BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
แสดงความเห็น
ไปหน้าที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9
ไปที่หน้า
GO
ชมรมนักลงทุน SS
สมาชิก 113 คน, จำนวนคอมเมนต์ 128
Description
แหล่งสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการเงินการลงทุน ไม่ว่าจะสายวีไอ หรือสายเทคนิคคอลเปิดกว้างโลกทัศน์ด้านการลงทุน ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ชมรมของเรา [ชมรมนักลงทุน SS]

ระเบียบการชมรม

  • สมาชิกที่ต้องการเข้าร่วมชมรมให้กดปุ่ม join ที่อยู่ด้านบนของกระทู้
  • สมาชิกที่เข้าร่วมชมรมเสีย 10 แผล่บครั้งเดียวถาวร(หัวหน้าไม่เสีย)
  • สมาชิกที่เข้าร่วมแล้วเสีย 10 แผล่บจะได้รับการคืนหากหัวหน้ากดปฏิเสธไม่ให้ร่วมกลุ่ม
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 26 Jul 2010
ตอบ: 3084 (บอร์ดเก่า 14337)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Nov 01, 2013 11:36
ข่าวการลงทุนและตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ.. ที่จะประกาศศุกร์ที่ 01/11/56

http://www.soccersuck.com/boards/topic/932280/1
My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 26 Jul 2010
ตอบ: 3084 (บอร์ดเก่า 14337)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Nov 01, 2013 11:36
nueng44506 พิมพ์ว่า:
ผมสมาชิกใหม่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ  


ยินดีต้อนรับครับ หากมีข้อสงสัยการลงทุน หรือ อยากแชร์ข้อมูล เชิญเลยจ้า

My Locker
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
เข้าร่วม: 09 Sep 2013
ตอบ: 127
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Nov 02, 2013 18:15
petemaker พิมพ์ว่า:
nueng44506 พิมพ์ว่า:
ผมสมาชิกใหม่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ  


ยินดีต้อนรับครับ หากมีข้อสงสัยการลงทุน หรือ อยากแชร์ข้อมูล เชิญเลยจ้า

 

ครับ ขอบคุณครับ
My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 27 May 2010
ตอบ: 1416 (บอร์ดเก่า 6888)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Nov 04, 2013 09:47
ถ่ายทอดประสบการณ์การลงทุนกับคุณหมอเจ ถ้าใครเข้าห้องสินธรอยู่เป็นประจำจะรู้จักแกในนามไอดี jfk เฮียแกเป็นสาวก BLAND ตัวยง อิอิ
แก้ไขล่าสุดโดย ssman เมื่อ Mon Nov 04, 2013 09:48, ทั้งหมด 1 ครั้ง
My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 26 Jul 2010
ตอบ: 3084 (บอร์ดเก่า 14337)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Tue Nov 05, 2013 08:59
ข่าวการลงทุนและตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ.. ที่จะประกาศอังคารที่ 5/11/56

http://www.soccersuck.com/boards/topic/935246
My Locker
ออฟไลน์
นักเตะท้ายซอย
Status:
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 3114 (บอร์ดเก่า 339)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Tue Nov 05, 2013 16:10
ตกรถ
My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 27 May 2010
ตอบ: 1416 (บอร์ดเก่า 6888)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Tue Nov 05, 2013 18:00

5 เรื่องที่คนรวยคิดไม่เหมือนกับคนทั่วไป

วิธีคิด นำไปสู่วิธีทำ ทัศนคติแนวคิดเปรียบเสมือนเข็มทิศในการเดินทางของชีวิต เช่นเดียวกับ ปรัชญาการลงทุนจะทำให้เรามีหลักคิดในการลงทุนที่ดี ไม่หลงทางได้ง่าย
บทความน่าอ่าน


(1) คนทั่วไปเน้นการออม คนรวยเน้นสร้างรายได้ -- ในปี 2012 คนอเมริกันโดยเฉลี่ยมีรายได้ปีละ $38,000 ถ้าออมได้ 10% สิ้นปีเราก็จะมีเงินเหลือ $3,800 แต่เราจะไม่รวยขึ้นจริง ๆ จัง ๆ ขึ้นมาจากการทำแบบนั้น (เราต้องหารายได้ให้มากขึ้น) ... ความจริงแล้วคนรวยก็ออม แต่เขาเน้นที่การสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นก่อน ซึ่งสัดส่วนของเงินออมจะสูงขึ้นมาก (โดยเฉพาะถ้าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่น้อยลง)

(2) คนทั่วไปมองการเริ่มธุรกิจส่วนตัวว่าเป็นความเสี่ยง แต่คนรวย (และคนที่มีโอกาสรวย) จะมองเป็นเส้นทางสู่ฐานะที่มั่งคั่ง – คนทั่วไปมองเงินมองด้วยสมการเส้นตรง เช่น สมมติทำงานได้ชั่วโมงละ $X ถ้ายอมทำงานเยอะขึ้น ก็จะได้เงินมากขึ้น แม้แต่ผู้ที่มีการศึกษาดี ก็คิดว่าการเรียน MBA จะช่วยให้ได้เงินมากขึ้น (ก็จริง แต่ก็เป็นการมองแบบเส้นตรงเช่นกัน คือให้เวลากับการเรียน เพื่อสุดท้ายจะเอาวุฒิไปต่อรองรายได้ให้มากขึ้น) ... ส่วนคนรวยจะมองที่ไอเดีย โดยเฉพาะไอเดียที่จะช่วยแก้ปัญหา (และตอบโจทย์ความต้องการ) ของผู้คนได้ และทำเงินจากเรื่องเหล่านี้ ... แต่ถึงกระนั้น คนรวยก็ไม่ได้กระโดดเข้าใส่ไอเดียอย่างไม่ลืมหูลืมหา เขาจะศึกษาความเสี่ยงอย่างดีก่อนที่จะลงมือทำ

(3) คนทั่วไปมองเงินทองด้วยอารมณ์ แต่คนรวยจะมองด้วยเหตุผล – คนทั่วไปมักจะกลัวที่จะขาดทุน/เสียเงิน เมื่อจะทำอะไรใหม่ ๆ แต่คนรวย (และที่มีโอกาสรวย) จะมองเงินว่าเป็นเครื่องมือที่นำมาซึ่งทางเลือกและโอกาส

(4) คนทั่วไปตั้งเป้าหมายอย่างเลื่อนลอย แถมยังผัดวันประกันพรุ่ง ส่วนคนรวยจะตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและยืดมั่นจริงจังกับเส้นตาย – คนทั่วไปอาจลองทำอะไรหลาย ๆ อย่างแบบสะเปะสะปะ แต่คนรวยจะจดจ่อจริงจังอยู่กับธุรกิจเพียงอย่างเดียวที่กำลังปลุกปั้นอยู่ในตอนนั้น และทำทุก ๆ ทาง (ขอให้เป็นทางที่ชอบธรรม) เพื่อให้สำเร็จตามเวลาที่ตั้งใจไว้ (ถ้าทำงานแรกไม่สำเร็จซะที ยอมผัดไปเรื่อย ๆ ก็จะปิดโอกาสในการเริ่มทำงานต่อ ๆ)

(5) คนทั่วไปใช้ชีวิตเกินฐานะที่แท้จริง แต่คนรวยใช้ชีวิตต่ำกว่าฐานะ – ถึงจะมีคนรวยมาก ๆ บางราย ที่แสดงการใช้ชีวิตอย่างสุดหรู (To be fair, อาจจะต่ำกว่าฐานะจริง ๆ ของเขาก็ได้ เช่น มีเงินพันล้านเหรียญ แต่ยังนั่งเฟิร์สคลาส ซึ่งก็หรูแล้วสำหรับคนทั่วไป ส่วนอีกคนมีร้อยล้านเหรียญ ก็มี private แล้ว) ... แต่คนรวยโดยทั่วไป ใช้ชีวิตต่ำกว่าฐานะที่แท้จริง ... คนรวยส่วนใหญ่ (แต่ไม่ใช่ทั้งหมด – เพราะเราจะเห็นแต่คนชีวิตของคนรวยบางส่วนที่เขาแสดงให้เห็นต่อสาธารณะ ส่วนคนรวยที่รวยเงียบ ๆ เราก็จะไม่มีโอกาสได้เห็น แต่ไม่ใช่ไม่มีอยู่) จะไม่ไหลไปตามกระแสวูบวาบ พวกเขาต้องการอิสระทางการเงิน และจะไม่เป็นทาสของสิ่งต่าง ๆ

http://pantip.com/topic/31198261
แก้ไขล่าสุดโดย ssman เมื่อ Tue Nov 05, 2013 18:00, ทั้งหมด 1 ครั้ง
My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 26 Jul 2010
ตอบ: 3084 (บอร์ดเก่า 14337)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Nov 08, 2013 10:19
3 ขั้นตอนที่ทำให้ร่ำรวยและสำเร็จในการลงทุน



การลงทุนหุ้นก็เหมือนงานอื่นๆ ถ้าอยากสำเร็จ คุณต้องทราบ “ขั้นตอนที่ถูกต้อง” ซึ่งจะทำให้คุณสำเร็จ สมหวังและทำกำไรจากหุ้นตามต้องการ


การทำผิดขั้นตอน ย่อมนำสู่ผลลัพธ์ที่ผิด เป็นการ “เสียแรงและเวลา” ประหนึ่งต้องการให้รถเดินหน้าแต่ใส่เกียร์ถอยหลัง ย่อมไม่เกิดผลตามที่ต้องการ


การรู้ “ขั้นตอนที่ถูกต้อง” จึงสำคัญมากต่อนักลงทุน อุปมาดังลายแทงขุมทรัพย์ สำคัญต่อนักล่าสมบัติ


โดย Stephen W. Bigalow ได้เขียน “ขั้นตอนที่ถูกต้อง” ในการลงทุน ที่จะพาคุณร่ำรวยและประสบความสำเร็จ โดยประกอบด้วย 3 ข้อ ดังนี้



1. เลือก “วิธีการลงทุน” ให้ถูกต้อง


วิธีการลงทุนที่ถูกต้อง คือ สิ่งแรกนักลงทุนต้องมี เพราะการนำวิธีที่ถูกต้องมาลงทุน จะทำให้คุณอยู่รอด ไม่ขาดทุน และมีกำไรจากตลาดหุ้นได้


กฏข้อหนึ่งที่ควรรู้คือ “ในโลกการลงทุน หากสิ่งใดไม่ได้ผล สิ่งนั่นจะไม่ดำรงอยู่” คุณจึงควรเลือกใช้ “วิธีการลงทุน” ที่ได้รับการพิสูจน์เป็นร้อยๆปีแล้วว่า “Work”


เพราะจะประกันว่า หากคุณเลือกวิธีนี้แล้ว สิ่งที่รออยู่ปลายทางคือ “ความสำเร็จ” หาใช่ “ความสูญเสียและว่างเปล่า”




หากคุณเป็นคนธรรมดาที่ไม่เก่งขนาดสร้างวิธีลงทุนใหม่ อันจะคงอยู่ไปอีกร้อยๆปี ก็เลือกมาสักวิธีหนึ่งที่ถูกจริตและคิดว่าถนัด แล้วฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ ชำนาญ จนใช้ลงทุนจริงได้



2. สู้กับตัวเอง



ข่าวดีคือ ปัจจุบัน ไม่มี “ความลับเชิงทฤษฎี” ของวิธีการลงทุน มันแพร่หลายและเข้าถึงง่ายมาก คุณสามารถหามันได้จากอินเตอร์เน็ต ร้านหนังสือ หรือการสัมนา


คำถามคือ เมื่อทุกคนสามารถรู้วิธีที่ถูกต้อง แล้วทำไม ??? หลายคนจึงไม่สามารถทำ “กำไร” จากตลาดหุ้น


คำตอบคือ วิธีที่ถูกต้อง ก็ยังไม่เพียงพอที่จะกำจัด “ศัตรูหมายเลข1” นั่นคือ “อารมณ์” ของนักลงทุนเอง


โดยอารมณ์จะส่งผลให้ “ผิดพลาดและทำตรงข้าม” กับทฤษฎี เช่น โลภอยากได้ส่วนต่างราคา จนซื้อหุ้นที่รู้ทั้งรู้ว่า “ราคาแพงสุดขีด” หรือ กลัวจนขายหุ้นเมื่อราคาลด ทั้งที่พื้นฐานยังดีเยี่ยม เป็นต้น


ส่งผลให้ “เจ๊งตลอด” แม้ว่าจะแน่นทฤษฎีแค่ไหนก็ตาม


การควบคุมอารมณ์ คือ สิ่งสำคัญที่สุด และทำยากสุดๆด้วย เพราะอารมณ์เป็นเรื่อง “สัญชาตญาณ” มันเป็นเหมือนเงาที่ สลัดยังไงก็ไม่หลุด และสามารถผลักดันให้เราทำบางอย่างได้โดยที่ไม่รู้ตัว


ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเดินในความมืด แล้วเห็นบางสิ่งที่มีขนาดใหญ่ขดอยู่ปลายเท้า เราจะเสียววูบด้วย “ความกลัว” ขาเราจะก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ แม้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นคืออะไร อาจจะเป็นงูเหลือม เศษผ้า หรือยางธรรมดาก็ได้ แต่อารมณ์กลัว ก็ทำให้ขาเราก้าวถอยหลังโดยสมองไม่ทันคิดด้วยซ้ำ


นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า เมื่อกลัว หุ้นดีกลับขายทิ้ง แต่พอโลภ ช้างก็ตัวเท่าหมู หุ้นไม่ดีกลับกลายเป็นของมีค่าได้


นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จึงไม่จำเป็นต้องรู้ทฤษฎีที่ซับซ้อน แต่ต้องสามารถควบคุม “อารมณ์” เพื่อให้ปฎิบัติตามวิธีการลงทุนที่ถูกต้องได้




3. ทำซ้ำๆ


เมื่อ “ทฤษฎีถูกต้อง” และ ปฎิบัติโดยไม่ถูก “อารมณ์” ครอบงำ คุณก็พร้อมที่จะเดินทางสู่ความสำเร็จ


อย่างไรก็ตาม ยังมีกฏข้อสุดท้ายที่เสมือน “เข็มขัดและถุงลมนิรภัย” อันช่วยให้คุณปลอดภัยตลอดเส้นทาง


นั่นคือ “ทำกฏข้อ 1-2 ซ้ำๆ อย่างมีวินัย ” จนกว่าคุณจะออกจากตลาด


เพราะตลาดหุ้นมีความเสี่ยงตลอดเวลา มันเหมือนคนโรคจิตที่พร้อมหาเรื่องคุณทุกวัน หากช่วงใดคุณไม่มี “วินัย” คุณอาจ “เจ็บตัว” จากตลาดหุ้นได้ ซึ่งหากคุณเกิดซวยในช่วงที่ใส่เงินเต็มพอร์ตพอดี ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจรุนแรงมากๆ


บทเรียนล้ำค่าของกฏนี้คือ ชีวิตนักเก็งกำไรบันลือโลกอย่าง เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ (JL) JL มีฝีมือสุดยอด เขาเก่งจนเป็น millionaire ก่อนอายุ 30 ปี ทั้งที่พื้นฐานครอบครัวมาจากชาวไร่ที่ยากจนมาก ทฤษฎีลงทุนของเขาก็ได้รับการยกย่องและสืบเนื่องมาถึงทุกวันนี้


อย่างไรก็ตาม JL ได้ทิ้ง “บทเรียนสำคัญ” ให้กับนักลงทุนรุ่นหลัง นั่นคือ ความสำคัญของวินัย ชีวิตของ JL ขาดทุนหนักหลายครั้ง โดย JL กล่าวว่า การขาดทุนไม่ได้มาจากทฤษฎีผิดพลาด แต่เป็นเพราะเขาแหกกฏเอง ในบางครั้งเขาไม่สามารถ “ฝืนใจ” ทำตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ จนทำให้ขาดทุนอย่างหนัก


และนี้คือสิ่งสะท้อนว่า ถึงเยี่ยมยุทธแค่ไหน หากขาดวินัย ก็มีสิทธิ “เจ๊ง” ได้เสมอ


ดังนั้น การปฎิบัติที่ถูกต้องโดยไม่ถูกอารมณ์ครอบงำ คือสิ่งที่ต้องติดตัวนักลงทุนตลอด ประหนึ่งเงาต้องติดตามคนครับ




สรุป


“ขั้นตอนที่ถูกต้อง” คือสิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องทราบ โดยมี 3 ขั้นตอนคือ 1. ใช้วิธีที่ถูกต้องลงทุน 2 ควบคุมอารมณ์ให้ได้ 3 ทำข้อ 1-2 ซ้ำเรื่อยๆ การปฎิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้องทำให้นักลงทุนอยู่รอด และทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ครับ


ขอบพระคุณครับ

นักเก็งกำไรด้วยปัจจัยพื้นฐาน

http://thai-hybridinvestors.blogspot.com/p/blog-page_12.html
My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 27 May 2010
ตอบ: 1416 (บอร์ดเก่า 6888)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Nov 11, 2013 13:54



การค้นหาหุ้นเมกาเทรนด์


คำถามยอดนิยมสำหรับ VI ที่เน้นลงทุนระยะยาวในกิจการที่จะเติบโตต่อเนื่องยาวเป็น “เมกาเทรนด์” ก็คือ สำหรับประเทศไทยแล้ว อุตสาหกรรมอะไรเป็นเมกาเทรนด์ เราจะดูได้อย่างไรว่าอะไรจะเป็นเมกาเทรนด์ในอนาคต? และหุ้นตัวไหนจะได้ประโยชน์มากที่สุด?
ก่อนอื่นเราจะต้องกำหนดนิยามของคำว่าเมกาเทรนด์เสียก่อนว่ามันคืออะไร สำหรับผมแล้ว นิยามที่จะเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนนั้น จะต้องเป็นเรื่องของผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจที่ค่อนข้างจะเฉพาะเจาะจง การบอกว่าอุตสาหกรรม IT เป็นเมกาเทรนด์นั้นกว้างเกินไป ไม่มีประโยชน์ต่อการลงทุนนัก เพราะอุตสาหกรรม IT นั้นครอบคลุมผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมาก ผลิตภัณฑ์บางอย่างเช่น คอมพิวเตอร์ที่ “อยู่กับที่” อาจจะไม่อยู่ในเมกาเทรนด์แล้ว แต่คอมพิวเตอร์ที่ “เคลื่อนที่” และต่อกับอินเตอร์เน็ตนั้นยังเป็นเมกาเทรนด์อยู่ เป็นต้น นิยามอีกข้อหนึ่งที่สำคัญก็คือ เมกาเทรนด์นั้นหมายความว่าผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจนั้นจะต้องมียอดขายเติบโตขึ้นเท่าไรและต่อเนื่องไปกี่ปี? นิยามคร่าว ๆ ของผมอาจจะบอกว่าผลิตภัณฑ์จะต้องเติบโตขึ้นจากที่เป็นอยู่ไม่น้อยกว่า 3 เท่าภายในเวลา 10 ปี หรือพูดง่าย ๆ ถ้าจุดเริ่มต้นของยอดขายของผลิตภัณฑ์เท่ากับ 100 บาท ภายในเวลา 10 ปี ยอดขายจะต้องเป็นอย่างน้อย 400 บาท และนี่ก็คือการเติบโตแบบทบต้นอย่างน้อยปีละ 15% ด้วย
โดยนัยของนิยามเมกาเทรนด์ข้างต้น เราก็จะพบว่า ธุรกิจที่จะเป็นเมกาเทรนด์นั้น อาจจะเป็นธุรกิจที่โตเร็วมาก โตแบบทบต้นปีละ 30% และภายในเวลาเพียง 5 ปี ยอดขายก็เป็น 4 เท่า แล้ว และนี่ก็คือผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว คนที่ซื้อและใช้ผลิตภัณฑ์บางคนอาจจะดูเหมือนว่ามีความคลั่งใคล้ ผู้คนกล่าวขวัญถึงว่าเป็น “เมกาเทรนด์” ตัวอย่างก็เช่น คอมพิวเตอร์แบบแทบเล็ตที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เป็นต้น แต่ผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจบางอย่าง ก็อาจจะไม่ได้โต “ระเบิด” อย่างนั้น มันอาจจะโตปีละ 15-20% ในบางปีที่ดี และอาจจะโตแค่ 10-15% ในปีที่ไม่ดี ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานเป็น 10 ปี ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตเป็น 4 เท่า ตัวอย่างเช่น ธุรกิจโมเดินเทรดบางประเภท เป็นต้น แบบนี้ผมก็ถือว่ามันเป็นเมกาเทรนด์เหมือนกัน
ถัดจากเรื่องของนิยามเราต้องพูดถึงสาเหตุที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมากขึ้นเป็น 4 เท่าได้ ในกรณีอย่างนี้เหตุผลสำคัญที่สุดข้อหนึ่งก็คือ เรื่องของพัฒนาการหรือการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถสนองความต้องการของคนได้ดีกว่าเดิมไม่ว่าในด้านของคุณภาพหรือราคา ส่งผลให้คนหันมาใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นมากขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องยาวนาน ในบางกรณีก็อาจจะทำให้ผลิตภัณฑ์เดิมล้มหายตายจากไปเลยก็มี
ผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจที่จะกลายเป็นเมกาเทรนด์ได้นั้น มักจะต้องตอบสนองความต้องการพื้นฐานที่สำคัญของมนุษย์ นั่นก็คือ ข้อแรก มันจะต้องทำให้มนุษย์ที่คำนึงถึงการอยู่รอด รู้สึกว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นช่วยให้เขาอยู่รอดได้ดีขึ้น หรือสอง ผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นจะต้องทำให้คนรู้สึกว่าเขาจะมีโอกาสมีคู่เผยแพร่เผ่าพันธุ์ได้ดีขึ้น ความต้องการพื้นฐานข้อแรก นั้นที่เห็นได้ชัดก็อาจจะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ อาหาร ธุรกิจที่จัดให้เกิดความสะดวกสบายในทุก ๆ ด้าน และธุรกิจเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารและความรู้ เป็นต้น ส่วนข้อที่สองนั้นเป็นเรื่องที่กว้างมากที่อาจจะเกี่ยวข้องกับความสวยงาม สินค้าฟุ่มเฟือย การท่องเที่ยวเดินทาง ข่าวสารและความรู้ต่าง ๆ เป็นต้น
ประเด็นที่สำคัญของการเป็นเมกาเทรนด์นั้นไม่ใช่เรื่องของความต้องการพื้นฐานเท่านั้น เหตุเพราะว่าเราพัฒนามาไกลมากและคนก็มีปัจจัยเหล่านั้นอยู่แล้ว เมกาเทรนด์นั้นจะเกิดขึ้นก็ต้องมีการพัฒนาหรือการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาที่ทำได้ดีกว่าของเดิมจนคนเปลี่ยนมาใช้ของใหม่ที่ดีกว่า และนี่ก็คือการเกิดขึ้นของเมกาเทรนด์ในประเทศที่เจริญแล้วอย่างในอเมริกาหรือประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก แต่สำหรับประเทศที่ยังมีรายได้ไม่สูงนักอย่างประเทศไทย เมกาเทรนด์อาจจะเกิดขึ้นจากการที่คนไทยจำนวนมากขึ้นหันมาบริโภคหรือใช้บริการสิ่งที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ที่มีการคิดค้นขึ้นในโลก แต่เป็นของเดิมที่มีอยู่แล้วแต่ในอดีตมีคนที่มี “ความสามารถที่จะใช้” จำกัดเนื่องจากมันเป็นสินค้าที่ “แพงเกินไป” แต่ในปัจจุบันนั้น ด้วยรายได้ที่สูงขึ้น คนไทยจำนวนมากขึ้นก็หันมาใช้บริการนั้น และเมื่อรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่ง จำนวนคนที่มีความสามารถที่จะใช้ก็อาจจะมากขึ้นเป็นทวีคูณ และนี่ก็คือกระบวนการหรือเส้นทางที่ก่อให้เกิด “เมกาเทรนด์” ในหลาย ๆ ผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย
ตัวอย่างของเมกาเทรนด์ที่เกิดเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้นั้น ผมคิดว่าน่าจะรวมถึงผลิตภัณฑ์ สินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคส่วนบุคคล “สมัยใหม่” ทั้งหลาย แต่เดิมนั้น เราพูดว่าคนชั้นกลางขึ้นไปจะใช้ชีวิตทำงานในออฟฟิส เดินห้าง กินอาหารภัตตาคาร ซื้อเสื้อผ้าตามร้านติดแอร์ ดูหนัง ขับรถ เล่นเน็ต อยู่คอนโด อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ในขณะที่คนต่างจังหวัดและคนที่มีรายได้ต่ำยังไม่ใคร่จะได้ทำ อย่างไรก็ตาม รายได้ของคนไทยเพิ่มขึ้นเร็วมากในช่วงหลัง ๆ ก่อให้เกิดคนชั้นกลางรุ่นใหม่จำนวนมากโดยเฉพาะในต่างจังหวัด ซึ่งทำให้สินค้าเหล่านั้นขายได้มากขึ้นในต่างจังหวัดและอาจจะกลายเป็นเมกาเทรนด์ได้ในบางผลิตภัณฑ์
การที่จะดูว่าหุ้นตัวไหนจะได้ประโยชน์จากเมกาเทรนด์นั้นผมคิดว่าในกรณีของการที่เมกาเทรนด์เกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของรายได้นั้นอาจจะดูไม่ยากนัก เหตุผลก็เพราะว่าในกรณีแบบนี้เราอาจจะเห็นผู้ชนะอยู่แล้วเนื่องจากมันไม่ใช่ผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจใหม่ ถ้าเราพบว่ามีบริษัทที่ Dominant หรือบริษัทที่แทบจะ “ครอบงำ” ธุรกิจอยู่แล้ว นั่นก็คือบริษัทที่จะได้ประโยชน์ชัดเจน แต่ในกรณีของธุรกิจใหม่หรือธุรกิจที่ยังไม่มีบริษัทยักษ์ใหญ่อยู่ การวิเคราะห์ว่าบริษัทไหนจะชนะก็เป็นสิ่งที่จะจำเป็น ในกรณีแบบนี้ เราก็จะต้องดูว่าใครมีกลยุทธ์ที่ดีและมีทรัพยากรที่จะต่อสู้แข่งขันมากกว่ากัน อย่างไรก็ตาม เราจะต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่า โครงสร้างหรือลักษณะของธุรกิจนั้นเป็นอย่างไรด้วย เพราะในบางธุรกิจนั้น เราอาจจะไม่สามารถหาผู้ชนะที่แท้จริงได้ การแข่งขันอาจจะรุนแรงอยู่ตลอดเวลาและแม้แต่ ผู้ชนะเองก็อาจจะทำกำไรไม่ได้มากนักก็ได้
ที่พูดมาทั้งหมดนั้น บางทีอาจจะทำให้คนเข้าใจผิดว่าเมกาเทรนด์ที่น่าสนใจนั้นจะต้องเป็นธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องโตไม่ต่ำกว่าปีละ 15% หรือกำลังโตเร็วมาก ๆ เท่านั้น ที่จริงแล้ว เมกาเทรนด์เองก็มีระดับของมันเหมือนกันและแต่ละคนก็มีนิยามที่แตกต่างกัน สำหรับผมเองนั้น บริษัทที่โตต่อเนื่องยาวนานเฉลี่ยทบต้นปีละ 10% แต่ถ้ามันโตไปยาวนานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปผมก็คิดว่ามันเป็นบริษัทที่โตเร็วน่าสนใจมาก ประเด็นก็คือ มันต้องเป็นการโตที่มั่นคงแน่นอนและโอกาสที่จะหดตัวลงน้อยมาก ในกรณีอย่างนี้ ผมเองก็จะให้คุณค่ามันค่อนข้างมาก เหตุผลข้อแรกก็คือ ผมเชื่อว่าธุรกิจที่โตขึ้นเรื่อย ๆ นั้นมักจะมีกำไรดีขึ้นมากกว่ายอดขายเพราะบริษัทจะมี Economy of Scale ดีขึ้น หรือต้นทุนต่อหน่วยลดลง และเหตุผลข้อสองก็คือ การโตช้าลงมาหน่อยอาจจะไม่ใช่ข้อเสียมากนักถ้ามันจะช่วยไม่ให้คู่แข่งเข้ามามากเกินไป
สุดท้ายก็คือ เมื่อค้นพบหุ้นที่จะเป็นเมกาเทรนด์แล้ว หน้าที่ของเราก็คือ ดูว่าราคาหุ้นเหมาะสมหรือไม่ โดยอาจจะดูจากอัตราผลตอบแทนจากปันผลในปีแรกบวกกับแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวพอสมควรของธุรกิจ ถ้าดูแล้วคุ้มค่า เราก็ควรจะซื้อและถือหุ้นไว้ให้ยาวนานตราบที่กิจการยังดีอยู่โดยที่ยังไม่มีคู่แข่งที่สามารถมาท้าทายบริษัทได้ และอย่าสนใจกับความผันผวนของราคาหุ้นในระยะสั้น

http://www.thaivi.org/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%b8%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%8c/
My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 26 Jul 2010
ตอบ: 3084 (บอร์ดเก่า 14337)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Tue Nov 12, 2013 10:04
ข่าวการลงทุนและตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ.. ที่จะประกาศอังคารที่ 12/11/56

http://www.soccersuck.com/boards/topic/940344/1
My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 27 May 2010
ตอบ: 1416 (บอร์ดเก่า 6888)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Nov 20, 2013 10:11
** 7 เหตุผลที่เรายังไม่รวยซักที **



► 1.เราไม่ใช่นายตัวเอง:

ถึงแม้การทำธุรกิจของตัวเองไม่อาจรับประกันได้ว่าเราจะประสบความสำเร็จ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการทำงานให้คนอื่น (เป็นลูกจ้าง) ก็ไม่ช่วยให้รวยเช่นกัน

แต่แทนที่จะเดินไปลาออกจากงานประจำในทันที ใจเย็นก่อน ทำงานประจำต่อไป แล้วค่อย ๆ สร้างธุรกิจของเราเองเสริมขึ้นมา (วันหนึ่งมันอาจเติบโตเป็นธุรกิจใหญ่โตที่จะเปลี่ยนชีวิตเราก็ได้)

► 2.เรากลัวที่จะรับความเสี่ยง:

เราไม่สามารถรวยขึ้นมาได้โดยไม่รับความเสี่ยง ไม่มีใขึ้นมาได้จากดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร (ไม่นับว่ารวยแล้วเอาเงินไปฝากธนาคาร) ซึ่งไม่ได้หมายความว่าให้ทุ่มเงินลงไปอย่างไม่ลืมหูลืมหา แต่ให้รับความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ต้องเข้าใจอย่างดีซะก่อนว่าเรากำลังจะทำอะไร

► 3.เราไม่เคยหยิบเอาความคิดดีๆ ขึ้นมาลองทำ:

คนที่คิดไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ลงมือทำ ไม่มีทางรวย ... คนที่รวยขึ้นมา เกิดจากการไม่นั่งเฉย ๆ แล้วเฝ้าดูคนอื่นรวยขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่เขาจะลงมือทำ

► 4.เราใช้เงินไม่เป็น:

คนทั่ว ๆ ไปถ้ารู้จักศึกษาเรื่องลงทุน รู้จักควบคุมต้นทุน รู้ว่าอย่างไหนเรียกถูก อย่างไหนเรียกถูกกว่า (กรณีทำธุรกิจ) ก็สามารถสะสมความมั่งคั่งจนกลายเป็นคนรวยได้ ./i

► 5.เราไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน:

คนที่ไม่รู้ตัวเองว่าต้องเก็บเงินให้ได้เท่าไร ต้องหาเงินให้ได้เท่าไร ต้องเอาไปทำอะไร สุดท้ายเมื่อมีสิ่งยั่วยวนใจผ่านเข้ามา ก็จะเสียเงินไปง่าย ๆ กับเรื่องที่ไม่จำเป็น สุดท้ายไม่เคยทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน

► 6.เราไม่ได้ทุ่มเทมากพอ:

ไม่มีใขึ้นมาได้จากการนั่งดูทีวีและนอนวันละ 12 ชั่วโมง นอกจากว่าเรามีกองมรดกหรือไม่ก็ถูกล๊อตเตอรี่รางวัลใหญ่ ... การจะร่ำรวยขึ้นมาได้ ต้องทำงานหนัก ทั้งแรงกาย และ แรงความคิด

► 7.เราไม่คบคนที่ควรคบ:

คบคนเช่นใดเป็นคนเช่นกัน เราไม่มีทางสำเร็จขึ้นมาได้ ถ้าใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับคนขี้เกียจทำมาหากิน เฉื่อยชา ... แต่ถ้าเรามีกลุ่มเพื่อนที่กระตือรือร้น มีประสบการณ์ สามารถให้คำปรึกษาที่มีประโยชน์ เกื้อกูลกันในทางที่เจริญ เราก็จะได้รับแรงกระตุ้นจากกลุ่มเพื่อนให้ก้าวหน้าไปด้วยกัน (แต่ทั้งนี้ กลุ่มเพื่อนที่น่าคบ - ในเชิงธุรกิจ - ก็มักจะเลือกคบคนที่น่าคบด้วยเช่นกัน ถ้าเราเฉื่อยชา เขาคงไม่อยากคบเรา, to be fair)

• แปลจาก "7 Reasons Why You’re Not A Millionaire" โดย Amy Morin จาก www.lifehack.org http://goo.gl/I0APR7 (สามารถไปคอมเม้นโดยตรงกับผู้เขียนบทความต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ด้วย)

• ในภาพคือ Sir Richard Branson เจ้าของอาณาจักร Virgin Group — กับ Domo Robotot และ 3 อื่นๆ

Cr. http://pantip.com/topic/31264537
My Locker
ออฟไลน์
นักเตะอบต.
Status:
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 2965
ที่อยู่: ซอคเก้อร์บัค
โพสเมื่อ: Sat Nov 23, 2013 21:16
ผมเล่นหุ้นไม่เป็นสอนเล่นหน่อยสิครับต้องทำยังไง
แล้วสงสัยคือการซื้อหุ้นคือการลงทุนแบบที่เราไม่ต้องทำอะไรแค่ซื้อมาเก็บไว้เฉยๆใช่หรือเปล่าครับ
Just So You Know ?
My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 26 Jul 2010
ตอบ: 3084 (บอร์ดเก่า 14337)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Nov 25, 2013 10:27
ถึงสมาชิกทุกท่านและท่านประธาน

ใกล้ช่วงปีใหม่แล้วผมอยากมีกิจกรรมบ้างอย่างและมีของรางวัล แต่ยังนึกไม่ออกจะเล่นเกมส์อะไร เดี๋ยวปรึกษาท่านประธานอีกที

ของรางวัลคาดว่าของผม 1 ชิ้น เป็น SEX TOY ของแท้จากญี่ปุ่น ซึ่งพอดีผมจะเดินทางไปในช่วงปีใหม่พอดี

ส่วนรางวัลอื่นๆผลจะขอจากสปอนเซอร์และจะแจ้งแก่สมาชิกอีกครั้งนะครับ

โดยรายละเอียดเกมส์คงเกี่ยวกับการลงทุนแน่นอนครับ ไม่เกี่ยวกับบอล อาจจะมีมั่วๆซัวๆกันคิดอีกที

จึงเรียนมาเพื่อทราบ

My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 26 Jul 2010
ตอบ: 3084 (บอร์ดเก่า 14337)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Nov 25, 2013 10:34
DosKiller พิมพ์ว่า:
ผมเล่นหุ้นไม่เป็นสอนเล่นหน่อยสิครับต้องทำยังไง
แล้วสงสัยคือการซื้อหุ้นคือการลงทุนแบบที่เราไม่ต้องทำอะไรแค่ซื้อมาเก็บไว้เฉยๆใช่หรือเปล่าครับ  


มันอยู่ที่เราเลือกลงทุนครับ ว่าชอบแบบไหน

บางคนชอบหาเช้ากินค่ำ ซื้อ เก็งกำไร ไปเรื่อยๆ

หรือจะแบบแนวทางนักลงทุนคือการซื้อกิจจการที่ตัวเองสนใจและเห็นการเติบโตครับ

การซือหุ้นเหมือนเป็นเจ้าของร่วมกันครับ

คิดเหมือนว่าร้านอาหาร 1 ร้าน เราจ่ายเงินหุ้นกับเพื่อนเพื่อลงทุน

เพื่อจะนำเงินเราไปบริหารในรูปแบบร้าน ได้กำไรก็ปันผลคืนเรา

My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 27 May 2010
ตอบ: 1416 (บอร์ดเก่า 6888)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Nov 25, 2013 12:43

ทำงานไปลงทุนไป ไม่ใส้แห้ง แถมยังผลตอบแทนทวีคูณ




Posted by ดร.นิเวศน์
ThaiVI

ในระยะหลังประมาณ 4-5 ปี ที่ผ่านมาหรือตั้งแต่สิ้นปี 2551 ในวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยตกต่ำลงเหลือเพียง 450 จุด มาจนถึงปัจจุบันที่ดัชนีหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นมาเป็นประมาณ 1400 จุด สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น “VI” จำนวนหนึ่งร่ำรวยขึ้นมากจนสามารถลาออกจากการเป็นพนักงานที่ทำงานกินเงินเดือนในกิจการธุรกิจหรือบริษัทต่าง ๆ และหันมาเป็นนักลงทุน “เต็มตัว” หรือจะเรียกว่าเป็น “นักลงทุนอาชีพ” ก็ไม่ผิด เหตุผลที่พวกเขาลาออกมาลงทุนเต็มตัวนั้นก็เพราะว่าเขาจะได้มีเวลาศึกษาและค้นหาหุ้นที่น่าลงทุนซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้เวลามากและบ่อย ๆ ต้องใช้เวลาในเวลางาน เช่น การไป Visit Company เยี่ยมชมบริษัท หรือไปพบผู้บริหารในงาน Opportunity Day ซึ่งจัดในเวลางาน
การทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาและค้นหาหุ้นลงทุนนั้น นักลงทุน “ผู้มุ่งมั่น” ที่กล่าวถึงนั้นเชื่อมั่นว่ามันจะทำให้พวกเขาลงทุนได้ดีขึ้น สามารถสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น “คุ้ม” กับรายได้ที่จะเสียไปจากการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีเงินในพอร์ต 10 ล้านบาท และถ้าเขาทำผลตอบแทนเพิ่มขึ้นได้จากปกติปีละ 5-10% ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะทำได้ “ไม่ยาก” เขาก็จะได้เงินเพิ่มขึ้นปีละ 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเงินเดือนทั้งปีของเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจลาออกจากงาน และมุ่งมั่นสู่ “ดวงดาว” นั่นก็คือ รวยเป็นเศรษฐีจากตลาดหุ้น และนั่นก็คือนักลงทุนที่ Aggressive หรือกล้าหาญและมั่นใจสุด ๆ อาจจะ เนื่องจากผลงานที่ทำมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นโดดเด่นมาก ๆ ผลตอบแทนทำได้ปีละอาจจะเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย
เช่นเดียวกัน นักลงทุนรุ่นหนุ่มสาวที่เพิ่งจะจบการศึกษาหลายคนที่พ่อแม่มีเงินมากและอาจจะไม่ได้มีธุรกิจใหญ่พอที่จะต้องให้ลูกมาดูแลธุรกิจหรือไม่อยากให้ลูกเข้ามาทำงานในธุรกิจของตนเอง อาจจะรู้สึกว่าการลงทุนโดยเฉพาะแบบที่เป็น “VI”นั้น ก็เป็น “การทำธุรกิจ” เหมือนกัน ดังนั้น พวกเขาก็เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ โดยการขอเงินพ่อแม่มาลงทุน การลงทุนในช่วงแรกด้วยเงินไม่มากอาจจะประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดความมั่นใจทั้งตัวเองและพ่อแม่ ดังนั้น เขาจึงได้เงินลงทุนเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ ด้วย “ฝีมือ” และอาจจะด้วยโชคหรืออะไรก็ตามแต่ ผลตอบแทนที่ได้ก็ยังสูงลิ่วทำให้พอร์ตของเขาโตขึ้นเป็นสิบล้านบาทขึ้นไปในเวลาอันสั้น ดังนั้น เขาก็เลิกทำงานอย่างอื่นทั้งหมดและหันมาเป็นนักลงทุนอาชีพเต็มตัว ลึก ๆ แล้วเขาอาจจะกำลังคิดถึง วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่แทบไม่เคยทำงานประจำอย่างอื่นหลังจากเรียนจบ แต่ประสบความสำเร็จระดับโลก ว่าที่จริงเขาอาจจะคิดว่าเขาเก่งไม่แพ้บัฟเฟตต์เลย เพราะผลตอบแทนของเขาที่ผ่านมานั้นสูงกว่าสถิติของบัฟเฟตต์มากแม้ในช่วงที่บัฟเฟตต์ยังมีพอร์ตเล็ก ๆ ในช่วงต้นของชีวิตการลงทุน
ประเด็นที่ผมจะพูดต่อไปก็คือ เราควรที่จะเลิกทำงานประจำเป็นคนกินเงินเดือนแล้วมาลงทุน เป็นนักลงทุนอาชีพเต็มตัวไหม? และจะเลิกทำงานเมื่อไร? หรือสำหรับคนที่พ่อแม่มีเงินมากพอ ควรหรือไม่ที่เราจะเริ่มชีวิตการลงทุนตั้งแต่เรียนจบ หรือเราควรที่จะทำงานไป-ลงทุนไป?
ผมเองอยากจะเริ่มที่เรื่องของการทำงานประจำหรืองานที่ต้อง “ใช้แรง” เสียก่อนว่าทุกคนควรที่จะต้องทำเพื่อเป็น “ประสบการณ์ของชีวิต” การทำงานใช้แรงหรือทำงานประจำในหน่วยงานหรือการทำงานที่ต้องประสานเกี่ยวข้องกับคนอื่นนั้น จะช่วยให้เราเป็นคนที่ “สมบูรณ์” ขึ้น มันไม่ใช่เรื่องของการหาเงินเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องของสังคมที่คนควรจะมีเพื่อนที่ทำงานเกี่ยวข้องกันซึ่งจะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตในสังคมที่ดีขึ้น เข้าใจชีวิตของคนอื่นได้ดีขึ้น ซึ่งก็อาจจะส่งผลให้การลงทุนในอนาคตของเราดีขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้น ผมคิดว่าการเริ่มต้นเป็นนักลงทุนเต็มตัวตั้งแต่อายุยังน้อยและยังไม่ได้ผ่านการทำงานแบบใช้แรงมานานพอนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร วอเร็น บัฟเฟตต์ เองนั้น ทำงานใช้แรงมานานหลายปีทีเดียวตั้งแต่เรียนชั้นประถมและมัธยมรวมถึงช่วงจบมหาวิทยาลัยไปอีกไม่น้อยกว่า 3-4 ปีในฐานะนักวิเคราะห์หุ้นก่อนที่จะเริ่มชีวิตการลงทุนอาชีพ ดังนั้น คนที่เรียนจบใหม่ ๆ จึงควรที่จะต้องทำงานไปด้วยถ้าอยากจะลงทุน คนที่ไม่ทำงานเลยเอาแต่จะลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้น บางทีอาจจะเป็น “ข้ออ้าง” ของคนที่ “ขี้เกียจ” ทำงานที่ต้องใช้แรงงานก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเขาลงทุนโดยไม่ได้ใช้เวลาศึกษาอะไรมากนัก
สำหรับคนที่ไม่ได้มีพ่อแม่รวยและต้องพึ่งตนเองเป็นหลักนั้น การทำงานกินเงินเดือนหรือการใช้แรงทำงานนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมาก รายได้จากการทำงานนั้นเป็นรายได้ที่สม่ำเสมอและมักจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็วโดยเฉพาะคนที่มีความสามารถและทุ่มเทให้กับการทำงาน และถ้าโชคดีได้งานที่ชอบ การทำงานก็ไม่ได้เป็นภาระที่หนักอกหรือต้อง “ฝืนใจทำ” มันก็อาจจะเป็นกิจกรรมที่ทำแล้ว “มีความสุข” ว่าที่จริงในยุคสมัยปัจจุบันและในอนาคต การทำงานมีโอกาสที่จะทำให้เรา “ร่ำรวย” ได้เหมือนกัน ซึ่งต่างจากสมัยก่อนที่คนทำงานกินเงินเดือนนั้น “ไม่มีโอกาสรวย” แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร การทำงานนั้น เป็นกิจกรรมที่ดีเยี่ยมในแง่ของสังคมและบ่อยครั้งในแง่ของการทำเงิน เหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นการได้ผลตอบแทนที่มักจะมีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้น ก่อนที่เราจะละทิ้งมัน เราควรจะพิจารณาให้รอบคอบจริง ๆ
ข้อเสียของการทำงานสำหรับนักลงทุนก็คือ พวกเขาคิดว่ามันทำให้เขาไม่มีเวลาไปวิเคราะห์หุ้นเท่าที่ควรและเขา “เชื่อว่า” มันทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนน้อยลงไม่ต่ำกว่า 5% หรือ 10% หรือหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่ในประเด็นนี้ผมเองคิดว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อนั้น อาจจะไม่จริง เหตุผลก็คือ ในสมัยนี้เรามีเทคโนโลยีที่สามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เพื่อเอามาศึกษานอกเวลาได้อย่างสะดวก การไปเยี่ยมบริษัทเองนั้น ก็อาจจะไม่ได้เพิ่มคุณค่าของการวิเคราะห์มากนัก ดังนั้น ความจำเป็นต้องลาออกจากงานเพื่อมาศึกษาหุ้นจึงมีความจำเป็นน้อยโดยเฉพาะถ้าเราไม่ได้มีพอร์ตใหญ่โตมากมายอะไรนัก
ส่วนตัวผมเองคิดว่ากลยุทธ์ที่ดีกว่าก็คือ เราควรที่จะทำงานไป-ลงทุนไปเรื่อย ๆ การทำงานนั้นเป็นขั้นตอนแรกที่จะสะสมเงินทุนเริ่มต้นที่จะต้องนำไปลงทุนซื้อหุ้นในตลาด รายได้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการทำงานจะทำให้เรามีเงินเติมลงไปในพอร์ตเรื่อย ๆ ทำให้พอร์ตโตเร็วขึ้นซึ่งในที่สุดก็จะทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงิน นั่นก็คือ คร่าว ๆ พอร์ตควรจะใหญ่เป็นประมาณอย่างน้อย 200 เท่าของรายจ่ายประจำเดือนโดยเฉลี่ยซึ่งจะทำให้เราสามารถเลิกทำงานประจำได้โดยไม่เดือดร้อน อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ควรเลิกทำงาน เหตุผลก็คือ รายจ่ายในอนาคตของเราอาจจะเพิ่มขึ้นมาก อาจจะเนื่องจากการแต่งงาน มีลูก เจ็บป่วยรุนแรง และเหตุการณ์ไม่คาดคิดอื่น ๆ รวมถึงการที่หุ้นอาจจะตกลงมารุนแรงทำให้ความมั่งคั่งที่เหลืออยู่ไม่พอใช้จ่ายอย่างสบายใจ การทำงานต่อไปจะทำให้เรามี “Margin of Safety” หรือความปลอดภัยเพิ่มขึ้นในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
การที่เราจะเลิกทำงานและหันมาลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้น ผมคิดว่าเราควรยึดหลักว่า หนึ่ง เราชอบทำงานหรือไม่ ถ้าชอบ เราก็ไม่จำเป็นต้องเลิกเลย ทำไปลงทุนไป แต่ถ้าไม่ได้รักหรือชอบงานที่ทำ เราก็ต้องคำนึงถึงว่ามันทำเงินให้เราคุ้มค่าหรือเพียงพอหรือไม่ที่เราจะทำต่อ ผมเองคิดว่าตราบใดที่ผลตอบแทนจากการทำงานยังสูงถึง 20-30% ของรายได้จากการลงทุนต่อปี ผมก็เห็นว่ามันยังคุ้มค่าที่จะทำ เพราะการทำงานประจำด้วยจะทำให้พอร์ตหรือเงินเราโตเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากว่ามันน้อยกว่านั้นแล้ว การเลิกทำงานและลงทุนเพียงอย่างเดียวก็อาจจะดีกว่าและทำให้เรามีความสุขในชีวิตมากกว่า
My Locker
ไปหน้าที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9
ไปที่หน้า
GO
ดูทีวีย้อนหลัง
แสดงความเห็น