มูรินโญ่ : นึกว่าจะไม่ได้พบกันซะแล้ว [บทความ]
หลังจากการจรดปากกาเซ็นสัญญาและชูเสื้อเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แมนฯ ยูไนเต็ดก็ได้ผู้จัดการทีมคนใหม่นามว่า
“โชเซ่ มูรินโญ่” ชายผู้เคยพาทีมอย่างปอร์โต้หยุดแมนฯ ยูไนเต็ดภายใต้การคุมทีมของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายในศึกฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก พร้อมกับสร้างภาพจดจำความกวนโอ๊ย ดีใจแบบออกนอกหน้าสุด ๆ ก่อนจะสร้างชื่อเสียงอย่างจริงจัง ด้วยการพาปอร์โต้คว้าแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรปมาครองได้ในปีนั้น
นั่นคือครั้งแรกที่มูรินโญ่ได้มีโอกาสมาเยือนสนาม
โอล์ด แทรฟฟอร์ด ก่อนที่ต่อมาเขาได้มีโอกาสมาคุมเชลซี พร้อมกับการสถาปนาตัวเองเป็นเสี้ยนหนามตัวฉกาจของป๋าเฟอร์กี้อีกหนึ่งคน
ฟุตบอลสไตล์ของมูรินโญ่เป็นฟุตบอลที่เล่นเกมรับ เน้นเหนียวแน่นไว้ก่อน ถ้าไม่ได้ก็ไม่เสีย
นั่นทำให้ทุกคนติดภาพจำของกุนซือรายนี้ว่าเป็นรถบัสสไตล์ แต่แท้ที่จริงแล้วเขาคือกุนซือคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะคุมทีมไหน จะต้องเป็นทีมที่ยิงมากที่สุด 1 ใน 3 ของลีกตลอด และเป็นคนที่อยู่ที่ไหนจะต้องมือแชมป์ติดมือแทบจะทุกปี
อาจเหมือนหนึ่งในคำพูดของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันที่เรามักจะได้ยินกันบ่อย ๆ ว่า
“เกมรุกจะทำให้คุณชนะ แต่เกมรับจะทำให้คุณเป็นแชมป์” และมูรินโญ่ก็สามารถทำได้ทั้ง 2 อย่าง
แต่ตัวของมูเองก็มีปัญหาที่มักแก้ไม่ตกอยู่อย่างหนึ่งคือเรื่องของ
ความสัมพันธ์ภายในทีม ไม่ว่าจะกับเชลซี หรือเรอัล มาดริด ที่มูต้องจากทีมไปอย่างไม่สวยงามเสมอ ถึงแม้ว่าจะพาทีมประสบความสำเร็จขนาดไหนก็ตาม (แต่กับอินเตอร์นี่น่าจะแทบไม่มีปัญหาอะไรแล้วมั้ง)
และเส้นทางระหว่างมูรินโญ่กับแมนฯ ยูไนเต็ดดูเหมือนจะเป็น
เส้นทางที่ไม่มีทางมาบรรจบกันได้ เมื่อในวันที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันวางมือ เป็นช่วงเวลาที่มูรินโญ่ได้แยกทางกับเรอัล มาดริดพอดี แต่ป๋าเฟอร์กี้และทีมงานกลับเลือกเดวิด มอยส์เข้ามาเป็นตัวแทนภายใต้ความหวังว่าจะเป็นคนสานต่อความสำเร็จในระยะยาวต่อไป ทำให้เฮียมูเลือกที่จะหวนกลับไปถิ่นเก่าอย่างเชลซีอีกครั้ง
แต่แล้วทั้งยูไนเต็ด และมูรินโญ่ต่างก็ต้องประสบปัญหาของตัวเอง จนทำให้เส้นทางที่ดูห่างไกล ได้เดินไปด้วยกันเสียที
ยูไนเต็ดที่ต้องการกลับมายิ่งใหญ่กับมูรินโญ่ที่ต้องการพิสูจน์ตัวเอง น่าจะเป็นคู่ที่ลงตัวที่สุดแล้วในตอนนี้
ตลอดเวลากว่าครึ่งปีที่มูว่างงาน น่าจะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่ทำให้เขาได้มีเวลาคิดทบทวนตัวเองบ้าง ถึงเรื่องที่ยังฉุดรั้งเขาไม่ให้เป็นคนที่ทุกคนรักและยอมรับในฐานะ
The Special One อย่างที่เขาได้สถาปนาตนเองเสียที ถึงแม้ว่ามูริโญ่จะแสดงออกมาว่าไม่แคร์ใครเท่าไหร่ก็ตาม แต่ลึก ๆ แล้วเขาน่าจะไม่อยากแค่ประสบความสำเร็จแค่เรื่องของผลงานเท่านั้น การอยู่ในโลกฟุตบอลมันมีอะไรมากกว่านั้นจริง ๆ ป๋าเฟอร์กี้ได้แสดงให้เห็นมาแล้ว
ฉะนั้นแล้วการได้มาคุมทีมที่ยิ่งใหญ่ มีประวัติศาสตร์ที่สวยงามอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด และได้สานต่องานของบุคคลผู้เป็นตำนานของทีมอย่างป๋าเฟอร์กี้ น่าจะเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่เขาจะได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง ว่าเขาคือคนที่ดึงดูดความสำเร็จมาให้ได้ รวมถึงการพิสูจน์ตัวเองในเรื่องการบริหารภายในทีมไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนที่ผ่านมาอีก ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะได้เป็นเพียง
คนประสบความสำเร็จผู้ไม่สมบูรณ์แบบคนหนึ่งเท่านั้น
และในครั้งนี้ เขาจะได้มีโอกาสกลับมาออกลีลาข้างสนามโอล์ด แทร็ฟฟอร์ดอีกครั้ง
ไม่ใช่ในฐานะผู้มาเยือนแล้ว, แต่เป็นในฐานะของกุนซือผู้คุมทัพปีศาจแดง
นึกว่าเราจะไม่ได้ร่วมงานกันซะแล้ว .
ฝากติดตามผลงานด้วยนะงับ
https://www.facebook.com/MeMyWord/