ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ
: 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 2587
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Aug 23, 2014 20:28
ถูกแบนแล้ว
[GOT]เรื่องราวก่อนยุค7อาณาจักร
ประมวลเหตุการณ์ในส่วนนี้ รวบรวมเนื้อหาจากหนังสือนวนิยายเล่มหลักและเนื้อหาเสริมต่างๆ ของทวีปเวสเทอรอสและเอ็สซอส สำหรับเหตุการณ์ในรัสสมัยของราชวงศ์ทาร์แกเรียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ใน ประมวลเหตุการณ์หลังการขึ้นฝั่งของเอกอน
ชาวเวสเทอรอสรู้ประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปราว 12,500 ปี แต่การบันทึกเรื่องราวเป็นลายลักษณ์อักษรเพิ่งจะมีขึ้นเป็นครั้งแรกหลังชาวแอนดัลเข้ามาตั้งรกราก ก่อนหน้านั้นปฐมบุรุษรู้จักเพียงการแกะสลักอักขระลงบนหิน เรื่องราวเกี่ยวกับยุคแห่งวีรบุรุษ, ยุคปฐมกาล และราตรีอนันตกาล เพิ่งได้รับการบันทึกโดยบาทหลวงในศาสนาศรัทธาธรรม หลังจากผ่านยุคเหล่านั้นมาแล้วหลายพันปี
ประมวลเหตุการณ์
ปีศักราชเอกอน เขียนย่อว่า ปี ศ.อ. เริ่มนับตั้งแต่ปีที่เอกอนผู้พิชิตล่องเรือมาขึ้นฝั่งบนเวสเทอรอส
เครื่องหมายลบ คือ "ก่อน" ศักราชเอกอน เช่น -12,000 คือ 12,000 ปี ก่อนศักราชเอกอน
ยุคปฐมกาล
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
เมื่อยังไร้ซึ่งมนุษย์ - ดินแดนเวสเทอรอสเป็นที่อยู่อาศัยของ เด็กแห่งพงไพร เผ่าพันธุ์ลี้ลับซึ่งมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ ทั้งยังมียักษ์และสัตว์มายาอื่นๆ อีกมากมาย
-12,000
ปฐมบุรุษเข้ารุกราน - มนุษย์เผ่าแรก ข้ามผืนดินเข้ามายังเวสเทอรอสจากตะวันออกพร้อมอาวุธที่ตีขึ้นด้วยทองสัมฤทธิ์(บร็อนซ์) เด็กแห่งพงไพรต้องการหยุดยั้งการรุกรานดังกล่าว จึงใช้เวทมนต์ ค้อนแห่งสายน้ำ ทลายผืนดินที่เชื่อมต่อระหว่างเวสเทอรอสและทวีปตะวันออก จนแผ่นดินทั้ง 2 ขาดออกจากกัน เหลือเพียงหมู่เกาะน้อยใหญ่ชื่อ สเต็ปสโตน ถึงกระนั้นปฐมบุรุษก็ยังคงใช้เรือข้ามมาเสริมกำลังรบ ทำให้การรุกรานยังคงดำเนินต่อไป
ปฐมบุรุษมีจำนวนมากกว่า ตัวใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า และมีเทคโนโลยีล้ำหน้ากว่าเหล่าเด็กๆ เวทมนต์ของเด็กแห่งพงไพรไม่อาจต้านทานปฐมบุรุษได้เลย ปฐมบุรุษรุกไล่กินดินแดนเข้าไปในเวสเทอรอสมากขึ้นเรื่อยๆ และก่อตั้งอาณาจักรเล็กๆ ไปตามรายทางจำนวนหลายร้อยอาณาจักร
-10,000
การลงนามในสนธิสัญญา - หลังจากรบพุ่งกันมานับพันปี ปฐมบุรุษและเด็กแห่งพงไพรก็ได้ร่วมกันลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ การลงนามดังกล่าวกระทำบนเกาะแห่งใบหน้า ปฐมบุรุษตกลงจะอาศัยบนพื้นที่เปิด ที่ราบลุ่ม ท้องทุ่ง และจะไม่โค่นต้นแวร์วูดอีกต่อไป ในขณะที่เด็กแห่งพงไพรตกลงอาศัยอยู่ในป่า หลังเวลาผ่านไป ปฐมบุรุษก็รับเอาเทพเจ้าแห่งพงไพรมาเป็นศาสนาของตน
ลักษณัะเกาะใบหน้า
ยุคแห่งวีรบุรุษ
-10,000
ยุคแห่งวีรบุรุษ - เวสเทอรอสมีความร่มเย็นเป็นสุขหลังจากการลงนามในสนธิสัญญา และก่อกำเนิดทั้งบุรุษและสตรีผู้ยิ่งใหญ่มากมายหลายคน เป็นเหตุให้ยุคนี้ถูกตั้งชื่อในภายหลังว่า ยุคแห่งวีรบุรุษ สนธิสัญญามีผลอยู่เกือบ 4,000 ปี ปฐมบุรุษและเด็กแห่งพงไพรมีความสัมพันธ์ที่ดีและสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงนี้เองที่ปฐมบุรุษทอดทิ้งศาสนาและวัฒนธรรมดั้งเดิม และเปลี่ยนมานับถือทวยเทพองค์เก่าเช่นเดียวกับเด็กแห่งพงไพร ยกเว้นชาวเกาะเหล็กที่นับถือชลคตเทพ
ตระกูลขุนนางมากมายของเวสเทอรอสมีต้นตระกูลจากยุคแห่งวีรบุรุษ ปูชนียบุคคลมากมายมีชีวิตอยู่ในยุคนี้ เช่น แบรนดอนผู้สร้าง ผู้เป็นต้นตระกูลสตาร์ค, แลนผู้มากเล่ห์ ต้นตระกูลแลนนิสเตอร์ผู้ล่อลวงปราการหินมาจากตระกูลคาสเทอร์ลี, การ์ธ กรีนแฮนด์ ต้นตระกูลการ์เด็นเนอร์ผู้ครองแคว้นรีช นอกจากนี้ พระราชาแห่งแคว้นวายุก็ก่อกำเนิดขึ้นในยุคเดียวกันนี้เอง
-8,000
ราตรีอนันตกาล - ฤดูหนาวที่ยาวนานที่สุด หนาวเหน็บที่สุด และมืดมิดที่สุดเท่าที่เวสเทอรอสเคยประสบ ดำเนินอยู่ถึง 1 ชั่วอายุคน น้ำแข็งแผ่ตัวมาจากทิศเหนือ และท่ามกลางความมืดมิดนั้น อมนุษย์ก็เข้ารุกรานเวสเทอรอสจากเหนือสุดของทวีป พวกมันเข้าเข่นฆ่าสังหารมนุษย์ และปลุกศพคนตายขึ้นมาเป็นทาสผีดิบ มนุษย์แทบสูญสิ้นไปจากเวสเทอรอส ราตรีอนันตกาลสิ้นสุดลงหลังจากปฐมบุรุษและเด็กแห่งพงไพรจับมือกันต่อสู้กับอมนุษย์ ในศึกแห่งปฐมกาลด้วยอาวุธที่ทำจากแก้วมังกร ทั้ง 2 เผ่าพันธุ์รุกไล่อมนุษย์กลับไปยังดินแดนเหนือสุดของทวีปได้เป็นผลสำเร็จ วีรบุรุษผู้นำทัพในครั้งนั้น ชาวเอ็สซอสเรียกกันว่า อาซอร์ อาฮาย มีดาบประจำตัวคือดาบไลท์บริงเกอร์ ดาบสองมือซึ่งลุกเป็นไฟ
ก่อสร้างกำแพง - หลังจากเอาชัยจากอมนุษย์ได้แล้ว แบรนดอนผู้สร้างก็ได้สร้างกำแพงขึ้นโดยได้รับความช่วยเหลือจากเผ่ายักษ์ ปฐมบุรุษ และอาจได้รับความช่วยเหลือจากเด็กแห่งพงไพรด้วยก็เป็นได้ มันเป็นอนุสรณ์สถานขนาดมโหราฬ สร้างขึ้นด้วยน้ำแข็งและเวทมนต์ มีหน้าที่ปกป้องอาณาจักรของมนุษย์จากหายนะจากทิศเหนือ กลุ่มพี่น้องร่วมสาบาน หน่วยพิทักษ์ราตรี ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลรักษากำแพง
นอกจากนี้ ยังว่ากันว่าแบรนผู้สร้างยังเป็นผู้ก่อสร้างวินเทอร์เฟล และเป็นราชันย์แห่งทิศอุดรพระองค์แรกอีกด้วย
ราชาแห่งราตรี- ไม่นานหลังการก่อสร้างกำแพงเสร็จสิ้น ลอร์ดผู้บัญชาการแห่งหน่วยพิทักษ์ราตรีคนที่ 13 ก็ตระบัดสัตย์และก่อการทรยศ เหตุเพราะหลงสเน่ห์ผีดิบสาวตนหนึ่งจากนอกกำแพง เขาสถาปนาตนเองเป็นราชาแห่งราตรีและลุกฮือขึ้นก่อกบฏโดยอาศัยแสนยานุภาพของหน่วยพิทักษ์ราตรี เขาก่อพิธีกรรมอันโหดร้ายผิดมนุษย์มากมายในระหว่างการครองราชย์ เรื่องราวเหล่านั้นยังคงถูกเล่าต่อกันมาในแคว้นเหนือจนถึงยุคปัจจุบัน ตระกูลสตาร์คแห่งวินเทอร์เฟล และจอร์รามันผู้เป็นพระราชานอกกำแพงได้ลุกขึ้นร่วมมือกันปราบปรามพระราชาแห่งราตรี ลือกันว่าจอร์รามันคือผู้ค้นพบแตรแห่งเหมันต์ซึ่งเขาใช้ปลุกยักษ์ขึ้นมาจากผืนดิน
การรุกรานของชาวแอนดัล
-6,000
ก่อตั้งศาสานาแห่งความศรัทธา - ศาสนาใหม่ถูกก่อตั้งขึ้นบนภูเขาแอนดัลลอสซึ่งตั้งอยู่บนทวีปตะวันออก เอ็สซอส ศาสนานี้เรียกว่าศาสนาแห่งความศรัทธาทั้งเจ็ด ว่ากันว่าพระเจ้าสูงสุดของชาวแอลดัลปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา และชักนำพวกเขาเข้ารุกรานเวสเทอรอส
การรุกรานของชาวแอนดัล - ชาวแอนดัลข้ามช่องทะเลแคบมาขึ้นฝั่งบนเวสเทอรอสบนชายฝั่งตะวันออก หรือก็คือแคว้นหุบเขาอาร์รินในภายหลัง พวกเขาชูธงประจำศาสนาแห่งความศรัทธาทั้งเจ็ด สักดาว 7 ดวงไว้บนหน้าอก และใช้อาวุธที่ทำจากเหล็กกล้า พวกเขาเข้ารุกรานเข่นฆ่าทั้งปฐมบุรุษและเด็กแห่งพงไพร และขยายดินแดนอย่างรวดเร็วไม่ต่างกับที่ปฐมบุรุษเคยกระทำไว้เมื่อหลายพันปีก่อน
ชาวแอนดัลก่อสงครามกับปฐมบุรุษและเด็กแห่งพงไพรเป็นเวลาหลายร้อยปี โดยมีจุดมุ่งหมายจะขับไล่ทั้ง 2 เผ่าพันธุ์ออกไปให้สิ้นซาก อาณาจักรทางใต้ทั้ง 6 แห่งค่อยๆ พ่ายแพ้ไปทีละแห่ง ต้นแวร์วูดถูกเผาทำลาย มีเพียงอาณาจักรแห่งทิศเหนือเท่านั้นที่ยืนหยัดป้องกันการรุกรานเอาไว้ได้ เหตุผลหลักก็คือจุดยุทธศาสตร์สำคัญ คูน้ำเคลลิน ซึ่งอาศัยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ป้องกันชาวแอนดัลเอาไว้ได้หลายต่อหลายครั้ง ปราสาทคูน้ำเคลลินยังคงเป็นประตูเชื่อมระหว่างเหนือและใต้มาจนถึงปัจจุบัน
แม้ว่าอาณาจักรแห่งทิศเหนือจะยังคงอยู่รอดปลอดภัยดี แต่เด็กแห่งพงไพรก็เริ่มตีตัวออกห่างจากมนุษย์อย่างช้าๆ หลบหนีเข้าไปอยู่ในปาลึกและทางเหนือของกำแพง
-4,000
หมู่เกาะเหล็กไหลพ่ายแพ้ต่อชาวแอนดัล ปิดฉากราชวงศ์แรกแห่งเกาะเหล็กไหลซึ่งมีต้นตระกูลจากอูร์ร็อน มือแดง แต่ชาวแอลดัลยินยอมให้ชาวเหล็กไหลใช้ชีวิตตามแบบวิถีโบราณและนับถือเทพเจ้าผู้จมน้ำได้อย่างเดิม
ยุคแห่งวาเลียร์เรีย
-5,000
ก่อกำเนิดปราการอิสระวาเลียร์เรียน -
บนทวีปตะวันออก มีชุมชุนคนเลี้ยงแกะกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่บนคาบสมุทรวาเลียร์เรียน พวกเขาค้นพบรังของมังกรบนแนวภูเขาไฟสิบสี่อัคคี แนวภูเขาไฟซึ่งกินพื้นที่กว้างขวางอยู่บนคาบสมุทรดังกล่าว ชาววาเลียร์เรียนใช้เวทมนต์ทำให้มังกรเชื่อง และใช้พวกมันเป็นเครื่องมือในการก้าวขึ้นสู่มหาอำนาจเหนือน่านน้ำแห่งนั้น
และก่อตั้งปราการอิสระวาเลียร์เรียน โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่วาเลียร์เรีย ศาสตร์การใช้เวทมนต์มีความรุดหน้าถึงขีดสุด ในเมืองเต็มไปด้วยหอคอยซึ่งสูงจนมองไม่เห็นยอด บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยมังกรไฟ เมืองหลวงแห่งนั้นมีสฟิงค์หินคอยจับตาดูแลด้วยดวงตาพลอย ช่างตีเหล็กชาววาเลียร์เรียนตีดาบที่แหลมคมและแข็งแกร่งที่สุดในตำนาน
พิชิต กิสคาร์ - ชาววาเลียร์เรียนก่อมหาสงครามกับจักรวรรดิ์กิสคาร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปตะวันออกถึง 5 ครั้ง และได้รับชัยชนะมาด้วยความช่วยเหลือของมังกร ปราการอิสระในเมืองหลวงของกิสถูกฆ่าล้างและทำลายจนราบคาบ ทั้งกำแพง เมือง สิ่งก่อสร้าง และพื้นที่การเกษตร ล้วนถูกไฟมังกรเผาทำลายจนย่อยยับ จักรวรรดิ์มีอันต้องล่มสลายไป เมืองต่างๆ บนอ่าวค้าทาสที่เคยอยู่ใต้อำนาจของจักรวรรดิ์ ต่างก็เปลี่ยนมาอยู่ใต้การปกครองของปราการอิสระวาเลียร์เรียน
-700
การรุกรานของชาวรอยนาร์ -
หลังทำลายล้างเมืองหลวงโอล์ดกิสแล้ว ปราการอิสระก็ค่อยๆ ขยายอาณาเขตการปกครองไปทางตะวันตก จนเกิดความขัดแย้งกับอาณาจักรต่างๆ ที่ตั้งเรียงรายริมฝั่งแม่น้ำรอย์น เจ้าชายการ์รินจัดทัพขนาดใหญ่ มีกำลังทหารกว่า 3 แสนนายขึ้นต่อต้าน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ไม่เป็นท่าเมื่อเจอกับมังกร
ชาวรอยนาร์อพยพ - ราชินีนักรบชาวรอยนาร์ ไนมีเรีย พาผู้รอดชีวิตจากสงครามของการ์ริน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ลงเรือกว่า 10,000 ลำ ข้ามช่องทะเลแคบสู่ดินแดนดอร์น ดินแดนซึ่งตั้งอยู่ทางใต้สุดของเวสเทอรอส ราชินีไนมีเรียผูกมิตรกับลอร์ดมอร์ส มาร์เทลด้วยการแต่งงาน ก่อนจะร่วมมือกันรวมเมืองน้อยใหญ่เข้าเป็นอาณาจักรเดียวกัน และก่อตั้งตระกูลมาร์เทล การก้าวขึ้นสู่อำนาจของทั้งสอง ทำให้อาณาจักรดอร์นเริ่มขัดแย้งกับอาณาจักรเทียมฟ้าและอาณาจักรวายุ เป็นเหตุให้เกิดการปล้นชิง ต่อสู้ และรบรากันหลายต่อหลายครั้งเป็นเวลาหลายร้อยปีต่อมา
-500
ปราการอิสระวาเลียร์เรียนกำชัยเหนือเมืองอิสระทางตอนใต้ได้แทบทั้งหมด นักบวชในนิกายกวีจันทราได้พาผู้อพยพจำนวนหลายพันคนลี้ภัยขึ้นเหนือ สู่ทะเลสาบอันห่างไกลซึ่งได้รับการปกป้องจากภูเขาและเมฆหมอกทุกทิศทุกทาง ที่นั่นพวกเขาได้ก่อตั้งเมืองบราวอสขึ้นอย่างลับๆ และในภายหลังได้สร้างรูปปั้นซึ่งเป็นทั้งปูชณียสถานและด่านป้องกันตนเองขึ้น เรียกว่าไททันแห่งบราวอส
-200
ปราการอิสระวาเลียร์เรียนขยายอาณาเขตมาถึงเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตะวันออกของเวสเทอรอส ใกล้ๆ กับอ่าวแม่น้ำทมิฬ ตระกูลทาร์แกร์เรียน หนึ่งในตระกูลขุนนางชั้นสูงของวาเลียร์เรียได้เป็นผู้ดูแลเกาะดังกล่าว พวกเขาก่อสร้างปราสาทซึ่งมีหอคอยรูปร่างเหมือนมังกร เกาะแห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า ศิลามังกร
-100
การล่มสลายของวาเลียร์เรีย -
สาเหตุการล่มสลายที่แท้จริงยังไม่เป็นที่รู้กันแน่ชัด รู้เพียงว่ามีการระเบิดของภูเขาไฟด้วย ซึ่งน่าจะมีต้นตอจากแนวภูเขาไฟสิบสี่อัคคี ผืนดินของคาบสมุทรวาเลียร์เรียนแยกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เมืองน้อยใหญ่ของชาววาเลียร์เรียถูกทำลายอย่างรุนแรง (แต่ไม่ถึงกับราบคาบ) มังกรของชาววาเลียร์เรียแทบจะตายไปจนหมดสิ้น เมืองใต้การปกครองของวาเลียร์เรียต่างก็ตีตัวออกเป็นอิสระ และกลายมาเป็นเมืองอิสระและเมืองต่างๆ บนอ่าวค้าทาสในปัจจุบัน
ช่วงนี้เอง เมืองบราวอสก็เลิกปิดบังตนเองและออกมาประกาศตนให้ทุกคนได้รู้จัก ก่อนจะก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจอันดัน 1 ด้วยกองทัพที่เกรียงไกรและอำนาจทางเศรษฐกิจที่ไร้เทียมทาม จักรวรรดิ์กิสคาร์พยายามปีนขึ้นสู่อำนาจอีกครั้งในทางตอนใต้ และชนเผ่านักรบเร่ร่อนแห่งท้องทุ่งทางตะวันออกก็เริ่มกล้าแสดงตัวมากขึ้นเมื่อไร้ซึ่งวาเลียร์เรีย หนึ่งในชนเผ่าที่โดดเด่นที่สุด คือชาวโดธราคี พวกเขาเริ่มออกปล้นสะดมดินแดนโดยรอบ ตระกูลทาร์แกร์เรียนยังคงอยู่รอดปลอดภัยบนศิลามังกร โดยมีมังกรที่น่าจะเป็น 3 ตัวสุดท้ายในโลกอยู่ในความครอบครอง
รูปหาเท่าที่หาได้แล้วครับ
Gameofthronefansite.com
แก้ไขล่าสุดโดย bpanya2010 เมื่อ Sat Aug 23, 2014 20:55, ทั้งหมด 2 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ