The World's End : การล้อเลียนครั้งใหม่ของ Edgar Wright ในแก้วเบียร์
*** บทความต่อไปนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่ยังไม่เคยชม The World's End
เพราะบางช่วงบางตอนอาจทำให้เสียอรรถรสในการรับชม เป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงครับ***
*** บทความนี้และอื่นที่ผมเขียน ผมถือเป็นสมบัติของ SS ฉะนั้นหากมีการนำไปเผยแผ่กรุณาลงที่มาว่ามาจาก Soccersuck ด้วยนะครับ
(มันจะได้ไม่โดนก๊อปกลับมาอีก ๕๕๕)***
The World's End (2013)
กราบสวัสดีพี่น้องชาว ss ทั้งหลายนะครับ ในขณะที่เหตุการณ์บ้านเมืองยังไม่รู้จะออกหัวหรือ ก้อย ตื่นมาดูข่าวก็เครียด ออกจากบ้านมาทำงานก็เครียด
เรียกได้ว่าเครียดเกือบทั้งวัน
สบโอกาส บุญพาวาสนาส่ง มีโอกาสได้ดู The World's End หนังอังกฤษของผู้กำกับหนุ่มชาวอังกฤษ Edgar Wright
โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะพิศวาสหนังอักฤษเป็นพิเศษ อันเนื่องมาจากความรู้สึกที่ว่า หนังอังกฤษนั้นมีความ "กวนตีน" เฉพาะตัวที่ลอกเลียนไม่ได้
ยังไม่นับเพลงเจ๋งๆ สำเนียงเท่ๆแบบเจ้าของภาษา และบทสุดแหวกแนวนะครับ
Edgar Wright แหกโค้งมาอยู่ในอันดับต้นๆของผู้กำกับขวัญใจผมจาก Shaun of the Dead (2004) หนังซอมบี้แหวกแนวที่สร้างชื่อให้ Edgar
ตามมาด้วย Hot Fuzz (2007) หนังระเบิดภูเขาเผากระท่อมแบบฮอลลีวู๊ด และ Scott Pilgrim vs. the World (2010) หนังฮอลลีวู๊ดเรื่องแรกของพี่แก
ผมชอบทุกเรื่องนะครับ จนมาถึง The World's End ลูกพี่ Edgar Wright ไม่ทำให้ผมผิดหวังเลย สำหรับผมค่อนข้างจะเต็มอิ่มกับหนังพอสมควร
หนังว่าด้วยเรื่องของ Gary King ที่รับบทโดย Simon Pegg นักแสดงขาประจำของ เอ็ดการ์ (รวมถึงบทภาพยนตร์ด้วย)
หนุ่มใหญ่วัย 40 ที่หวนนึกถึง ค่ำคืนสุดมันส์ ในปี 1990 ที่เค้าและเพื่อนๆในกลุ่มรวม 5 คนวางแผนตะลุยบาร์ดื่มเบียร์ละแวกบ้านทั้ง 12 ร้านให้ครบในคืนเดียว
เปรี้ยวปาก
แต่ด้วยความเมามาย (จากหลายรูปแบบ) ก็ทำให้หนุ่มทั้ง 5 ไปได้แค่ 9 ร้านเท่านั้น
นึกถึงวันเก่าๆแล้วเศร้าใจ แกรี่ จึงออกชักชวนเพื่อนๆ เพื่อสานต่อความฝันให้เป็นจริงด้วยการออกตะลุยทั้ง 12 ร้านให้สำเร็จ โดยเป้าหมายอยู่ที่ร้าน The World's End อันเป็นช่ือของหนัง
ฟังดูเป็นหนังตามฝันธรรมดา แต่ปล่าวเลย The World's End มีจุดบิดแก่นของเรื่องอยู่ชนิดที่เรียกว่าผู้ชมจิตอ่อนจะรับไม่ได้กันเลยทีเดียว
ได้ยินมีคนใน SS ถามว่า "นี่มันหนังเฮียอะไรเนี่ย"
The World's End ไม่ใช้หนังตลาดครับ ไม่ตรงจริตคนไทยผู้หลงไหล ฮอลลีวู๊ดและเกาหลีเป็นชีวิตจิตใจแน่นอน
ซึ่งหนังของ Edgar Wright ประสบปัญหานี้ทุกเรื่องสังเกตได้จากการที่หนังตรงดิ่งลงแผ่นโดยไม่แวะฉายโรงให้เปลืองแอร์
ก็ยังดีที่ได้ดู ดีกว่าสมัยก่อนที่ยากจะมีผู้ซื้อหนังดีๆมาขาย ต้องอาศัยคุณพี่ใจดีที่รู้จักกันในแวดวงหนังดูหนังนอกกระแสในนาม "แว่นวีดีโอ"
กราบขอบคุณพี่แว่นมา ณ โอกาสนี้ ขอให้พี่และครอบครัวมีความสุขตลอดไปครับ
ย้อนกลับมาที่ The World's End หนังตลกเสียดสีที่มีกลิ่นไอ (แอบกัดปนยกย่อง) ฮอลลีวู๊ดเรื่องนี้ แฝงข้อคิดดีๆมากมาย
ก็แล้วแต่ใครจะเก็บเกี่ยวได้ โดยเฉพาะประเด็นที่หนังถามคนดูว่าเราใช้ประโยชน์จาก "อดีต" กันแบบไหน
เพื่อดื่มด่ำวันวาน เพื่อต่อเติมปัจจุบัน หรือสร้างสรรค์อนาคต จะเป็นประดยชน์มากน้อยแค่ไหนอยู่ที่เราต้องไม่ "จม" อยู่กับมัน
และแม้ครั้งนึงสมัยเรียนที่ผมกับเพื่อน 3 คนตะลุยดื่มร้านเหล้าแถวมหาลัย เรียกว่าเมาหัวรานำ้กันทีเดียว ประมาณ 7-8 ร้านนี่แหละครับ จำได้ไม่แม่น
เพื่อนอีก 2 คนก็ห่างกันไปนานแล้ว และหนึ่งในนั้นก็เรียกได้ว่าแตกหักกันไปเรียบร้อย
ด้วยเรื่องผู้หญิง
ดูหนังจบก็ย้อนมานึงถึงความสนุกในคืนนั้น ความสุขที่เพื่อนมีให้กัน นึกไปก็เสียดาย
น่าต่อยแม่งให้ตายก่อนเลิกคบนะ ๕๕๕