BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
นักเตะอบต.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 499
ที่อยู่: 221b Baker Street
โพสเมื่อ: Thu Jan 09, 2014 17:09
วิญญาณ-การระลึกชาติ-กฎแห่งกรรม
M.Connellyขออนุญาตเป็นผู้เรียบเรียงเรื่องราวอันเป็นข้อเท็จจริงที่ถูกบันทึกไว้โดยนายแพทย์อาจินต์ บุณยเกตุ อดีตรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ ในเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับวิญญาณ-การระลึกชาติ-กฎแห่งกรรม โดยมีเรื่องราว ดังนี้


ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ.2510 นายแพทย์อาจินต์ บุณยเกตุ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ในขณะนั้น ป่วยเป็นโรคไมเกรนมาตั้งแต่วัยรุ่น อาการของท่านหนักขึ้นเรื่อยๆจนทนไม่ไหว ยาแก้ปวดทุกชนิด ที่มีขายก็ลองกินมาหมดแล้ว แต่กินเท่าไรก็ไม่หาย ในที่สุด ก็ต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลศิริราช ระหว่างที่นอนโรงพยาบาลเพื่อรอการผ่าตัดอยู่นั้นเอง เวลาประมาณสามทุ่ม คุณหมอได้เห็นเด็กอ้วนคนหนึ่งเดินขึ้นมาถึงข้างเตียงท่าน ท่านถามเด็กอ้วนว่าเข้ามาทำไม เด็กอ้วนตอบว่า "เพื่อนของหนูอยากพบคุณลุง เขาบอกว่าเป็นลูกสาวของคุณลุง" หมออาจินต์ได้ฟังอย่างนั้นก็งงมาก จึงถามกลับไปว่า "แล้วหนูเป็นใคร" เด็กอ้วนจึงตอบว่า ตนเคยป่วยตายในห้องนี้มาก่อน



ทุกครั้งที่เด็กอ้วนพูด คุณหมออาจินต์จะใช้วิธีทวนคำพูดทุกคำ เพื่อให้ทุกคนในห้องที่มาเฝ้าไข้ได้ยินตามไปด้วย ตอนแรกทุกคนก็งงๆว่าคุณหมอเกิดอาการปวดศีรษะจนตาหลอนหรือเปล่า แต่คุณหมอก็ตอบว่า "ฉันเป็นหมอ ฉันรู้ ฉันมีสติ" ให้พยาบาลจดบันทึกทุกสิ่งที่พูดเอาไว้ จากนั้นคุณหมอก็บอกให้เด็กอ้วนไปชวนเพื่อนมาหา เด็กอ้วนจึงเดินๆไปทั้งที่ไม่ได้เปิดประตู

ห้าทุ่มของคืนนั้น ขณะที่ทุกคนกำลังเคลิ้ม เด็กอ้วนก็เดินกลับเข้ามาปลุกคุณหมอ คุณหมออาจินต์ ภรรยา และพยาบาลก็ตื่นขึ้นมาด้วยกันทั้งหมด เด็กอ้วนมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง อายุ12ปี หน้าตาน่ารักมาก เธอยกมือไหว้แล้วพูดว่า "คุณพ่อขา สวัสดีค่ะ หนูชื่อพิมพวดี" เมื่อเห็นว่าทั้งสองได้เจอกันแล้ว เด็กอ้วนก็ขอตัวกลับ


เด็กหญิงพิมพวดี โหสกุล

พิมพวดีมองหน้าหมออาจินต์แล้วถามว่า "พ่อปวดหัวมากใช่ไหม" คุณหมอบอกว่าใช่ พิมพวดีจึงเอามือไปสัมผัสตรงบริเวณที่คุณหมอปวดเป็นไมเกรน ปรากฏว่าอาการทุเลาลงจนรู้สึกค่อยยังชั่ว พิมพวดีจึงบอกว่า "คราวหลัวถ้าคุณพ่อปวดหัวอีกก็ให้เรียกหนูนะ หนูจะมาช่วย" คุณหมออาจินต์สงสัยว่าทำไมเธอเรียกท่านว่าพ่อ พิมพวดีก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อชาติที่แล้วเธอเกิดเป็นลูกของคุณหมอ (ไม่ใช่ชาติที่เพิ่งเสียชีวิตไป) เธอตกน้ำตายตอนอายุ11ขวบ ที่วัดใต้ ส่วนชาติล่าสุด พิมพวดีก็เล่าให้ฟังอย่างละเอียดว่าเธอตายอย่างไร ตายที่ห้องไหน และเป็นอะไรตาย ข้อมูลเหล่านี้ได้รับการจดบันทึกไว้ทั้งสิ้น เพราะคุณหมอจะพูดทวนคำพูดของพิมพวดีทุกคำ


เช้าวันรุ่งขึ้น พยาบาลเอาข้อมูลทุกอย่างทั้งของเด็กอ้วนและที่พิมพวดีพูดไปตรวจสอบกับแผนกทะเบียนของโรงพยาบาลศิริราช ก่อนจะพบว่าทุกอย่างที่จดลงไปนั้นเป็นความจริงทุกประการ ด.ญ.พิมพวดี นามสกุล โหสกุล เป็นอะไรตาย ตายที่ห้องไหน วันที่เท่าไร พ่อแม่ชื่ออะไร ตรงตามที่พิมพวดีพูดไว้ทุกอย่าง ส่วนเด็กอ้วนก็ตายในห้องที่คุณหมอกำลังนอนอยู่จริงๆ ทุกคนจึงรู้แล้วว่า เรื่องที่คุณหมออาจินต์ได้พอกับเด็กทั้งสองเป็นความจริง ไม่ได้ตาฝาด หลักฐานทุกอย่างยืนยันได้

ตั้งแต่นั้นมา เมื่อไรที่หมออาจินต์ปวดศีรษะ ท่านก็จะเรียกพิมพวดี พิมพวดีก็จะมาหาแล้วใช้มือสัมผัสที่ศีรษะของท่าน จนกระทั่งอาการปวดทุเลาลงทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน


วันหนึ่ง คุณหมออาจินต์ก็ถามพิมพวดีถึงสาเหตุที่ทำให้ท่านต้องปวดศีรษะมากมายขนาดนี้ พิมพวดีตอบว่ามันเป็นกฎแห่งกรรมหมออาจินต์ไม่เชื่อ ท่านเถียงท่านทันทีว่าท่านเป็นหมอ ไม่เคยคิดทำร้ายใคร มีแต่จะช่วยชีวิตคนตลอดมา บางรายก็ไม่คิดเงินด้วยซ้ำ พิมพวดีเล่าให้ฟังว่า ไม่ใช่ชาตินี้ เมื่อสมัยรัชกาลที่3 คุณหมอเกิดเป็นราชมัล (คนสอบสวนผู้ต้องหา - ขณะนั้นยังไม่มีการยกเลิกจารีตนครบาล ซึ่งเป็นวิธีการสอบสวนผู้ต้องหาตามกฎหมายตราสามดวง และถูกยกเลิกในปี พ.ศ.2434 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 (ผู้เรียบเรียง))

เหตุการณ์วันนั้น มีชาวบ้านผู้ชายคนหนึ่งร่างกายกำยำล่ำสัน ตัวดำ ผมหยิก ถูกส่งมาพร้อมกับข้อหาฆ่าเด็กตาย แต่เขาปฏิเสธ อัยการจึงส่งตัวต่อให้ราชมัลทำการสอบสวน ซึ่งราชมัลในวันนั้นก็คือคุณหมอนั่นเอง

หลังจากที่สอบถามผู้ต้องหาแล้ว แต่เขาไม่รับสารภาพ คุณหมอจึงลงโทษด้วยการตอกเล็บแล้วสอบสวนไปพร้อมๆกัน นักโทษก็เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่ยังยืนยันในความบริสุทธิ์ว่าเขาไม่ได้ทำ ไม่ได้ฆ่าใคร เมื่อตอกจนครบทุกเล็บ คุณหมอก็จับเขาขึงคาขื่อแล้วใช้เครื่องบีบขมับบีบเข้าไปที่หัว ผู้ต้องหาก็ยังไม่รับสารภาพ เขาบอกว่าเขาไม่ได้ทำ แล้วจะให้รับได้อย่างไร คุณหมอเริ่มไขเครื่องบีบขมับเข้าไปเรื่อยๆ ผู้ต้องหาถึงกับร้องครวญครางจนกระทั่งสลบไป คุณหมอสั่งให้คนเอาน้ำมาราดให้ฟื้น เมื่อเขายังไม่รับสารภาพ คุณหมอก็เริ่มไขเครื่องบีบขมับอีกครั้ง เครื่องบีบขมับบีบแน่นขึ้น แน่นขึ้น จนนักโทษกรีดร้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส และในวินาทีก่อนสิ้นใจ นักโทษก็พูดขึ้นมาว่า "กูจะจองล้างจองผลาญทุกชาติไป!" จากนั้นก็ขาดใจตายไปในที่สุด

หลังจากที่พิมพวดีเล่าให้ฟัง หมออาจินต์จึงรู้แล้วว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตนนั้น คือสิ่งที่ตนเคยทำเอาไว้ก่อนนั่นเอง พิมพวดีบอกต่อว่า พรุ่งนี้แปดโมงเช้าจะมีการผ่าตัดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณหมอ แต่คุณหมอแย้งว่าพรุ่งนี้ไม่มีการผ่าตัด ถ้าจะผ่าตัดก็ต้องมีการแจ้งให้รู้ล่วงหน้า พิมพวดีก็เลยบอกให้รอดูวันพรุ่งนี้ก่อนจะจากไป ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยใจระทึก


แปดโมงเช้าวันรุ่งขึ้น คุณหมอท่านหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชาร์ตผูู้ป่วย เขาบอกกับหมออาจินต์ว่าอาการของคุณหมอไม่ดีขึ้นเลย ทางคณะแพทย์จึงตัดสินใจจะผ่าตัดในวันนี้ และไม่ใช้ยาสลบ เพราะต้องการเปิดศีรษะของคุณหมอออกเพื่อดูว่าเส้นประสาทเส้นไหนมีปัญหา หากใช้ยาสลบ คุณหมอจะไม่รู้สึกตัว ทำให้วินิจฉัยไม่ได้เลยว่าเส้นประสาทเส้นไหนที่อักเสบขนาดหนัก หมออาจินต์เป็นหมอเหมือนกัน ฟังจบก็รู้แล้วว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับศีรษะของตัวเอง


ทันทีที่เข้าไปอยู่ในห้องผ่าตัด พยาบาลเขามาโกนศีรษะแล้วจับคุณหมอขึงแขนขึงขา จากนั้น แพทย์ผ่าตัดก็ใช้มีดกรีดศีรษะกรีดผ่าลงไปเรื่อยๆ เริ่มต้นที่หางคิ้วซ้าย ในบันทึกเขียนไว้ว่าคุณหมอร้องดังยิ่งกว่าควายถูกเชือด เมื่อมีดกรีดไปถึงจุดที่ต้องการแล้ว ก็ค่อยเปิดหนังศีรษะขึ้น แพทย์ผ่าตัดถึงกับต้องฉงนในสิ่งที่เห็น เพราะแทนที่จะเห็นเส้นประสาทตามปกติ กลับพบพังผืดติดอยู่ตามบริเวณหนังศีรษะเต็มไปหมด ด้านหนึ่งแพทย์ก็วินิจฉัยว่า ด้วยความที่ปวดศีรษะมาตลอด แต่ไม่มียาขนานไหนรักษาได้ คุณหมออาจินต์จึงใช้วิธีกำปั้นทุบดิน คือ เอาแอลกอฮอล์ฉีดเข้าไปเลย เพื่อให้ชาบริเวณที่ปวด แอลกอฮอล์ไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายต้องการอยู่แล้ว พอฉีดเข้าไป ร่างกายก็ต่อต้านด้วยการสร้างพังผืดมาปกป้องตัวเอง


หลังจากนั้น เรื่องที่ยากอยู่แล้วกลับยากขึ้นไปอีก เพราะแพทย์ต้องจัดการกับพังผืดเหล่านั้นเสียก่อน หากใครเคยทำกับข้าว คงจะเคยเห็นพังผืดที่เป็นเยื่อขาวๆติดอยู่ตามเนื้อแดง ซึ่งโดยปกติก็ต้องเลาะออกก่อน แต่ถ้ามีโจทย์เพิ่มขึ้นว่าให้เราเลาะได้ แต่ห้ามติดเนื้อแดงโดยเด็ดขาด การทำอาหารในมือนั้นจะเป็นเรื่องที่ยากเลยทันที และอันที่จริงเรื่องนี้ก็ทำไม่ได้เสียด้วย เพราะนี่คือศีรษะของคุณหมออาจินต์ ถ้าเลาะพังผืดออกไม่ดี ก็อาจจะติดเนื้อหัวหรือสมองส่วนไหนหลุดตามมาด้วย


จนเมื่อแพทย์ผ่าตัดลอกพังผืดออกจนหมด จึงเข้าสู่กระบวนการเจาะหัวกระโหลก กะโหลกจะถูกเจาะด้วยขนาดเท่าเหรียญบาทเพื่อให้เครื่องมือแพทย์ผ่านเข้าไปเขี่ยเส้นประสาท คล้ายกับเราถูกมีดบาดอยู่แล้ว หนังเปิดออกให้เห็นเนื้อแดงๆสดๆ หากท่านลองเอาปลายเข็มไปเขี่ยเล่น ก็จะพอนึกภาพออกว่าหมออาจินต์รู้สึกอย่างไร แต่นั่นเป็นเพียงเนื้อแดงธรรมดา ไม่ใช่ประสาทที่เป็นจุดศูนย์รวมความรู้สึก เพราะทุกครั้งที่เขี่ยเส้นประสาทจะกระโดโหยงให้รู้ว่าจุดไหนมีปัญหา


การผ่าตัดเสร็จสิ้นลงหลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง หมออาจินต์สลบไป3วัน ทันทีที่ตื่นลืมตาขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวอย่างหนัก สิ่งแรกที่เรียกหาคือพิมพวดี พิมพวดีเองก็มาในทันทีเช่นกัน มายืนดูคุณพ่ออยู่ข้างเตียง แล้วใช้สัมผัสไปที่แผลผ่าตัดจนกระทั่งคุณหมอค่อยๆคลายจากอาการปวด คุณหมอพูดทั้งน้ำตารินว่า "พ่อหมดกรรมหรือยัง" พิมพวดีหน้าสลดด้วยความสงสาร ก่อนจะบอกว่า "ยังค่ะ" คุณหมอจะต้องผ่าตัดอีก4ครั้ง การผ่าตัดครั้งสุดท้ายจะเสร็จสิ้นในอีก4ปีข้างหน้า


"สิ่งที่พ่อทำได้ดีที่สุดในตอนนี้คือ ทำบุญทำทาน แล้วก็ขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวร สิ่งใดที่เคยพลาดพลั้งทำไป ตอนนี้ก็ได้สำนึกผิดแล้ว...แต่อย่างไรเสีย พ่อก็ยังต้องรับกรรมต่อไป"


ไม่นานหลังจากนั้น พิมพวดีก็มาบอกกับคุณหมอว่าตนจะไปเกิดแล้ว ชาติหน้าเธอจะเกิดเป็นเด็กผู้ชาย และคงไม่ได้พบกันอีก ครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่หมออาจินต์ได้พบกับพิมพวดี

เรื่องราวของเธอยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอีกเยอะ ท่านสามารถไปดาวน์โหลดได้ที่ www.suanyindee.net ในหมวดสื่อธรรมะ เป็นบันทึกที่เขียนโดยคุณหมออาจินต์เอง ทุกคนที่มีชื่ออยู่ในนั้นมีตัวตนอยู่จริงทั้งสิ้น และร่วมกันออกมายืนยันในสิ่งที่คุณหมอเขียน แม้ขณะนี้ท่านจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม แต่บันทึกของท่านยังอยู่เพื่อยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรื่องนี้ นั่นคือเรื่องของกฎแห่งกรรม เป็นกฎของธรรมชาติที่ไม่เคยส่งผลผิดพลาด ไม่มีผลใดไม่มีเหตุที่มา และเหตุที่กำลังทำอยู่จะส่งผลต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน

เป็นบุญเลิศ ผู้มาเกิด เป็นมนุษย์
เป็นชาวพุทธ จิตศรัทธา สถาผล
น้อมธรรมะมาปฏิบัติ ฝึกหัดตน
ทุกทุกคน รู้ได้ชัด ปัจจัตตัง

ขอขอบคุณเนื้อหา จากหนังสือ "ดูจิตชั่วพริบตา" เขียนโดย คุณประเสริฐ อุทัยเฉลิม หน้า61-66
8
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ

ออฟไลน์
นักเตะอบต.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 499
ที่อยู่: 221b Baker Street
โพสเมื่อ: Thu Jan 09, 2014 17:09
[RE: วิญญาณ-การระลึกชาติ-กฎแห่งกรรม]
สำหรับคนที่ไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ หรือไม่มีเวลาว่างมากพอ
จึงขอเสนอเรื่องราวของเด็กหญิงพิมพวดี โหสกุลในรูปแบบเล่าเรื่อง
ผ่านการสัมภาษณ์ของ "รายการตีสิบ" และบทละครสั้น "บันทึกกรรม"



4
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

ออฟไลน์
นักเตะอบต.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 499
ที่อยู่: 221b Baker Street
โพสเมื่อ: Thu Jan 09, 2014 17:10
[RE: วิญญาณ-การระลึกชาติ-กฎแห่งกรรม]
เกร็ดประวัติ เด็กหญิงพิมพวดี โหสกุล



ในชาตินี้ คุณหนูพิมพวดี ได้มาเกิดในครอบครัวของตระกูลโหสกุลบิดา คือ....
นายเสียง โหสกุล และมารดา คือ นางสมพร พัฒนวิบูลย์ โดยมีพี่น้องรวมกัน 5 คน คือ



นายเสียง โหสกุล

1. นายเสรี โหสกุล สมรสกับ นางสาวธนิดา โกมลารชุน
มีบุตร 2 คน คือ นายพีระศักดิ์ โหสกุล และนายสุทธิศักดิ์ โหสกุล

2. นายวัฒนา โหสกุล สมรสกับ นางสาวลินดา สเวนเช่น
มีบุตร และบุตรตรี 2 คน คือ นายแอนดรู โหสกุล และนางสาวเจสสิก้า โหสกุล

3. นายถาวร โหสกุล สมรสกับ นางสาวคัทลียา ขันธทัต
มีบุตร 3 คน คือ นายคธาวุฒิ โหสกุล นายโอฬาริก โหสกุล และนายปองพล โหสกุล

4. นายวันชัย โหสกุล สมรสกับ นางสาวประวิสสร บัวจรูญ
มีบุตรีและบุตร 3 คน คือ นางสาวปริญดา โหสกุล นางสาวรสวรรณ โหสกุล
และนายศิขัณฑ์ โหสกุล

5. เด็กหญิงพิมพวดี โหสกุล (ถึงแก่กรรมตั้งแต่เยาว์วัย อายุได้ 9 ปี 9 เดือน)

คุณเสียง โหสกุล บิดาในชาตินี้ของ เด็กหญิงพิมพวดีฯ ได้เริ่มต้นชีวิตโดยเป็นครูสอนภาษาจีนที่โรงเรียน มีนประสาท มีนบุรี และได้รู้จักกับคุณครูสมพร พัฒนวิบูลย์ ซึ่งเป็นครูสอนภาษาไทย หลังจากที่ได้รู้จักชอบพอกันระยะหนึ่ง จึงได้ประกอบพิธีมงคลสมรสกันในปี พ.ศ. 2482

ทั้งสองจึงได้ลาออกจากเป็นครูเพื่อไปช่วยงานที่บ้านคุณปู่ ซึ่งประกอบกิจการค้าเป็นครอบครัวใหญ่ที่คุณเสียงและภรรยาต้องทำงานหนัก เนื่องจากมีญาติพี่น้องและคนงานที่จะต้องดูแลไม่น้อยกว่า 30 คน ทั้งสองนึกถึงอนาคตที่จะต้องเลี้ยงดูลูกๆ จึงขอแยกครอบครัวออกมาจากบ้านคุณปู่เพื่อทำการค้าขายตามลำพัง เพื่อสร้างฐานะให้มั่นคง โดยมีเงินสดติดตัวมาเพียง 500 บาท ไปอาศัยอยู่กับน้าชายประกอบกิจการขายน้ำมันหล่อลื่น บริเวณตึกแถวข้างวัดสระเกศ ถนนบำรุงเมือง โดยนำเครื่องทองของหมั้นของภรรยาออกขายเป็นทุน

กิจการเริ่มดีขึ้น จึงได้ย้ายกิจการมาอยู่ที่ตึกแถว 2 ชั้นแห่งใหม่ บริเวณรมคลองโอ่งอ่าง หลังภูเขาทอง วัดสระเกศ ในช่วงที่ย้ายไปใหม่ๆ ร้านของคุณเสียงฯ ยังไม่มีชื่อ

แต่เนื่องจากที่ตั้งของร้านอยู่ตรงข้ามกับทางเข้ากุฎีของท่านเจ้าคุณ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ (ภายหลังได้รับโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (อยู่ ญาโณทัย) และเป็นสมเด็จ พระอริยวงศาคตญาณฯ สมเด็จพระสังฆราชญาโณทัยมหาเถระในที่สุด)

คุณเสียง และภรรยา จึงได้มีโอกาสเข้าไปกราบนมัสการท่านอยู่บ่อยๆ และท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ได้ให้ความเอ็นดูแก่ครอบครัวโหสกุลเป็นอย่างมาก ทั้งยังกรุณาตั้งชื่อร้านให้ว่า “เสรีวัฒนา” ซึ่งเป็นการนำชื่อของบุตรชายสองคนแรก มาตั้งเป็นนามมงคล แก่กิจการของครอบครัวตลอดมา

ในปี พ.ศ. 2489 ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สงบลงแล้ว ประมาณ 1 ปี

ครอบครัวโหสกุล ได้ย้ายมาเซ้งตึกแถวสี่ชั้น ที่หัวมุมถนนหลวงกับถนนมิตรพันธ์
ฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ ซึ่งแต่เดิมเป็นที่ตั้งของห้างฝรั่งชาติเยอรมัน

โดยยังคงนำชื่อ “เสรีวัฒนา” มาเป็นชื่อร้านใหม่นี้ด้วย

ในปี พ.ศ. 2493 จึงได้กำเนิดบุตรสาวคนสุดท้อง โดยตั้งชื่อให้เธอว่า พิมพวดี

ในปี พ.ศ. 2503 ความเศร้าโศกครั้งยิ่งใหญ่ได้มาเยี่ยมเยียนตระกูลโหสกุล

โดยบุตรสาวคนเล็กที่ชื่อ พิมพวดี ซึ่งเป็นที่รักของทุกคนในครอบครัวได้เสียชีวิต
เพราะเป็นไข้เลือดออก ที่โรงพยาบาลศิริราช ด้วยวัยเพียง 9 ปี 9 เดือน

ซึ่งก่อให้เกิดความโศกเศร้าเสียใจให้แก่คุณเสียง และคุณสมพร โหสกุล เป็นอย่างมาก เพราะเป็นบุตรีคนเดียวและจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย คุณเสียงฯมีความเสียใจมากถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เห็นรูปของลูกสาวสุดที่รักคราวใดเป็นต้องร้องไห้โฮ

หรือถ้าหากใครเผลอเอ่ยถึงบุตรสาวคนนี้ทีไร คุณเสียงฯ เป็นต้องปล่อยโฮทุกครั้งไป

ในช่วงแห่งความเศร้าโศกเสียใจ ด้วยการจากไปอย่างไม่มีวันกลับขอบบุตรีเพียงคนเดียว ทำให้คุณเสียงฯ เกิดความคิดที่จะต้องสร้างถาวรวัตถุขึ้นเป็นอนุสรณ์

จึงได้ไปเข้าเฝ้าเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี) เจ้าอาวาสวัดมกุฎกษัตริยาราม (ในขณะนั้น) กราบทูลว่า มีความประสงค์จะหาที่ในบริเวณวัดที่เหมาะๆ สร้างศาลาสักหลักหนึ่ง เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ลูกสาว และถวายวัด ไว้สำหรับตั้งศพของบรรดาญาติโยมทั่วไป

ซึ่งท่านได้ให้การสนับสนุน โดยทรงอนุญาตให้รื้อกุฎีหลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ข้างอาคารสำนักงานผลประโยชน์ของวัดเป็นสถานที่ก่อสร้างศาลา

โดยใช้ขื่อว่า “พลับพลาพิมพวดี” ดังที่ปรากฏอยู่จนทุกวันนี้





จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต คุณเสียงฯ บิดาในชาตินี้ของ ดญ.พิมพวดี โหสกุล
ก็ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา เมื่อวันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2544
รวมอายุได้ 84 ปี 11 เดือน 6 วัน





ขอขอบคุณ เนื้อหาในส่วนเกร็ดประวัติเด็กหญิงพิมพวดี โหสกุล
โดย....ดร.พรนพ พุกกะพันธุ์
และ คุณ Dr.slump (Pantip.com) ผู้เรียบเรียง


http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/X3864004/X3864004.html
3
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 15 Nov 2013
ตอบ: 3562
ที่อยู่: เกาะเเห่งหนึ่งในภาตใต้
โพสเมื่อ: Thu Jan 09, 2014 17:12
ถูกแบนแล้ว
[RE: วิญญาณ-การระลึกชาติ-กฎแห่งกรรม]
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ง.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 1260
ที่อยู่: ในซอกตูด
โพสเมื่อ: Thu Jan 09, 2014 17:46
[RE: วิญญาณ-การระลึกชาติ-กฎแห่งกรรม]
เรื่องของกรรมนั้น ละเอียด และ ซับซ้อนมาก เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

ก็ไม่แปลกที่คนเราจะไม่เชื่อ เพราะมันพิสูจน์ไม่ได้

แล้วจะมันพิสูจน์ได้ยังไงละ เมื่อคนที่พิสูจน์ยังหนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น

ก็มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นแหละ ที่จะเข้าใจได้ และหนีมันพ้น
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งเจลีก
Status: You'll never walk alone.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Sep 2013
ตอบ: 1039
ที่อยู่: ฺBKK
โพสเมื่อ: Thu Jan 09, 2014 18:31
[RE: วิญญาณ-การระลึกชาติ-กฎแห่งกรรม]
ผลทั้งหลายจะเกิดขึ้นได้ก็ล้วนแต่ต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้มันเกิดขึ้น ไม่มีหรอกคำว่าโชคร้าย ไม่มีหรอกคำว่าบังเอิญ ไม่มีหรอกคำว่าพรหมลิขิต ทุกอย่างมันมีเหตุมีผลของมัน ที่ทำให้ต้องพบต้องเจอต้องเกิดขึ้น
พระพุทธองค์กล่าวถึงหลักทั่วไปของความสัมพันธ์ไว้ว่า

อิมสฺมํ สติ อิทฺ โหติ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี

อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น

อิมสฺสมํ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี

อิมสฺส นโรชา อิทํ นิรุชฌติ เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ (ด้วย)

(สํ. นิ. 16/64)

เพิ่มเติมได้ที่ http://www.abhidhamonline.org/thesis/paccaya.htm

2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน


ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 7
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Jan 09, 2014 19:28
[RE: วิญญาณ-การระลึกชาติ-กฎแห่งกรรม]
ลงชื่ออ่านก่อน น่ะครัช
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะอบจ.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 09 Dec 2007
ตอบ: 7984
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Jan 09, 2014 19:57
[RE: วิญญาณ-การระลึกชาติ-กฎแห่งกรรม]
จองที่ก่อนนะครัช
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel