[CFC] การเปลี่ยนแปลง คือ นิรันดร์
ก่อนอื่นเลย ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ที่ทันดูเชลซียุคลุ่มๆดอนๆ เป็นทีมกลางตารางตั้งแต่ปี 1993 ซึ่งตอนนั้น เกล็น ฮอดเดิ้ล ยังเป็น ผู้จัดการทีมอยู่ มีเดนนิส ไวส์ มิดฟิลด์คนโตตัวเล็ก ที่พร้อมชนกับทุกคน เป็นกัปตันทีม รู้จักสโมสรครั้งแรก ผ่านรายการเจาะสนาม ของ พี่ ย.โย่ง ที่เอาไฮไลท์การยิงประตูมาให้ดูทุกบ่ายวันเสาร์ทางช่อง 7
เชลซี เป็นแค่ทีมลุ่มๆดอนๆ กลางตาราง ชนะ เสมอ แพ้ วนไป ประธานสโมสรตอนนั้นอย่าง เคน เบตส์ โดนแฟนบอลยี้กันหมด เพราะความขี้งก ตรงกันข้ามกับหุ้นส่วนสโมสรอีกคนที่รักสโมสรจริงๆ อย่าง แมทธิว ฮาร์ดิ้ง ซึ่งเกิดอุบัติเหตุ ฮ. ตก จนเป็นที่มาของการให้เกียรตืตั้งชื่อ แมทธิว ฮาร์ดิ้ง แสตนด์ ในสนาม
รุด กุลลิท คือ จุดเปลี่ยนแรกที่ทำให้เชลซีกลายเป็นทีมรวมดาวนานานาชาติ ในยุคนั้น ทำให้สตาร์ดังๆ หลายคน ย้ายมาร่วมงานด้วย อย่าง วิอัลลี่ เลอเบิฟ โปเยต์ ดิมัตเตโอ เดอไซญี่ แม้กระทั่ง ผจก. ทีมชาติฝรั่งเศสคนปัจจุบัน อย่าง เดส์ชองส์ ก็ยังเคยย้ายมาเล่นกับเรามาแล้ว
ก่อนที่เชลซี จะถูกเปลี่ยนผ่านสู่มือของ โรมันในที่สุดเมื่อปี 2003 ซึ่งก็เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของสโมสรไปอย่างสิ้นเชิง จากทีมดาดๆ สู่ทีมระดับท็อปของยุโรป และเป็นทีมอันดับหนึ่งของโลกจากการคว้าแชมป์สโมสรโลกในปีล่าสุด ซึ่งนี่น่าจะเป็นจุดสูงสุดแล้วของสโมสร
การเปลี่ยนแปลง คือ นิรันดร์ วลีอมตะที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะเรื่องใด มันคือ สัจธรรมของโลก ไม่เว้นแต่โลกของฟุตบอล
การเข้ามาของ “กลุ่มทุน” ที่จะเข้ามาเทคโอเวอร์ พูดหยาบๆ ก็คือ หลายบุคคลที่จะร่วมหุ้นกัน จ่ายเงินในการลงทุนอะไรสักอย่าง แน่นอนที่สุดว่า “ผลตอบแทน และกำไร” จากการลงทุน ย่อมเป็นประเด็นหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ต้องเป็นจุดประสงค์ของการลงทุนอย่างหนึ่งแน่นอน ไม่มากก็น้อย
ดังนั้น สโมสร คงไม่สามารถไปกู้เงินมาใช้จ่ายในเรื่องต่างๆ โดยเจ้าของเงินไม่หวังผลตอบแทน คงเป็นไปไม่ได้แล้ว มันคือธุรกิจอย่างหนึ่ง
ดังนั้น ในมุมมองส่วนตัวของผม จุดสูงสุดของสโมสร น่าจะกำลังผ่านไปแล้ว
อยู่ที่ว่า ขาลงของสโมสรจะลงลึก มากน้อยแค่ไหน แต่โอกาสที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องแบบในอดีต น่าจะเริ่มยากแล้ว ทั้งเนื่องจากการพัฒนาของทีมสโมสรอื่นๆ และทั้งจากการต้องมีการใช้เงินที่สมเหตุสมผลมากขึ้น ของสโมสรเอง
“ตั้งแต่บรรทัดนี้ ข้ามได้ครับ เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่มีเหตุผลใดๆรองรับทั้งสิ้น”
ไม่รวมถึง ความคิดเห็นส่วนตัว ที่ผมไม่ค่อยชอบบุคลิก (หรือจะเรียกว่าโหวงเฮ้งก็ได้) ของว่าที่เจ้าของใหม่ทั้งสองคนเลย
บุคลิกของทั้งสองคน เหมือนนักธุรกิจที่ค่อนข้างเขี้ยวลากดิน เอามากๆ
มันทำให้ผมย้อนนึกไปถึง เคน เบตส์ เจ้าของเดิมก่อนยุคสมัยเสี่ยหมี อย่างไรอย่างนั้นทีเดียวเชียว
มันช่างแตกต่างกับ บุคลิกของเสี่ยหมีอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งผมก็ได้แต่ภาวนาว่า ผมอาจจะมองคนผิดก็ได้ ทั้งสองคนอาจจะมาลงทุนเพื่อสโมสรจริงๆเพื่อสืบทอดเจตนารมย์ของเสี่ยหมีจริงๆ ก็ได้
และสุดท้าย ไม่ว่าอย่างไร สโมสรจะตกต่ำแค่ไหน หรือกลับไปเป็นทีมกลางตารางเหมือนเดิม
เลือดของผมก็จะยังเป็นสีน้ำเงินอยู่เสมอ จนลมหายใจสุดท้าย
Keep the Blue Flag Flying High !