แนะนำสโมสร Juventus 1897-2003
สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส (Juventus Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองตูริน(โตริโน) ในฤดูกาล2006/2007ถูกปรับตกชั้นให้ไปเล่นใน กัลโช่ เซเรียบี (Serie B) หรือดิวิชั่น2ของอิตาลีจากการถูกปรับตกชั้นในคดีติดสินบนผู้ตัดสิน (ร่วมกับมิลาน ฟิออเรนติน่า และลาซิโอ) เป็นสโมสรเก่าแก่สโมสรหนึ่งของประเทศอิตาลี โดยก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) และประสบความสำเร็จมากมาย อีกทั้งยังเป็นสโมสรแรกที่ได้แชมป์ยุโรปทั้งสามรายการ คือ ยูโรเปียนคัพ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก), ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ และยูฟ่าคัพ
สำหรับยูเวนตุส ในสมัยก่อนแฟนฟุตบอลชาวไทยจะอ่านออกเสียงว่า "จูเวนตัส" จะเรียกฉายาในภาษาไทยว่า "ม้าลาย"
ยูเวนตุสก่อตั้งขึ้นปี ค.ศ. 1897 ในชื่อของ สปอร์ต คลับ ยูเวนตุส โดยมีนักเรียนที่ชื่อ มัสซิโม เด'อาเซกีโล ที่ศึกษาอยู่ที่เมืองตูรินได้เป็นเริ่มผู้ก่อตั้งและก็ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเป็น สโมสรฟุตบอลยูเวนตุสในเวลาอีกสองปีถัดมา หลังจากนั้นสโมสรได้เข้าร่วมการแข่งขันอิตาเลียนฟุตบอลแชมเปียนส์ชิพ (ปัจจุบันคือเซเรียอา) ในช่วงปี ค.ศ. 1904 ซึ่งใช้ชุดแข่งในสีดำและสีชมพูเป็นชุดเหย้าในการแข่งขันและใช้สนามเวโลโดรโมอัมเบรโต สนามนั้นเป็นสนามเหย้าในการแข่งขัน ยูเวนตุสได้แชมป์ในรายการนี้ครั้งแรกในเมื่อปี ค.ศ. 1905 แล้วในช่วงเดียวกันนั้นสโมสรได้เปลี่ยนสีประจำทีมให้เป็นสีขาวและสีดำลายทางและกางเกงสีดำ ซึ่งถูกเปรียบเทียบว่าเหมือนสโมสรฟุตบอลในประเทศอังกฤษอย่าง สโมสรฟุตบอลนอตส์เคาน์ตีและนิวคาสเซิลและในปีค.ศ. 1906 สโมสรได้มีการแยกทางกับพนักงานของสโมสรและนักเตะบางส่วนออกไปเนื่องจากต้องการออกไปจากเมืองตูรินเพราะมีทีท่าจะเกิดสงคราม เมื่อประธานสโมสรอัลเฟรโดทราบเหตุการณ์ท่านกังกวลใจมากและไม่มีความสุขเพราะขาดนักเตะหลักในการทำการแข่งขันกับ สโมสรฟุตบอลโตริโน สโมสรร่วมเมืองเดียวกันในเกมดาร์บีเดลลาโมเลและหลังจากนั้นไม่นานก็ได้เกิดสงครามโลกขึ้นตามความคาดหมายอีกทั้งยังทำให้นักเตะต่างได้แยกย้ายออกจากทีมเพื่อหลบหนี้ภัยสงครามเป็นจำนวนมาก ยูเวนตุสใช้เวลานานในการสร้างทีมขึ้นมาใหม่อย่างต่อเนื่องหลังจากจบ สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
หลังจากนั้นเจ้าขององค์กรธุรกิจยานยนต์(เฟียต)ในเมืองตูรินอย่าง เอโดอาร์โด อเกลลี ได้เข้ามาควบคุมกิจการของสโมสรในช่วงปีค.ศ. 1923 และได้มีการสร้างสนามเหย้าใหม่ขึ้นหลังจากสนามเดิมได้รับผลกระทบและมีการพังทลายจากเหตุสงครามโลก เขาได้ช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งในปี ค.ศ. 1926 ด้วยการชนะ อัลบา โรมา ไปถึง 12-1 , ด้วยการยิงของ อันโตนีโอ โวจาค ซึ่งเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของฤดูกาล 1925-26 หลังจากนั้นสโมสรได้เป็นกำลังสำคัญในวงการฟุตบอลอิตาลีตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 เป็นต้นมาและได้กลายเป็นสโมสรมืออาชีพครั้งแรกของประเทศและเป็นสโมสรแรกที่มีแฟนคลับกระจายอยู่หลายๆประเทศทั่วโลก ในขณะนั้นสโมสรอยู่ภายใต้การคุมทีมของ การ์โล การ์ซาโน อดีตผู้จัดการทีมชาตอิตาลี ซึ่งเขาสามารถนำยูเวนตุสได้แชมป์ลีกในระดับประเทศได้ถึง 4 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปีค.ศ. 1930 ถึงค.ศ. 1934 และในช่วงนั้นมีนักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังมากมายของสโมสรอาทิเช่น ไรมุนโด ออร์ซิ, ลูอิกี เบอร์โทลินี, จิโอวานนี เฟอร์รารี, ลุยส์ มอนตี และอื่นๆอีกมากมายพวกเขาเหล่านี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตำนานยูเวนตุส หลังจากนั้นสโมสรได้ย้ายไปใช้สนามเหย้าใหม่คือ สตาดีโอโอลิมปิกโกดิโทริโน เป็นสนามเหย้า ในช่วงปี ค.ศ. 1933 หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง กีอันนี อักเนลลี ได้เขามารับตำแหน่งประธานสโมสร ต่อมาสโมสรก็สามารถคว้าแชมป์ลีกมาได้อีก 2 สมัยในช่วงฤดูกาล 1949-1950 และ 1951-1952 โดยในช่วงนั้นสโมสรได้อยู่ภายใต้การคุมทีมของ เจสเซ คาร์เวอร์ ซึ่งเป็นผู้จัดการต่างชาติชาวอังกฤษ ต่ามาในฤดูกาล 1957-1958 สโมสรได้เซ็นสัญญากับสองกองหน้าชื่อดังอย่าง โอมาร์ ซีโบรี นักเตะลูกครึ่งอิตาลี-อาร์เจนตินา และ จอห์น คาร์เลส นักเตะสัญชาติเวลส์โดยพวกเขาได้เล่นรวมกับ กีอัมปีเอโร โบนีเปอร์ตี นักเตะชื่อดังของสโมสรในเวลานั้นโดยทั้งสามคนเป็นกำลังหลักที่สำคัญของยูเวนตุสมาโดยตลอดและต่อมานักเตะหน้าใหม่อย่าง ซีโบรี ก็เป็นนักเตะคนแรกของสโมสรที่ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปในปีค.ศ. 1961 และในปีเดียวกันนั้นพวกเขาชนะสโมสรฟุตบอลฟีออเรนตีนา ซึ่งสามารถคว้าแชมป์เซเรียอามาครองได้เป็นสมัยที่ 11 ได้สำเร็จและสามารถคว้าแชมป์โกปปาอีตาเลียได้ในฤดูกาลเดียวกันพร้อมสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์สองอย่างพร้อมกันเป็นครั้งแรกของสโมสรและ โบนีเปอร์ตี ดาวยิงสูงสุดของสโมสร ณ เวลานั้นก็ได้ตัดสินใจเลิกเล่นอาชีพฟุตบอลโดยการแขวนสตั๊ดไปพร้อมกับการสร้างสถิติทำประตูสูงสุดอีกด้วย รวมแล้วทั้งหมด 182 ประตู และต่อมาในช่วงที่เหลือของทศวรรษที่ 70 สโมสรได้แชมปฺ์ลีกมากขึ้นซึ่งได้มาถึง 5 สมัย โดยมีผู้จัดการทีม ณ ขณะนั้นคือจีโอวานนี ตราปัตโตนี เป็นคนที่ช่วยนำสโมสรให้ก้าวสู่ความยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่องจนถึงทศวรรษที่ 80
ในยุคของตราปาตโตนีเป็นยุคที่สโมสรประสบความสำเร็จมากที่สุดตั้งแต่ก่อตั้วสโมสร ซึ่งอยู่ในช่วงยุค ค.ศ. 1980 สโมสรเริ่มต้นได้ดีในช่วงทศวรรษใหม่ด้วยการคว้าแชมป์ลีก 3 สมัย โดยในปี ค.ศ. 1984 สโมสรสามารถคว้าแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 20 ของสโมสรและทางสมาพันธ์ฟุตบอลอิตาลีได้อนุญาตให้ทางสโมสรเพิ่มดาวสีทองดวงที่สองบนเสื้อชุดแข่งของสโมสรได้ ต่อมานักเตะชาวฝรั่งเศสของสโมสรที่ทำผลงานดีเด็ดอย่าง มีแชล ปลาตีนี ก็ถูกเสนอชื่อเป็นนักเตะยอดเยี่ยมซึ่งเขาก็สามารถคว้ารายการนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรปได้ถึง 3 สมัยติดต่อกันในปี 1983, 1984 และ 1985 โดยยูเวนตุสเป็นสโมสรเดียวที่มีนักเตะจากสโมสรคว้าแชมป์รายการนี้ในรอบ 4 ปีติดต่อกันเพราะก่อนหน้าปลาตินีทางด้านของ เปาโล รอสซี ก็ได้รับรางวัลนี้เช่นเดียวกัน โดยนัดที่สำคัญของปลาตีนีและเป็นนัดที่สำคัญของสโมสรยูเวนตุสเช่นเดียวกันคือนัดที่ปลาตีนีทำประตูชัยในนัดชิงชนะเลิศยูโรเปียนส์คัพฤดูกาล 1985 ช่วยให้สโมสรสามารถเอาชนะสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลที่เป็นสโมสรฟุตบอลชื่อดังจากอังกฤษไป 1-0 ซึ่งทำให้ยูเวนตุสสามารถคว้าแชมป์ ยูโรเปียนส์คัพ มาเป็นสมัยแรกของสโมสรได้สำเร็จและในปีนี้เป็นปีที่ยูเวนตุสกลายเป็นสโมสรแรกในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลยุโรปที่ได้รับรางวัลทั้งสามรางวัลที่สำคัญการแข่งขันของยูฟ่า และหลังจากที่ประสบความสำเร็จของพวกเขาในระดับทวีปถ้วยสโมสรก็กลายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลและยังคงเป็นสโมสรหนึ่งเดียวของโลกในปัจจุบันที่ได้รับรางวัลจากสมาพันธ์การแข่งขันทั้งหมด หลังจากนั้นสโมสรได้คว้าแชมป์ เซเรียอา ได้ในฤดูกาล 1985-86 ซึ่งเป็นแชมป์สมัยที่ 22 ของสโมสรและเป็นแชมป์สุดท้ายในการคุมทีมของตราปาตโตนีพร้อมกับเป็นแชมป์สุดท้ายในช่วงทศวรรษที่ 80 ต่อมาในปีค.ศ. 1990 ยูเวนตุสได้ย้ายสนามเหย้าไปใช้สนามสตาดีโอเดลเลอัลปีซึ่งเป็นหนึ่งในสนามที่จะใช้แข่งขันฟุตบอลโลกในปี 1990 นั้นเองและผู้จัดการทีมที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งที่ได้นำยูเวนตุสเข้าสู่ยุคทองในครั้งที่สองโดยการคว้าแชป์ได้ทั้งหมด 13 รายการนั้นคือมาร์เชลโล ลิปปีเขาได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมให้กับสโมสรโดยเริ่มคุมทีมตั้งแต่ฤดูกาล 1994-1995 ฤดูกาลของเขากับยูเวนตุสก็สามารถนำทีมคว้าแชมป์เซเรียอาได้สำเร็จซึ่งครั้งล่าสุดที่สโมสรได้คือในช่วงกลางทศวรรษที่ 80 ลิปปีสามารถนำสโมสรของเขาไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฤดกาล 1995-1996 ซึ่งเขานำยูเวนตุสไปถึงรอบชิงชนะเลิศกับสโมสรเอเอฟซีอาแจ็กซ์ผลออกมาเสมอกันไป 1-1 ก่อนที่จะชนะด้วยการดวลลูกโทษไป 2-4 แล้วทำให้สโมสรคว้าแชมป์มาได้เป็นสมัยที่ 2 ของสโมสร มาร์เชลโล ลิปปี หลังจากคว้าแชมป์ยุโรปได้ไม่นานสโมสร ได้เสริมทัพด้วยการซื้อผู้เล่นชื่อดังที่มีประสิทธิภาพมาหลายคนอาทิเช่น ฟีลิปโป อินซากี, ซีเนดีน ซีดาน, เอ็ดการ์ ดาวิดส์.ซึ่งผลจากการซื้อผู้เล่นใหม่มาทำให้สโมสรคว้าแชมป์เซเรียอาได้ใน 1996-1997 และ 1997-1998 และในช่วงเดียวกันนั้นสโมสรก็สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและอเมริกาใต้และยูฟ่าซูเปอร์คัพได้ในปีค.ศ. 1996
ยูเวนตุส 1992-1993
แชมป์ ยูฟ่า คัพ
ดอร์ทมุนด์ 1-3 ยูเวนตุส (ดีโน่ บาจโจ้ น.26, โรแบร์โต้ บาจโจ้ น.31, น.74)
ยูเวนตุส 3-0 ดอร์ทมุนด์ (ดีโน่ บาจโจ้ น.5, น.43, อันเดรียส โมลเลอร์ น.65)
นักเตะเด่น
GK: อันเจโล เปรุซซี่
DF: เจอร์เก็น โคลเลอร์
MF: ดีโน่ บาจโจ้
MF: อันเดรียส โมลเลอร์
CF: จิอันลูก้า วิอัลลี่
CF: โรแบร์โต้ บาจโจ้ ยิง 6 ประตู
ต่อมาในปี ค.ศ. 1997 และปี ค.ศ. 1998 สโมสรสามารถเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ถึง 2 รอบ แต่ก็ได้แค่รองแชมป์ทั้งสองรอบด้วยการพ่ายให้แก่ โบรุสเซียดอร์ทมุนด์ และ เรอัล มาดริด ตามลำดับ หลังจากผ่านไปนาน ลิปปีก็ได้กลับมาคุมทีมอีกครั้งในปี ค.ศ. 2001.แล้วได้ซื้อผู้เล่นใหม่มามากมายอาทิเช่น จันลุยจี บุฟฟอน, ดาวิด เทรเซเก้, ปาเวล เนดเวด และ ลีเลียน ทูร์ราม มาช่วยให้สโมสรสามารถคว้าแชมป์เซเรียอาได้ในฤดูกาล 2001-2002 และ 2002-2003 ในปี 2003 ยูเวนตุสในฐานะแชมลีกได้เข้าไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจนเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศโดยพบกับ เอซี มิลานสโมสรจากประเทศเดียวกันผลออกมาเสมอ 0-0 แต่ยูเวนตุสก็เป็นฝ่ายแพ้ในการดวลจุดโทษ จากการแข่งขันนี้ทำให้ลิปปีได้ลาออกจากผู้จัดการทีมแล้วไปคุมฟุตบอลทีมชาติอิตาลีแล้วทำให้ต้องหยุดสถิติการนำยูเวนตุสคว้าแชมป์รายการทั้งหมดไว้แค่ 13 รายการ แต่เขาก็ยังเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จกับยูเวนตุสอยู่ในประวัติศาสตร์ของสโมสรต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก wigi google juventus.com