีลักษณะเป็นลูกบาศก์แต่เงาของมันก็จะกลายเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยยอดของเงาก็จะเบี่ยงเข้าหากันเป็นยอดแหลมเนื่องจากระยะที่มันยืดไกลออกไป เช่นเดียวกับการมองรางรถไฟไปในระยะไกลๆ ภาพด้านบนเป็นภาพปล่องภูเขาไฟปิโก เวียโฆ ตั้งอยู่ที่เกาะเตเนรีเฟ หมู่เกาะคานารี ประเทศสเปน



เมฆม้วนเหนืออุรุกวัย




คำอธิบาย : นี่คือเมฆชนิดไหนกัน? แท่งเมฆม้วนยาวหาดูยากเหล่านี้ก่อตัวขึ้นที่แนวปะทะอากาศเย็น การเคลื่อนที่ต่ำลงของแนวปะทะทำให้อากาศร้อนชื้นลอยขึ้นข้างบนและเย็นลงที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดระเหยของน้ำ สุดท้ายก็กลายเป็นเมฆ เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นยาวออกไปตามแนวปะทะอย่างเท่าๆกันก็อาจก่อตัวกลายเป็นเมฆม้วน แกนกลางของเมฆม้วนจะมีอากาศไหลเวียนอยู่ และเชื่อกันว่าเมฆม้วนนี้ไม่สามารถกลายสภาพเป็นพายุหมุนได้ เมฆม้วนคือเมฆกันชนหรือเมฆอาร์คัสซึ่งเป็นเมฆที่แยกตัวออกมาจากเมฆคิวมูโลนิมบัส ปรากฏการณ์เมฆม้วนด้านบนนี้เกิดขึ้นเหนือชายหาดลาสโอลาสในเมืองมัลโดนาโด ประเทศอุรุกวัย เมื่อเดือนมกราคม ปี 2009



การระเบิดของภูเขาไฟอลาสก้า




คำอธิบาย : เกิดอะไรขึ้นกับภูเขาไฟลูกนี้? มันระเบิดยังไงล่ะ! บุคคลแรกที่สังเกตเห็นว่าภูเขาไฟคลีฟแลนด์บนเกาะ Aleutian มีควันพวยพุ่งออกมาก็คือนักบินอวกาศ เจฟฟรีย์ วิลเลี่ยมส์ ซึ่งอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ ก่อนหน้าที่ภาพนี้จะถูกบันทึกไว้เพียง 2 ชั่วโมง ภูเขาไฟคลีฟแลนด์ก็ได้เกิดการปะทุเล็กน้อย ภูเขาไฟลูกนี้เป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่ยังคงปะทุอยู่บนหมู่เกาะ Aleutian และได้รับพลังงานจากหินแม็กม่าที่เคลื่อนตัวจากการเหลื่อมกันของพื้นแผ่นดินแปซิฟิกที่อยู่ใต้พื้นแผ่นดินอเมริกาเหนืออีกที แล้วเคลื่อนไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ



เมฆระฆังเหนือเซียร์ราเนวาดา




คำอธิบาย : เดือนมกราคม ขณะที่พระอาทิตย์กำลังตกที่ย่าน Albayzin เมืองกรานาดา ประเทศสเปน ก็ปรากฏก้อนเมฆขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายระฆังกำลังปกคลุมยอดเขา Veleta เมฆรูปหมวกนี้ก่อตัวขึ้นจากอากาศที่ถูกดันขึ้นไปโดยยอดเขา จากนั้นอากาศจะเย็นลงกลายเป็นความชื้น ในที่สุดโมเลกุลน้ำจะกลั่นตัวเป็นละอองน้ำในก้อนเมฆ เมฆระฆังนี้เป็นเหตุการณ์พิเศษเนื่องจากปกติอากาศจะเคลื่อนที่ในแนวนอนทำให้เมฆส่วนใหญ่มีลักษณะค่อนข้างแบนเรียบและเรียงกันตัวกันอยู่ด้านล่างๆ คลื่นแนวตั้งสามารถเพิ่มเมฆให้เป็นชั้นๆได้อย่างที่เห็นในภาพ และด้วยสีสันยามพระอาทิตย์ตกทำให้เมฆก้อนนี้ดูสวยงามวิเศษยิ่งขึ้น



พระอาทิตย์ทรงกลดบนฟากฟ้าสตอกโฮล์ม




คำอธิบาย : เกิดอะไรขึ้นกับพระอาทิตย์? บางครั้งพระอาทิตย์ก็ดูเหมือนกำลังถูกมองผ่านเลนส์ขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามภาพข้างบนเมีเลนส์นับล้านๆเลนส์หรือผลึกน้ำแข็งนั่นเอง ขณะที่น้ำเย็นจัดในชั้นบรรยากาศด้านบนการผลึกตัวเป็นน้ำแข็งรูปทรงหกเหลี่ยมเล็กๆและแบนก็อาจก่อตัวขึ้นได้ โดยมันจะใช้เวลานานในการตกถึงพื้นเนื่องจากความแบนและการขนานกับพื้น ผู้สังเกตการณ์อาจอยู่ที่ระดับความสูงเดียวกับผลึกน้ำแข็งเหล่านี้ ที่กำลังร่วงลงมาในช่วงพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก แล้วด้วยตำแหน่งที่เหมาะเจาะผลึกน้ำแข็งเหล่านี้ก็จะทำหน้าที่คล้ายกับเลนส์ขนาดจิ๋วหักเหแสงอาทิตย์เข้าสู่ดวงตาของเรา และเกิดปรากฏการณ์พาฮีเลียหรือการทรงกลดแบบซันด็อก ภาพข้างบนนี้ถูกบันทึกเมื่อปีที่แล้วในกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ตรงกลางภาพคือดวงอาทิตย์ขนาบข้างด้วยทรงกลดแบบซันด็อกทั้งซ้ายและขวา และยังมีการสะท้อนแสงออกจากชั้นบรรยากาศของผลึกน้ำแข็งอีกด้วย



เมฆฝนฟ้าคะนองล่าถอยยามพระอาทิตย์ตกดิน




คำอธิบาย : นี่คือเมฆชนิดไหน? นี่คือเมฆคิวมูโลนิมบัสหรือที่เรียกกันว่าเมฆฝนฟ้าคะนอง ซึ่งมีความแปลกตรงที่ความขรุขระและตะปุ่มตะป่ำบริเวณปลายของเมฆแมมมาทัสขณะที่มีฝนตกอยู่อีกด้านหนึ่ง ภาพนี้ถูกบันทึกเมื่อกลางเดือนมิถุนายนทางตอนใต้ของรัฐอัลเบอร์ต้า ประเทศแคนาดา เมฆก้อนนี้กำลังเคลื่อนไปทางทิศตะวันออกและพระอาทิตย์ก็กำลังตกดินทำให้เมฆกลายเป็นสีส้มอมชมพูสวยตื่นตาตื่นใจ ส่วนพื้นหลังปกคลุมด้วยท้องฟ้าสีเข้ม ไกลออกไปทางขวามือจะเห็นดวงจันทร์



เมฆพายุมหึมาเหนือมอนทาน่า




คำอธิบาย : นี่คือยานอวกาศหรือเมฆกันแน่? แม้จะดูเหมือนยานแม่ของมนุษย์ต่างดาว แต่จริงๆแล้วนี่คือเมฆพายุที่เรียกกันว่าซูเปอร์เซลล์ พายุขนาดมหึมาจะหมุนขึ้นข้างบนซึ่งกินพื้นที่หลายกิโลเมตร ทำให้เกิดฝนฟ้าคะนองและลมพัดแรงรวมถึงทอร์นาโด เมฆที่ดูแปลกตาช่วยเสริมบรรยากาศโดยรอบของซุปเปอร์เซลล์ ในขณะที่ลมฝุ่นกับฝนก็ครอบคลุมทุกสิ่งที่อยู่ตรงกลาง ภาพเมฆซูเปอร์เซลล์ด้านบนถูกบันทึกเมื่อเดือนกรกฎาคมทางตะวันตกของเมืองกลาสโกว์ รัฐมอนทาน่า สหรัฐอเมริกา สร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อยและหมุนอยู่หลายชั่วโมงก่อนที่จะไปที่อื่น



ภูเขาไฟกับแสงออโรรา ณ ไอซ์แลนด์




คำอธิบาย : บางครั้งสวรรค์ก็เกิดขึ้นบนดินได้ ณ ประเทศไอซ์แลนด์ ปี 1991 ภูเขาไฟเฮกลาได้ปะทุขึ้นพร้อมกับมีแสงออโรร่าสีเขียวปรากฏอยู่ด้านบน เฮกลาเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกที่ได้เกิดการระเบิดอย่างน้อย 20 ครั้งในช่วงสหัสวรรษที่ผ่านมา บางครั้งก็ทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง การระเบิดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อ 12 ปีก่อนแต่สร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แสงออโรร่าสีเขียวปรากฏขึ้นเหนือลาวาที่พวยพุ่งไกลออกไปราว 100 กิโลเมตร


ที่มา : http://issue247.com/around247/extreme-weather-and-volcanoes/

แก้ไขล่าสุดโดย noojidsai เมื่อ Tue Jan 13, 2015 22:03, ทั้งหมด 19 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
I love Jesus and He loves me. He's the reason why I am Catholic.

ออฟไลน์
เลขาสโมสร
Status: I'm crazy about Jesus.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 7356
ที่อยู่: ZION
โพสเมื่อ: Mon Sep 22, 2014 19:03
[RE: ภาพโบสถ์สวยๆ กับบรรยากาศดีๆ]
การกอดของสัตว์ใหญ่ ที่จะทำให้หัวใจเล็กๆของคุณพองโต

การกอดก็ถือว่าเป็นวิธีการแสดงความรักอย่างหนึ่งของมนุษย์ แต่รู้มั้ยว่าเหล่าสัตว์ก็อยากที่จะแสดงความรักด้วยวิธีการกอดกับมนุษย์ด้วยเหมือนกันนะ ขอบอกเลยว่ารู้สึกอบอุ่นไม่แพ้กับคนเลยล่ะ ตามมาดูกัน



1. กอดกับลูกช้างตัวน้อย




2. เค้าดีใจมากเลยนะที่ตะเองมาหาเค้าอ่ะ



3. กอดกันหน่อยนะ



4. ถึงจะเป็นเต่าก็ทำได้เหมือนกัน



5. ขอจุ๊บที



6. ป๋มรักแม่นะฮับ



7. เด็กกับงูก็เป็นเพื่อนกันได้



8. ครอบครัวฮิปโปสุดน่ารัก



9. คิดถึงเจ้านายจุง ขอกอดหน่อย



10. กอดกันๆ



11. ม้าเพศเมียผู้เป็นแม่กอดลูกม้าตัวน้อย



12. ยีราฟขอแสดงการกอดบ้าง



13. เข้ามาใกล้ๆ อีกนิดซิจ๊ะ



14. แมวน้ำเข้าชาร์จ!!



15. ลิงอุรังอุตัง Koko กับ Robin Williams



16. อ้อมกอดของนกกระจอกเทศ



17. เสือดาวดำตัวนี้ขอกอดบ้าง (เอาซะตกใจเลย)



18. มิตรภาพต่างสายพันธ์ุ



19. ขอแจมด้วยคนซิ



20. แพนด้ากอดเจ้าหน้าที่ที่เลี้ยงดูมันมาตั้งแต่เด็ก



21. ไม่มีแขน ก็ขอใช้คอแทนละกันนะ



22. หลังจากที่พลัดพรากจากกันมานาน



23. อ้อมกอดระหว่างคนกับลามะ



24. พะยูนหางกลมขอกอดหน่อยนะ



25. ถึงแม้จะดูน่ากลัวแต่จิตใจก็อ่อนโยนเหมือนกัน



การแสดงความรักด้วยการกอดเป็นสิ่งที่อธิบายเป็นคำพูดออกมาไม่ได้เลยจริงๆ แม้แต่ระหว่างคนกับสัตว์ก็ยังเข้าใจซึ่งกันและกัน รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ


ที่มา : distractify และ catdumb

แก้ไขล่าสุดโดย noojidsai เมื่อ Mon Oct 20, 2014 15:44, ทั้งหมด 9 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
I love Jesus and He loves me. He's the reason why I am Catholic.

ออฟไลน์
เลขาสโมสร
Status: I'm crazy about Jesus.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 7356
ที่อยู่: ZION
โพสเมื่อ: Tue Sep 23, 2014 20:54
[RE: ภาพโบสถ์สวยๆ กับบรรยากาศดีๆ]
จอดจักรยานผิดที่ในญี่ปุ่น อาจทำคุณเงิบได้เลย!



ในซีรีส์หรืออนิเมะเรามักจะเห็นภาพของการสัญจรไปมาด้วยจักรยานกันใช่ไหมละคะ ซึ่งการเดินทางด้วยจักรยานในญี่ปุ่นก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อย เพราะเป็นตัวช่วยประหยัดเวลาในการเดินไม่น้อย และหากอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินไม่มีรถซักคันแถมไม่ได้อยู่ใกล้สถานีรถไฟแล้วละก็ เราจะสามารถปั่นจักรยานคู่ใจสุดชีวิตซิ่งไปโลด…



มีชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นได้หยิบเอาเรื่องราวแปลกๆที่เขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาแบ่งปันให้กับทุกคนโดยเขาเล่าว่า

“ในขณะที่ผมขับจักรยานไปเรียน ผมก็ได้พบกับรถบรรทุกคันใหญ่สองคัน ได้จอดไว้ข้างถนน โดยคันหนึ่งได้บรรทุกรถจักรยานไว้แล้วประมาณ 8 คัน”

“ผมก็เลยจอดจักรยานผมไว้ข้างๆรถบรรทุกคันนั้น เพื่อจะอ่านป้ายเหลืองๆที่เขียนแปะไว้ข้างๆรถ ซึ่งมันเขียนไว้ว่า โฮจิ จิเท็นฉะ เท็คเคียว์ ซะเกียวจู (放置自転車撤去作業中 : Hōchi jitensha tekkyo sagyō-chū) ซึ่งแปลว่า ปฏิบัติการยึดจักรยานที่จอดไว้อย่างผิดกฏหมาย”





เจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติหน้าที่

ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตนั้นเท่าที่รู้ พวกเขาจะไม่ยึดหรือย้ายจักรยานของพวกเราในทันที แต่หากแฟนๆ anngle.org/th เกิดไปจอดจักรยานไว้ในที่ห้ามจอด วันดีคืนดีจะมีติดสติ๊กเกอร์เตือนเพื่อแจ้งวันที่จะยึดหรือย้ายจักรยานของเราและหากถ้าเรายังจอดอยู่ละก็ จะโดนยกไปตามระเบียบจ๊ะ






อโห้ วันนึงจะได้กี่คันค่ะเนี่ย!?

ดังนั้นหากท่านไหนใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นหรือมีโอกาสได้ไปจอดจักรยานในประเทศญี่ปุ่นแล้วไปเผลอจอดผิดที่จน ‘โดนสติ๊กเกอร์คำเตือน’ ขอแนะนำว่าให้ย้ายจักรยานไปจอดให้ถูกต้องโดยเร็วค่ะ และอย่าลืมแกะสติ๊กเกอร์ออกด้วยนะคะ เพราะไม่อย่างนั้นถ้าเราไปจอดที่ใหม่แล้วยังผิดที่ เราจะโดนยึดรถไปเลยค่ะ ดังนั้นถ้าแฟนๆ ได้เจอสติ๊กเกอร์แบบนี้ก็อย่าเพิ่งดีใจว่ามีใครใจดีมาติดให้นะคะ




ในสติ๊กเกอร์เตือนใบนั้นจะมีบอกข้อมูลว่า หากจักรยานของเราโดนยึดไป เราจะติดต่อใครได้เพื่อดำเนินการขอจักรยานคืน และจะต้องมีค่าปรับอยู่ที่ราว 1,000-6,000 เยน ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ โดยยิ่งหากคุณอยู่ในพื้นที่หนาแน่นมากเท่าไหร่ ก็จะโดนค่าปรับหนักยิ่งขึ้นเท่านั้นค่ะ

เห็นอย่างนี้แล้วระมัดระวังอย่าปล่อยให้เงินตั้ง 6,000 เยน ตกจากกระเป๋านะคะ ^0^



ที่มา : http://anngle.org/th/j-culture/culture/hjtsc.html
แก้ไขล่าสุดโดย noojidsai เมื่อ Mon Dec 08, 2014 17:05, ทั้งหมด 23 ครั้ง
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
I love Jesus and He loves me. He's the reason why I am Catholic.

ออฟไลน์
เลขาสโมสร
Status: I'm crazy about Jesus.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 7356
ที่อยู่: ZION
โพสเมื่อ: Wed Sep 24, 2014 12:18
[RE: ภาพโบสถ์สวยๆ กับบรรยากาศดีๆ]
ภาพสัตว์ฝูงใหญ่ที่เตือนใจว่า โลกไม่ได้มีแค่มนุษย์อยู่ตามลำพัง

ทุกวันนี้ ‘มนุษย์’ เราเปรียบตัวเองกับเป็นเหมือนผู้ปกครองโลกจนบางครั้งก็มองข้ามสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นไปอย่างสิ้นเชิง

แต่ขอบอกว่านี่คือ 25 ภาพสัตว์ฝูงใหญ่ที่จะคอยเตือนใจว่า ‘เจ้าพวกมนุษย์ โปรดรู้ไว้ว่าพวกเอ็งไม่ได้อยู่บนโลกนี้ตามลำพัง’ ส่วนจะอลังการแค่ไหน ตามมาชมกันเลย



1. Devil Rays (Baja California Sur, Mexico)



2. Monarch Butterflies (Cerro Pelon, Mexico)



3. Wildebeest (Serengeti, Tanzania)



4. Elephants (Chad)



5. Snow Geese (Merced, California)



6. Fish (Cabo Pulmo, Mexico)



7. King Penguins (St. Andrews Bay, South Georgia Island)



8. Elephant Seals (and more penguins, St. Andrews Bay, South Georgia Island)



9. Goats (Greece)



10. Locusts (Madagascar)



11. Walruses (Alaska, USA)



12. Puffins (Hornoya Island, Norway)



13. Bats (Kasanka, Zambia)



14. Jellyfish (Salps, New Zealand)



15. Flamingoes (Kenya, Africa)



16. Sheep (New Zealand)



17. Turtles (Sichuan, China)



18. Red-Billed Quelea (Africa)



19. Honey Bees (Himalayas, Nepal)



20. Arctic Caribou (Utukok Uplands, Alaska)



21. Hammerhead Sharks (Cocos Island, Costa Rica)



22. Red Crab (Christmas Island)



23. Seagulls (Alaska)



24. Dolphins (San Diego, CA)



25. African Cape Buffalo (Botswana)



26. Velella Velellas (Northern California, USA)



27. Sandpipers (New Brunswick, Canada)



28. Hippopotamuses (Luangwa National Park, Zambia)



29. Zebras (Masai Mara, Africa)



30. Beluga Whales (Canada)



31. Ducks (China)



32. Cattle (South Sudan, Africa)



33. Starfish (Devon, England)



34. Camels (Liwa Desert, Abu Dhabi)



35. Sea Lions (Palomino Island, San Juan, Puerto Rico)



ที่มา : http://news.distractify.com/alex-scola/animal-house/
แก้ไขล่าสุดโดย noojidsai เมื่อ Fri Nov 21, 2014 20:32, ทั้งหมด 4 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
I love Jesus and He loves me. He's the reason why I am Catholic.

ออฟไลน์
เลขาสโมสร
Status: I'm crazy about Jesus.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 7356
ที่อยู่: ZION
โพสเมื่อ: Sun Sep 28, 2014 18:19
[RE: ภาพโบสถ์สวยๆ กับบรรยากาศดีๆ]
งานอาร์ตจากจักรเย็บผ้า

ศิลปินใช้ "จักรเย็บผ้า" สร้างธรรมชาติผืนใหญ่สุดอลังการขึ้นมา

ศิลปะการเย็บปักถักร้อย ย่อมผสมผสานเข้ากับลวดลายธรรมชาติได้อย่างดี แต่ศิลปินคนนี้กลับทำอะไรที่แตกต่างออกไป เขาไม่ได้ทำให้มันเป็นรูปภาพ แต่เขาทำยิ่งกว่านั้น แถมยังใช้จักรเย็บผ้าแบบบ้านๆด้วย

เธอคนนี้มีชื่อว่า Meredith Woolnough ศิลปินชาวออสเตรเลีย ได้สร้างผลงานด้วยจักรเย็บผ้าธรรมดาๆนี่แหละ แต่งานที่ออกมันไม่ธรรมดาเลย เราไปดูกันดีกว่าว่าจะเจ๋งแค่ไหน











































































ที่มา : boredpanda.com
แก้ไขล่าสุดโดย noojidsai เมื่อ Tue Oct 21, 2014 14:32, ทั้งหมด 2 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
I love Jesus and He loves me. He's the reason why I am Catholic.

ออฟไลน์
เลขาสโมสร
Status: I'm crazy about Jesus.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 7356
ที่อยู่: ZION
โพสเมื่อ: Mon Sep 29, 2014 00:59
[RE: ภาพโบสถ์สวยๆ กับบรรยากาศดีๆ]
test
แก้ไขล่าสุดโดย noojidsai เมื่อ Sat Jan 17, 2015 01:15, ทั้งหมด 8 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
I love Jesus and He loves me. He's the reason why I am Catholic.

ออฟไลน์
เลขาสโมสร
Status: I'm crazy about Jesus.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 7356
ที่อยู่: ZION
โพสเมื่อ: Sun Oct 05, 2014 17:52
[RE: ภาพโบสถ์สวยๆ กับบรรยากาศดีๆ]
ภาพ "ภูเขา" อันงดงามจากรอบโลก

“ภูเขา” เป็นสิ่งที่สวยงามและทรงพลังมากที่สุดในบรรดาสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาแล้วล่ะ มันดูแข็งแกร่ง สุขุม บางทีก็อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งภูเขาแต่ละที่ ก็ยังมีนิสัยที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศนั้นๆ ซึ่งบางทีก็ไม่จำเป็นต้องเป็นภูเขาที่สูงที่สุด ก็สามารถทำให้ผู้ที่มองมันรู้สึกดีได้

การถ่ายภาพภูเขานั้นก็เป็นสิ่งที่ยากเช่นกัน เพราะเราต้องสื่อให้เห็นถึงบรรยากาศรอบนอก และจุดเด่นของภูเขานั้นๆด้วย



#1 Kitzbüheler Alps, Austria



#2 Horses On Hofn Beach



#3 Switzerland Alps



#4 Top Of France



#5 Fatra - Slovakia



#6 Brocken Spectre



#7 Everest



#8 Czerwone Wierchy, Poland



#9 Sivý Vrch, Slovakia



#10 Seceda Peak By Fatih M. Sahbaz



#11 Fitzroy And Cerro Torre From Condors Nests



#12 Injured Sheep



#13 Soldiers



#14 Bivouac At Bouquetins



#15 Civetta, Italy



#16 Alberta, Canada



#17 Fiordland National Park, New Zealand



#18 Gergeti Trinity Church Under Mount Kazbegi (Georgia)



#19 Mirrormere



#20 North Norway



#21 Oeschinensee, Switzerland



#22 Pasterze Glacier



#23 En Route To Half Dome John Muir Trail, Yosemite, California



#24 Pale Di San Martino, The Dolomites, Northern Italy



#25 Wang Church



ที่มา : boredpanda.com และ catdumb.com
แก้ไขล่าสุดโดย noojidsai เมื่อ Wed Dec 17, 2014 20:55, ทั้งหมด 10 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
I love Jesus and He loves me. He's the reason why I am Catholic.

ออฟไลน์
เลขาสโมสร
Status: I'm crazy about Jesus.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 7356
ที่อยู่: ZION
โพสเมื่อ: Wed Oct 08, 2014 15:54
[RE: ภาพโบสถ์สวยๆ กับบรรยากาศดีๆ]
test
แก้ไขล่าสุดโดย noojidsai เมื่อ Fri Jan 09, 2015 17:14, ทั้งหมด 9 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
I love Jesus and He loves me. He's the reason why I am Catholic.

ไปหน้าที่ 1, 2
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel