ในด้านของแฟชั่นการแต่งตัว เมื่อพูดถึงของที่สามารถอยู่ได้กับทุกยุคใส่ได้กับทุกสมัยหรือที่เค้าเรียกกันว่า “all-time favorite”
ในส่วนของเสื้อผ้าหลายคนอาจจะมีตัวเลือกในใจมากมายเช่น กางเกงยีนส์ Levi'sที่ใส่ได้กับทุกสมัย หรือจะเป็นเสื้อฮาวายที่กำลังมาแรงในตอนนี้ แต่ถ้าหากเป็นในด้านรองเท้าล่ะก็นอกเหนือจาก "Converse All-Star","Adidas Superstar","Nike Air jordan" หรือจะเป็น "Onitsuka tiger" หลายคนอาจจะนึกถึง "Nike Cortez" ที่สามารถหยิบมาใส่ได้อย่างไม่เคอะเขินแม้จะผ่านมาหลายยุคหลายสมัยแล้วก็ตาม
Nike Cortez รุ่นล่าสุดที่ได้ แร็ปเปอร์ผิวสี "Kendrick Lamar" มาร่วมงาน
"Nike Cortez" พึ่งมีอายุครบ 45 ปี เมื่อปี 2017 ที่ผ่านนี้เอง วันนี้เราจะมาดูประวัติของรองเท้าวิ่ง ที่เป็นที่มาของคำว่า "Run,Forrest!" ซึ่งเป็นประโยคดังจากหนังดีกรีรางวัลออสการ์ "Forrest Gump" กันครับ
VIDEO
"Run Forrest! Run"
1966: Onitsuka TG-24 designed by Bill Bowerman
cr sneajerfreaker
ก่อนที่ "Cortez" จะเฉิดฉายกันอยู่แบบในทุกวันนี้, ย้อนไปในช่วงยุค 1960
"เสือจะล่าได้ดี, เมื่อมันหิว" นี่คือคำพูดของ "Bill Bowerman" ชายชาวอเมริกันผู้เป็น field coach และ ผู้ร่วมก่อตั้ง Nike นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับบริษัทผลิตรองเท้าสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง "Onisuka Tiger" โดยเขาช่วยพัฒนารองเท้าวิ่งที่ใช้วัสดุรองพื้นไว้ด้านบนและเย็บติดกับโฟมที่เป็นพื้นรองเท้าไว้ด้านหลัง โดยเจ้าตัวโฟมนี้จะมีรูปร่างคล้ายกับก้างปลา (herringbone pattern outsole)
herringbone pattern outsole
Bill Bowerman ขณะกำลังทำรองเท้า
และในเดือนสิงหาคมปี 1966 เดียวกันนั้นเอง Bowerman ได้สั่งซื้อรองเท้าที่เขาสร้างขึ้นมาเองที่มีชื่อว่า “TG-24/Shoe designed by Bill Bowerman w/Mexico Line”จำนวน 300 คู่ เพื่อจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา แม้จะมีชื่อจะยาวและดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่มันได้กลายเป็นรองเท้าที่นักกีฬาในยุคนั้นมองหาและกลายเป็นรองเท้าวิ่งที่ขายดีที่สุดแห่งปี
1967: TG-24 “Mexico”
ก่อนที่ Nike จะก่อตั้งขึ้น Bowerman และหุ้นส่วนของเขา Phil Knight ได้ร่วมกันดำเนินกิจการภายใต้ชื่อ Blue Ribbon Sports (BRS) ซึ่งเป็น บริษัทมีฐานอยู่ที่ รัฐโอเรกอน ประเทศอเมริกา โดยเปิดดำเนินการในปี 1964
ซึ่งบริษัท BRS ได้นำเข้ารองเท้าที่มีประสิทธิภาพสูงจากประเทศญี่ปุ่นไปยังสหรัฐฯและพบว่าตลาดที่ร้อนแรงที่สุดในอเมริกา ณ ตอนนั้นคือ "รองเท้าวิ่ง"
ในปี 1967 Bowerman ได้เปลี่ยนชื่อรองเท้าเป็นชื่อ "Mexico" ที่ดูเป็นมิตรกับตลาดมากกว่า "TG-24/Shoe designed by Bill Bowerman w/Mexico Line”
การเปลี่ยนแปลงนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1968 ที่ประเทศเม็กซิโกซึ่งเป็นแรงผลักดันให้ Bowerman และทีมงานของเขาใช้ชื่อ"Mexico" แต่ถึงแม้ชื่อดังกล่าวจะวิ่งไปเพียงไม่กี่รอบ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ยังคงดำเนินต่อไป
1968: TG-24 “Cortez”
ในปีที่จัดกีฬาโอลิมปิกนั้น BRS และ Onisuka ต้องการชื่อรองเท้าที่ดูฉับไวและกระชับ และชื่อ “Aztec” ที่อ้างอิงจากประวัติเม็กซิกันโบราณและอาณาจักรแอซเท็ก เป็นที่ถูกใจและดูเหมาะที่จะใช้อยู่ช่วงหนึ่ง จนกระทั้งมันไปขัดต่อกฎหมาย โดยในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1968, มีจดหมายจากเมือง Herzogenaurach ประเทศเยอรมัน, โดยมีเนื้อความว่า "เห็นได้ชัดว่าการใช้ชื่อย่อของ Aztec บนรองเท้าวิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าใกล้เคียงกับชื่อของรองเท้าวิ่งของอาดิดาส "Azteca Gold" ที่มีเอกลักษณ์คือ "หนาม" ใต้รองเท้า
"Azteca Gold"
กลับไปที่ Bowerman หลังจากผิดหวังกับการโดนยึดชื่อไป โดยในการค้นหาชื่อใหม่ BRS ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ "Cortez" - ซึ่งนำมาจากชื่อของ เอร์นัน กอร์เตส เด มอนรอย อี ปิซาร์โร หรือ เอร์นันโด กอร์เตส(Hern?n Cort?s)[Wikipedia]
ซึ่งเป็นผู้พิชิตจักรวรรดิแอซเท็กนั้นเอง (ข้าชนะเว้ย! อดิดาส 555
) และ TG-24 "Cortez" กลายเป็นรองเท้าที่ขายดีที่สุด ณ ตอนนั้นทันที
นอกเหนือจากนักกีฬาวิ่งที่วิ่งแบบจริงจังแล้วนั้น "Cortez" ยังสามารถใส่ไปทำงานสบายๆ หรือ ใส่ไปวิ่งเบาๆอย่าง จ๊อกกิ้งได้ด้วย และยังดูดีพอที่จะใส่สำหรับแฟชั่น หรือ ไลพ์สไตล์การแต่งตัวได้อีกด้วย
มันเป็นรองเท้าที่ขายดีที่สุดอันดับ 1 ในประวัติศาสตร์ของ BRS และ Onitsuka Tiger แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น, ปัญหากำลังเริ่มต้น...
1971: Nike Cortez VS. Tiger Cortez
Tiger Corsair พี่น้องของ Cortez!
ในปี 1971 Bowerman และ Knight เปลี่ยนชื่อ บริษัท ของตนเป็น Nike Inc. ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเทพธิดาแห่งชัยชนะของกรีกเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1974 พวกเขาตัดสินใจที่ผลิตรองเท้าของตัวเองภายใต้ชื่อของ Nike โดยมีชื่อรุ่นว่า "Nike Cortez" และเริ่มแข่งขันกับ Onitsuka tiger ว่าใครที่จะเป็นผู้ได้รับสิทธิ์ในชื่อของ "Cortez"
ทั้งสองบริษัทยังคงขายรองเท้าที่มีรูปร่างและดีไซน์ที่คล้ายกันภายใต้ชื่อ "Cortez"กันต่อไป จนกระทั้งศาลตัดสินให้ Nike เป็นผู้ชนะและได้รับสิทธิ์ใช้ชื่อ "Cortez"
นั่นทำให้ Onitsuka ต้องเปลี่ยนดีไซน์และะชื่อของรองเท้าเป็น "Tiger Corsair" ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งใน "All-Time Favorite" เช่นเดียวกันกับ "Nike Cortez" และเป็นหนึ่งในรุ่นที่ขายที่สุดของ Onitsuka Tiger เช่นกัน
1973: Nike Leather Cortez
ที่งานแสดงสินค้าสินค้ากีฬาแห่งชาติ (NSGA) ในเมืองชิคาโก Nike เปิดตัวโมเดลรองเท้าใหม่สามแบบคือ The Marathon, Obori (ภายหลังเป็นที่รู้จักในนาม "Boston") และ Cortez หลังจากได้รับการรับรองจากนักกีฬาคนแรกของ steve prefontaine และ Nike ก็เริ่มผลิตรองเท้าในสไตล์ Swoosh ตั้งแต่นั้นมา
Logo "Swoosh" ของ Nike ออกแบบโดยนักเรียน Carolyn Davidson, Swoosh ประดับคอหนังของ Cortez ซึ่งขายได้ในราคา 22.90 เหรียญในเวลานั้น รองเท้ามีรูปลักษณ์ที่ดูดี แต่ยังต้องปรับอีกเล็กน้อยสำหรับน้ำหนักที่มีมากอยู่
Steve Prefontaine และ Nike ของเขา
โฆษณาของ "Nike Cortez" ในสมัยนั้น
1975: Nike Nylon Cortez
เขายังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนารองเท้าวิ่งที่เบาที่สุดตลอดกาล Bowerman เปลี่ยนจากวัสดุหนังมาเป็นไนลอนซึ่งทำให้รองเท้ามีน้ำหนักเบา โดยให้คำนิยามรองเท้ารุ่นนี้ ณ ตอนนั้นว่าเป็น "รองเท้าวิ่งเบาที่สุดในโลก"
์Nike nylon Cortez ในสีสันต่างๆ
1976: Nike Senorita Cortez
นี้อาจจะเป็น "Nike Cortez" ในเวอร์ชั่นผู้หญฺิงก็เป็นได้ โดยมันได้รับความนิยมเมื่อนักแสดงสาวนามว่า Farah Fawcett สวม "Nike Senorita Cortez"แสดงใน ทีวีโชว์ยอดฮิตในอเมริกาในขณะนั้นชื่อว่า "Charlie’s Angels" ในตอน "Consenting Adults" โดยเธอใส่มันในฉากที่ไล่ล่ากันบนสเก็ตบอร์ด ซึ่งผลหลังจากที่ตอนนั้นมันทำให้ฝ่ายขายไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะว่ายอดขายมันพุ่งขึ้นเร็วมาก!
VIDEO
"Farah Fawcett บนสเก็ต... "
1980: Cortez and Sir Elton John
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 "Nike Cortez" เริ่มมีชื่อเสียงในวัฒนธรรมป๊อป โดยนักร้องชื่อดังอย่าง Elton John ได้ร่วมงานกับไนกี้ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1970 และ ได้ร่วมกันออกแบบรองเท้ารุ่นผสมระหว่าง Cortez / Roadrunner Mix
ในปี 1980 Elton John ได้แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีต่อไนกี้ โดยหลังจากได้แลกตั๋วคอนเสิร์ตมูลค่า 16,000 เหรียญสำหรับสินค้าไนกี้แล้ว เขายังอุทิศเพลงซึ่งเป็นหนึ่งในคอนเสิร์ตของเขาให้กับ "good friend's at nike" โดยเขาเอาเท้าขึ้นไปเหยีบบนเปียโนโดยใส่รองเท้าของ nike cortez ไว้ ซึ่งทำให้ Cortez ได้โชว์สู่สายตาในโลกของดนตรีอย่างเต็มตัว
1987: Show your colors
ในต้น 1980, พบว่าผู้ที่นิยมใส่ "Nike Cortez" ในมหานคร นิวยอรค์นั้น มักจะเป็นนักเขียนหรือนักเต้นแบร็คแดนซ์ ซึ่งมีนักเต้นบางคนถึงกับกล่าวถึง "Nike Cortez" ว่า “One of the best shoes to b-boy in because they were so light!”
โดยในยุคนั้น ในมหานครนิวยอร์คได้แบ่งเป็นสองฝั่ง คือ ฝั่งตะวันตก และ ฝั่งตะวันออก [West Coast , East Coast] โดยกลุ่ม LA Gangster rap ฝั่ง West Coast ในสมัยนั้นต้องการที่จะผลักดัน "Nike Cortez" เข้าไปในวงการนี้ภายใต้ในชื่อ "Dopeman's Nikes" โดยอิงจากเพลงในตำนาน ของ NWA อย่าง “Dopeman”
[dopeman คือชื่อเรียกคนขายกัญชาและสิ่งเสพติดในสมัยนั้น]
VIDEO
“To be a dopeman boy, you must qualify. Don’t get high off your own supply.”
โดยในนิวยอร์คในตอนนั้น สีสันเป็นมากกว่าการเลือกสไตล์ที่นี่ โดยสีจะเป็นการแสดงถึงสัญลักษณ์ของแก็งค์ โดย The blood จะใส่สีแดง แและ Crips จะใส่สีฟ้า โดยมีคำอธิบายเกี่ยวกับ แก็งค์อันธพาล หรือ LA Gangster ในยุคนั้นว่า“White t-shirt, my Ben Davis and my Nike Cortez and somebody would know, that guy is trouble right there.”
[กล่าวคือ พวกอันธพาลในนิวยอรค์ยุคนั้น จะใส่Cortezกัน หากเจอใครใส่ Cortezแสดงว่ามีปัญหาแล้วล่ะ]
ประวัติเพิ่มเติมที่น่าสนใจเกี่ยวกับ West Coast Vs East Coast
1994: Run, Forrest! Run!
VIDEO
ภาพยนตร์เรื่อง Forrest Gump อาจะจะถูกเรียกว่า "หนังโมษณาเนียนๆของไนกี้" ได้ไม่กระดากปากนัก โดยมองจากมุมมองของ นักเล่นรองเท้ากล่าวว่า
Spoill Alert
Spoil
"[ฉากในวิดิโอด้านบน]ในฉากที่เขาได้รับของขวัญเป็นรองเท้า "Nike Cortez" จาก Jennie เนื้อคู่ของเขา, นั้นทำให้ Forrest ของเราปลดล๊อคพลังวิ่งราวกับพี่ตูนเข้าสิงก็ไม่ปาน และรองเท้าคู่นี้คือสิ่งที่จะทำให้เขาวิ่งข้ามสหรัฐภายในระยะเวลาสามปี!
ดังเช่นที่ Forrest เองก็พูดถึง "Nike Cortez" ว่าเป็น “The best gift anyone could ever get me!"
เดียวมีมาต่อ Part 2 นะครับผม
ติชมได้นะครับ มือใหม่หัดแปล
Credit