Volvo XC 40 BEV หลังใช้ครบ 1 เดือน ไปหัวหิน 1 ทริป
ใช้ชีวิตเสียบปลั้กผ่านพ้นเดือนแรกแล้วครับ ได้มีขับเดินทางต่างจังหวัด 1 ทริป หัวหิน-ชะอำ ช่วงหยุดยาววันที่ 4-6 พ.ค. ไปพักที่ The Palayana โรงแรมไม่มีจุดชาร์จ EV ดังนั้นทริปนี้ต้องแวะหาจุดชาร์จอย่างน้อย 1 ครั้ง
ผมแพลนไว้ที่จุดระยะ 160 - 200 km ขาไปรอบเดียวเลย เพราะคำนวนแล้วพอขับกลับถึงบ้านไม่ต้องแวะชาร์จอีกรอบ ขากลับคนน่าจะแวะชาร์จกันเยอะคิวจะแน่นกว่าจะได้ไม่ต้องแย่งกัน
ได้แวะชาร์จที่ PEA Volta บางจากปั้มใหญ่ก่อนเลี้ยวซ้ายไปชะอำ ระยะทางจากบ้านมาถึงจุดนี้ประมาณ 185 km ในแพลนมองเผื่อไว้ 2-3 จุด มีปั้ม ปตท. ที่ระยะ 165 km แต่ยุ่งยากเรื่องระบบรอยต่อของชั่วโมงที่จะตัดทุกนาทีที่ 55 เลยแพลนหลักไว้เป็นที่บางจากดีกว่า กะว่าถ้าหัวชาร์จไม่ว่างค่อยไปที่จุดสำรองสุดท้ายปั้ม Shell ตรงทิวทะเล มีตัวแรงชาร์จไว 150 kWh ค่าไฟจะแพงกว่าแต่ชัวร์ว่ายังไงก็ได้ชาร์จ
สตาร์ทจากบ้าน 9 โมง แบต 100% ไปถึงบางจากชะอำตามแผนใช้ไป 39% เหลือแบต 61% ขับมาประมาณเกือบ 3 ชั่วโมงเป็นระยะที่เหมาะจะแวะพักทั้งยัยหนูน้อยที่นั่งคาร์ซีทยาวนานสุดในชีวิตแล้ว ผู้ใหญ่ก็ต้องเข้าห้องน้ำ หาทานมื้อเที่ยงพอดี
พอถึงก็ขับไปลุ้นว่าหัวชาร์จจะว่างมั้ยเพราะถือเป็นช่วงเทศกาลหยุดยาว 4 วัน ว่าง 1 หัวพอดี ได้ชาร์จเลยไม่ต้องรอคิว ปั้มนี้มีแมคโดนัลเลยนัดกับพ่อตาแม่ยายอีกคันมาทานด้วยกัน กว่าจะทานกันเสร็จรวมเข้าห้องน้ำ 39 นาที ผมก็เดินไปเอารถ สรุปคือ ชาร์จได้ 25.802 kWh (31%) แบตขึ้นไปที่ 92% เป็นวัน off peak ราคาหน่วยละ 4.5 บาท เท่ากับจ่ายค่าชาร์จไปทั้งหมด 116.11 บาท
ระหว่างทริปก็ขับไปร้านอาหารนู่นนี่ตามปกติ เช่น โกหมาก ปลาทู FN outlet ถึงวันกลับยิงยาวจากแบตที่เหลือโดยไม่ต้องแวะชาร์จถึงบ้านเหลือแบต 20% ระยะทางวิ่งรวมทั้งทริป 487.7 km เท่ากับใช้ไฟไป 80% + 31% รวมเป็น 111% หรือ เฉลี่ยขับได้ 4.39 km ต่อเปอร์เซนต์ ส่วนอัตราบริโภคที่หน้าจอรถคำนวนได้ 16.5 kWh/100km (เข้าใจว่ากินไฟมากกว่า Teala นิดหน่อยเพราะรถแบกน้ำหนักค่อนข้างมากถึง 2 ตัน)
ในทริปนี้ผมขับตามปกติที่ขับอยู่แล้วไม่ได้ขับประคองเพื่อให้ประหยัดไฟเป็นพิเศษอะไร ส่วนตัวหลังอายุ 30 เป็นต้นมาผมกลายเป็นคนขับรถไม่เร็วและขับเรื่อยๆ มาตลอดเพราะรู้สึกได้ว่าปฏิกิริยาตอบสนอง และ ประสาทสัมผัสไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว
ส่วนใหญ่จะใช้ Pilot Assist ความเร็วเฉลี่ย 80-110 km/h เจอจุดรถติดยาวทั้งไปและกลับหลายจุดทั้งพระราม 2 (ดีที่กลับก่อนแท่งปูนตกลงมา 1 วัน) กับแถวท่ายางที่ก่อสร้างสะพาน กลายเป็น Pilot Assist แบบ stop/go ของ Volvo นี่ถือว่าเป็นฮีโร่เลยใช้ได้ไหลลื่นใช้งานง่ายมาก ลดความเหนื่อยล้าจากขับไปหยุดไปได้เยอะ
ส่วนภาพรวมที่ใช้งานปกติในชีวิตประจำวัน 1 เดือน รับรถมาวันที่ 9 เม.ย. ภรรยาเป็นคนใช้หลักไปกลับทำงานวันละ 40 km เสาร์อาทิตย์ไปด้วยกันทั้งครอบครัวรวม 1 เดือนขับไป 2507 km ชาร์จไฟบ้านไป 10 ครั้งรวม 120 kWh ใช้มิเตอร์ TOU ชาร์จเฉพาะช่วง off peak ราคารวม FT + VAT แล้วหน่วยละประมาณไม่เกิน 4 บาท เท่ากับค่าชาร์จไฟที่บ้านประมาณ 480 บาท รวมกับที่ชาร์จ DC ตอนไปหัวหินอีก 116 บาทรวมเป็น 596 บาท จากเดิมใช้ถ้าขับ Camry คันเก่าค่าน้ำมันทั้งเดือนประมาณ 5 พัน และ ไปหัวหินน้ำมันอีกประมาณถังละ 1500 บาท รวมอย่างน้อย 6500 บาท ก็ถือว่าลดค่าเชื้อเพลิงลงไปเยอะพอสมควร
ผมชาร์จที่บ้านน้อยเพราะไม่ต้องชาร์จทุกวันส่วนใหญ่ชาร์จแค่อาทิตย์ละครั้ง ถ้าวีคเอนด์ไหนต้องไปซุปเปอร์ที่เอมโพเรียม (ซึ่งผมต้องไปซื้อของแทบทุกอาทิตย์อยู่แล้ว) ก็จะได้ชาร์จฟรีเพราะคันนี้ผมซื้อผ่านผู้บริหารวอลโว่ประเทศไทยแล้วเค้าบอกไปชาร์จที่จุดของออฟฟิศเค้าได้เลย (แต่เป็น AC 11 kWh ไม่ใช่ DC) ซื้อของ+ทานข้าว รอบละ 3-4 ชั่วโมงเสร็จพอดีก็ได้แบตเกือบเต็ม เดือนที่ผ่านมาไปชาร์จมา 3 ครั้งประหยัดค่าไฟไปเยอะเลย ค่าไฟรวมของที่บ้านเพิ่มไม่มากจากก่อนรับรถเพิ่มมาแค่ 69 หน่วยถ้าเทียบจากเดือนก่อนหน้า แล้วพอเปลี่ยนเป็นมิเตอร์ TOU ทำให้เพิ่มเป็นเงินแค่ 80.25 บาทเท่านั้น
โดยรวมเท่าที่ใช้มาก็แฮปปี้ดีสำหรับรถไฟฟ้าคันแรกของที่บ้าน ภรรยาใช้สะดวกไม่ต้องแวะปั้มอีกต่อไป ชาร์จแค่ที่บ้าน กับ ที่ช่องชาร์จของบริษัทวอลโว่ ช่องจอดใหญ่ดีด้วยเปิดประตูได้กว้างไม่ติดรถด้านข้างอุ้มลูกลงจากคาร์ซีทง่ายกว่าไปห้างอื่น
ได้ไปชาร์จ DC แค่ 1 ครั้งตอนไปหัวหิน เท่าที่ใช้มาที่ต้องแวะชาร์จข้างนอกก็ไม่รู้สึกว่าเสียเวลาเพิ่มอะไร เพราะเป็นจุดที่เราใช้ชีวิตประจำวัน หรือเป็นจุดที่ต้องแวะอยู่แล้ว กลายเป็นลดเวลาเข้าปั้มอาทิตย์ละครั้ง 10-15 นาทีเป็นแทบไม่ต้องเข้าไปเลย
อาจสงสัยกันว่าราคานี้ทำไมผมไม่ไปเอา Tesla Model Y ราคาถูกกว่า อันที่จริงตอนแรกก็อยู่ในตัวเลือกที่ผมเล็งไว้เหมือนกันครับ ได้พาภรรยาไปดู ลองนั่งคันจริงมาแล้วนางไม่ชอบอะ มี 3 - 4 จุดหลัก ที่เห็นตรงกันที่เลือก xc40 มากกว่า Model Y หลังจากไปสัมผัสคันจริง
เรื่องแรกบอกตามตรงว่าพอไปลองนั่งมาฟิลลิ่งวัสดุภายในที่สัมผัสถ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยเทียบกันแล้วไม่ชอบของ Tesla เลย ถึงแม้จะมีความกว้างกว่าก็เถอะวัสดุรักษ์โลกก็จริงแต่ผมรู้สึกว่าคือมันเหมือนลดต้นทุนมากกว่าโดยเฉพาะเบาะยังไงก็ชอบฟีลหนังแท้มากกว่า
เส้นสายลายเส้นดีไซน์ภายนอก Tesla เวลาเจอบนถนน โดยส่วนตัวบอกไม่ถูกแฮะ คือมันสวยนะแต่ให้ความรู้สึกคล้ายมาสด้าหรืออารมณ์รถญี่ปุ่นไปนิดนึง
ฟิลลิ่งจากการทดลองขับ xc40 ให้ความรู้สึกแน่น และ เฟิร์มกว่านิดหน่อย (อาจจะด้วยตัวรถมีน้ำหนักมากกว่า)
ราคาของ Model Y Long Range เหมือนจะถูกกว่าแต่พอผมจะกดซื้อจริงมันดันมีงอกค่าสีค่าล้อแม็ก เพิ่มซอฟต์แวร์ EAP มาอีกสุดท้ายคือ ราคาขึ้นไป 2.511 ล้าน แถมประกันภัยมาให้ 1 ปี ส่วน xc40 2.59 ล้านก็จริง แต่แถมประกันภัยมาให้ 3 ปี (ซึ่งรถกลุ่มนี้ค่าประกันประมาณปีละ 4-6 หมื่นบาท) Wall Charge ของ Tesla ต้องจ่ายเงินซื้อเพิ่มส่วนวอลโว่มีแถมมาให้เลย เท่ากับถ้าต้องซื้อจริงต้องจ่ายเงินรวมแทบไม่ต่างกันเลย
ส่วนจุดน่ารำคาญของเจ้า xc40 ก็มีบ้างนิดหน่อยเช่น ไอ้เบรคออโต้เวลาถอยทำไมต้องทำให้ต้องกดปิดทุกครั้งฟะ น่าจะแก้ซอฟต์แวร์ให้ปิดแบบครั้งเดียวไปเลยไม่ต้องเปิดขึ้นมาใหม่จนกว่าจะกดเปิดเอง อีกเรื่องคือเทียบกันแล้ว xc40 อัตราบริโภคไฟค่อนข้างสิ้นเปลืองกว่าTesla นิดหน่อย แต่ยังรับได้ตรงที่ผมไปชาร์จฟรีบ่อยเลยไม่ซีเรียสมาก อ่อ แล้วเสียเปรียบ Tesla Supercharge ตรงจุดชาร์จของแบรนด์วอลโว่เองมีน้อยไป แต่ยังดีที่อยู่ในโซนที่เหมาะกับผมพอดี เพราะส่วนตัวไม่ได้ค่อยไปพวก CTW หรือ พระราม 3 อยู่แล้ว (แต่ถ้ามีมาเพิ่มที่เซ็นทัลอีสวิลนี่จะแอบเสียดายนิดหน่อย) ถ้านับกับคนส่วนใหญ่แล้วจุดของ Tesla น่าจะเหมาะกับตลาดแมสมากกว่า
โดยสรุปก็ประมาณนี้ หลังจากเจ้า xc40 ได้มาอยู่กับครอบครัวรับหน้าที่ดูแลภรรยา และ ลูกของผมมาครบ 1 เดือน เลยเอาเท่าที่ได้ใช้มาแบ่งปันเล่าให้เพื่อนที่สนใจรุ่นนี้อยู่ได้ทราบข้อมูลจากการใช้งานจริงครับ ส่วนคันต่อไปถ้าอีกสัก 4-5 ปี ถึงตอนนั้นถึงช่วงปลดระวางเจ้า Camry ที่ตอนนี้อายุ 16 ปีแล้ว คิดว่าก็คงออก BEV อีกค่อนข้างแน่เป็นไฟฟ้าล้วน 2 คันไปเลย รอบนั้นอาจจะเป็น Tesla ญี่ปุ่นหรือจีน ค่อยว่ากันอีกที