Comrades: Almost a Love Story : เถียน มี มี่ 6,205 วันรักเธอดังเดิม
*** บทความต่อไปนี้อาจจะยาวกว่าปกติที่ผมเคยเขียน เพราะกว่าครึ่งเป็นเรื่องราวส่วนตัวที่ทำให้อยากเขียนถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา***
*** บทความนี้และอื่นที่ผมเขียน ผมถือเป็นสมบัติของ SS ฉะนั้นหากมีการนำไปเผยแผ่กรุณาลงที่มาว่ามาจาก Soccersuck ด้วยนะครับ
(มันจะได้ไม่โดนก๊อปกลับมาอีก ๕๕๕)***
Comrades: Almost a Love Story (1996)
เถียน มี มี่ 3650 วันรักเธอคนเดียว
ก่อนอื่นต้องขอกราบสวัสดีปีใหม่สมาชิกทุกท่านนะครับ ช่วงก่อนปีใหม่ผมก็หายหน้าหายตาไปนานพอสมควร ก็ด้วยเหตุว่างานยุ่ง (เหตุผลยอดฮิต)
และก็ด้วยไอ้ความยุ่งนี่แหละทำให้ผมได้ประสบเหตุการณ์ ที่ทำให้นึกถึง Comrades: Almost a Love Story หรือในชื่อไทยว่า เถียน มี มี่ 3650 วันรักเธอคนเดียวขึ้นมา
ครั้งแรกที่ผมได้ดู เถียนมีมี่ ต้องย้อนไป (อีกละ) น่าจะราวๆปี 2539 สมัยเรียน ปวช ปี 3 Comrades: Almost a Love Story
เป็นภาพยนตร์ฮ่องกง จากผลงานกำกับของ ปีเตอร์ ชาน ผู้กำกับหนุ่มลูกครึ่ง จีนปนไทย ที่มีชื่อไทยว่า พี่ "อนุรักษ์"
ซึ่งมาฉายพร้อมกับรางวัลมากมายมหาศาลบานตะเกียง
แต่ส่วนตัวผมไปดู เถียนมีมี่ เพราะเหตุผลเดียวคือ จางม่านอวี้ ขวัญใจของผมนั้นเอง ดูจบออกมาก็เต็มอิ่มครับสมกับรางวัลมากมายที่ได้มา
แต่เด็กหนุ่มอายุยังไมถึง 20 อย่างผมในขณะนั้นก็ไม่ได้อินไปกับตัวละครได้มากมายเท่าไหร่นัก แต่ขนาดไม่อินตอนดูรอบแรกนี้ก็น้ำตาคลอกันเลยทีเดียว
เ
ถียน มี มี่ 3650 วันรักเธอคนเดียว เล่าเรื่องของ "หลี่เสี่ยวจิน" หนุ่มหน้าซื่อจากจีนแผ่นดินใหญ่ผู้เดินทางมาฮ่องกง
โดยหวังที่จะเก็บเงินทองเป็นกอบเป็นกำเป็นแต่งงานกับคนรักสาวสวยในหมู่บ้าน จนกระทั่งได้มาพบกับ "หลี่เฉียว"
สาวน้อยผู้มีความทะเยอทะยานสูง ที่ดูเหมือนจะกร้านโลกโชกโชนกับการต้องใช้ชีวิตอย่างปากกัดตีนถีบ และการวิ่งรอกทำงานหลายอย่างเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตตนเอง
ทั้งสองเริ่มจากความเป็นเพื่อนและเริ่มเกินเลยจนกลายเป็นความรัก แต่เรื่องก็ไม่ได้จบลงแค่นั้น หลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ทำให้ทั้งสองไม่สามารถจะซั่มกันอย่างมีศิลปะได้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นท่านสมาชิกท่านได้ที่เคยมีความรัก กรุณาไปหามาดูกันนะครับได้โปรด
หนังสะท้อนสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้น ซึ่งผมว่ามันเป็นสากลมากๆ คือทุกยุคทุกสมัยมันก็จะมีคนแบบพระเอกและนางเอกของเรานี่แหละ
ที่พยายามสลัดความลำบากออกจากชีวิต และก็เพราะไอ้ความลำบากนี่แหละที่เป็นอุปสรรค์กับทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่ความรัก ฟังดูก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรแปลกใหม่
แต่ก็เพราะไอ้ความธรรดานี่แหละครับที่มันเป็นสากล โครงสร้างเดิมถอดรายละเอียดออก ใส่รายละเอียดใหม่เข้าไปเราก็จะได้หนังเรื่องใหม่
ยกตัวอย่างเช่นในกรณีนี้ เปลี่ยน หลี่หมิง เป็น หม่ำ เปลี่ยน จางม่านอวี้ เป็น อีลำยอง เปลี่ยน ฮ่องกงเป็น กรุงเทพเมืองสวรรค์ เราก็จะได้ภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่ชื่อ "เฉิ่ม"
ผมไม่ได้ว่า "เฉิ่ม" ว่าเป็นการลอกเลียน หรือ มีความรู้สึกแย่กับหนังแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม ผมกลับชื่นชอบตัวหนัง
และชื่นชมพี่ คงเดช จาตุรันต์รัศมี เป็นอย่างมาก เพราะนี่เป็นผลงานที่เรียกว่ามาจากแรงบรรดาลใจไม่ใช่การลอกกันแบบโง่ๆ ดูถูกผู้บริโภคอย่างวงการเพลงในบางประเทศ
ย้อนกลับมาที่เถียนมีมี่ หลังจากผมได้ดูรอบแรกไปแล้ว ก็ทำให้ผมนึกถึงสาวน้อยนางนึงขึ้นมา ซึ่งหล่อนเป็นรุ่นน้องของผมสมัยเรียน ปวช
ผู้ซึ่งมีเบ้าหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับ จางม่านอวี้ อยู่พอควร โดยเป็นอันทราบกันทั้งวิทยาลัยว่าผมชอบสาวน้อยนางนี้
ผมเคยมานั่งคิดว่าจริงๆแล้วผมชอบน้องเพราะน้องเหมือนจางม่านอวี้ หรือผมชอบ จางม่านอวี้ เพราะ จางม่านอวี้ เหมือนน้องกันแน่ !!?
***เรื่องต่อไปนี้ไม่มีเนื้อหาสาระอันใดนอกจากเป็นการเล่าสู่กันฟังเท่านั้นไม่เกี่ยวกับหนังแต่อย่างใด เป็นแค่เรื่องราวส่วนตัวผมเท่านั้น***
แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนขี้อาย(เฉพาะกับคนที่ชอบ) ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่เรียน (ผมปี 2 น้องปี 1) ด้วยกัน ส่วนมากก็จะเป็นการยิ้มให้กันเวลาพบเจอ
ผมมักจะแอบมองน้องบ่อยๆ(จริงๆก็ตลอดแหละ) พอน้องหันมามองแล้วยิ้มให้แค่นั้นก็ฟินแล้ว
จำได้ว่าหลักที่ได้คุยกับน้องแค่ 2 ครั้ง
ครั้งแรก วาเลนไทน์ ปี 2539 ช่วงบ่ายแก่ๆ ผมซื้อพวงมาลัยให้น้อง จำได้แม่นน้องบอกว่า “หนูไม่ใช่ศาลพระภูมินะ” พร้อมหัวเราะลงคอเล็กน้อยพองาม
กลับบ้านไปนอนฝันดีไปหลายคืน
ครั้งที่สอง วันสุดท้ายก่อนปิดภาคเรียน ปี 2540 ซึ่งเป็นวันก่อนจบการศึกษาของผมด้วย ในขณะที่ผมดื่มน้ำอยู่ที่ตู้กดน้ำเย็นริมสนามบอล (ที่เอาไว้เล่นบาส)
น้องเดินมากดน้ำข้างๆ ผมบอกน้อง “พี่ไปแล้วนะ ดูแลตัวเองดีๆนะ โชคดีนะ” ยิ้มแห้งๆให้น้อง แล้วเดินจากมา
นอนฝันร้ายเป็นปี ๕๕๕
เวลาผ่านไปไวเหมือนละครหลังข่าว ห่างหายกันไป 1 ปี ไม่เห็นหน้าตากันเลย แต่ผมก็มีถามไถ่จากเพื่อนคนหนึ่งที่มาเรียนระดับ ปวส ด้วยกันที่วิทยาลัยช่างศิลป์ในขณะนั้น
(
entrance ไม่ติดนะฮ๊าฟฟฟฟ) เพื่อนก็คาบข่าวจากน้องสาวของมันมาบอกเป็นระยะ
ชื่นใจสุดๆตอนได้ยินว่า “น้องมีแฟนแล้ว”
รู้สึกเหมือนมีโพรงว่างปล่าวอยู่กลางหน้าอก โหวงๆไงพิกล
ผมก็ตั้งอกตั้งใจที่จะทำการ เอ็นทรานซ์ เข้ามหาวิทยาลัยศิลปากร คณะจิตกรรม อันเป็นความฝันของผมให้จงได้ โดยมิได้นึกถึงน้องอีกเลย
มีคบหากับสาวๆบ้าง ตามเวลาและโอกาสจะอำนวย
ธันวาคม 2541 หลังประสบความสำเร็จในการสอบเอ็นทรานซ์ และคาดว่าคะแนนที่ได้รับสามารถถีบส่งผมจากย่านลาดกระบังมาร่ำเรียนในระดับอุดมศึกษาแถวท่าช้างได้สำเร็จแล้ว
แต่เสือกเปลี่ยนใจไม่อยากเรียนแล้ว อยากเรียน “ภาพยนตร์” มากกว่า ก็เลยตัดสินใจเอ็นทรานซ์ใหม่อีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 (บ้านเกือบแตก)
หลังตัดสินใจและนั่งฟังมารดา อบรมเตือนสติอยู่ร่วม 10 วัน ผมก็ออกมาเดินเล่นที่งาน ”ถนนคนเดิน” ที่มหาวิทยาลัยศิลปากรกับเพื่อนฝูงที่เรียนอยู่ที่นั่น บ่ายยันค่ำ
เลี้ยงรำ่ลาให้กับการทิ้งความฝันกันดื้อๆของผมทั้งที่อีกไม่นานก็จะสำเร็จแล้วแท้ๆ พอหอมปากหอมคอก็แยกย้ายกันกลับ
ผมเดินเล่นซึมซับบรรยากาศอีกพักก่อนกลับ เดินมาเรื่อยๆจนถึงด้านหน้าประตูด้านวัดพระแก้ว อยู่ๆผมก็นึกถึงน้องขึ้นมา
อาจเป็นเพราะอารมณ์ใจหาย เกิดโพรงในช่องอกเหมือนตอนรู้ว่าน้องมีแฟน
จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อผม ผมฟังไม่ผิดแน่ๆ แม้ไม่ค่อยได้คุยกันแต่ผมจำเสียงนี้ได้ ผมหันไปมองหาต้นเสียง สายตาผมหันเจอสาวน้อยของผมหยุดยืนมองมาทางผมอยู่ ท่ามกลางผู้คนเดินไปมา
น้องไม่ได้ยิ้ม แถมมีสีหน้าตื่นกลัวด้วยซ้ำ น้องเล่าว่ามีคนตาม น้องมาเดินกับเพื่อนตั้งแต่บ่าย มีคนมาจีบ พอแยกย้ายกันกลับก็ประมาณว่า
ไอ้หน้าหมานั่นยังตามอยู่ น้องเดินมาเจอผมก็เลยเรียกผม (เป็นไม้กันหมา)
น้องถามผมว่าไปส่งหน่อยได้มั๊ยน้องกลัว ผมก็โอเคครับ เดินไปเดินมาให้น้องใจเย็นซักพักถามไถ่ความเป็นอยู่กันซักพัก
ผมก็เดินไปส่งน้องขึ้นรถเมล์ ยืนมองรถวิ่งออกไปจนลับตา
ผมกลับบ้านพร้อมคำถามมากมายแบบเด็กน้อยวัยฮอร์โมน เช่น ทำไมไม่ไปส่งน้องที่บ้าน ทำไมไม่ขอเบอร์ อะไรประมาณนี้
อยากกระโดดถีบขาคู่ใส่หน้าตัวเองมากในตอนนั้น ติดว่ามันไม่ถนัดเท่านั้น
ไม่นานผมก็ลืม และดำเนินชีวิตต่อไป เอ็นทรานซ์ใหม่อีกรอบ คะแนนดีมากๆผมลาออกจากวิทยาลัยช่างศิลป์ช่วงปลายปี 2542 เพื่อไปบวช
หลังจากลาสิกขา ช่วงกุมภาพันธ์ 2543 ผมฝาก ส.ค.ส ไปให้น้อง โดยหวังแค่อยากอวยพรให้น้องมีความสุข
มีนาคม 2543 ช่วงหัวค่ำ หนึ่งเดือนหลังส่ง ส.ค.ส ให้น้อง บนรถเมล์สาย 84 ที่ผมนั่งกลับบ้าน โทรศัพท์ PCT
(โทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งพ่วงกับโทรศัพท์บ้านของโทรศัพท์ค่ายเทเลคอมเอเชีย ฟรี!! แหล่มเป็ด)ของผมก็ดังขึ้น เป็นเบอร์แปลกที่ผมไม่คุ้น
เหยดดดดดดด น้องโทรมา !!!!???
โพรงในอกผมกลับมาทันที่ แต่คราวนี้มันแปลกๆ เหมือนมีบางอยู่ในโพรง เต้นระริกด้วยความดีใจ
น้องโทรมาขอบคุณเรื่อง ส.ค.ส ด้วยความดีใจผมจึงตอบน้องไปว่า
“พี่ไม่สะดวก เดี๋ยวโทรกลับนะ” แล้ววางเลย
ผมเป็นคนไม่ชอบคุยโทรศัพท์นานๆ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่คืนนั้นเมื่อถึงบ้านอาบน้ำอาบท่า นั่งทำใจอยู่ครึ่งชั่วโมง ผมโทรหาน้องตอน 3 ได้
คุยกันถึง ตี 5
เรื่องราวมากมายจากไหนไม่รู้อยู่ๆก็เอามาคุยกันได้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน เรื่องต่างๆที่ควรจะได้คุยกันมาตั้งแต่ 5 ปีที่แล้วก็ถูกยกยอดมาคุยกันวันนั้น
หลังจากวันนั้นเราก็คุยกันมาเรื่อยๆ แต่น้องก็มีแฟนอยู่นะครับ เพียงแต่ห่างๆกัน แฟนน้องเจ้าชู้ซึ่งแฟนน้องก็เป็นรุ่นพี่ผมตอนเรียน ปวช แล้วเค้าดันเรียนลาดกระบังเหมือนผมแต่คนละคณะ
น้องก็บ่นๆเรื่องแฟนบ้าง ไม่มากนัก จนกระทั่งผมเริ่มพาน้องเข้าไปที่คณะ พาไปถ่ายงานส่งอาจารย์บ้าง และแล้ว
น้องก็เลิกกับแฟน !!?
แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา หนำซำ้ผมยังห่างๆน้องออกมาด้วยซ้ำ ด้วยเหตุหลายอย่างทั้งเรื่องเรียน แม่ผมป่วย
เราก็ห่างๆกันไปซะงั้น เจอกันบ้างเป็นระยะ เพราะสุดท้ายน้องก็มาเรียนที่สถาบันเดียวกัน เฉียดไปเฉียดมาหลายครั้ง เหมือนหนียังไงก็เจอกัน
ถึงขนาดผมไปทำงานกับอาจารย์ผม มีเด็กใหม่เข้ามาทำงาน เริ่มสนิทกันมารู้ทีหลังว่ามันเป็นแฟนกับน้อง !!!
จนกระทั่ง 3-4 หลังมานี่น้องหายไปเลย ทั้งที่ผมพยายามตามหาทุกทาง ยังไงก็ไม่เจอ
จนผมแต่งงาน
ครอบครัวก็มีความสุขดี มีลูกสาวที่น่ารักมากๆหนึ่งคน (รับว่ามีแว๊บนึงอยากตั้งชื่อเล่นลูกเป็นชื่อน้อง๕๕๕)
ปลายปีที่แล้ว 30 ธันวาคม 2556 ผมไปธุระที่ร้านคอมฯ ณ ห้างแห่งนึง เป็นร้านเล็กๆที่มีประตูทางเข้า 2 ทางอยู่คนละด้านกัน
ผมและน้องเปิดประตูคนละบานเข้าไปในร้านพร้อมๆกัน เจอกันกลางร้านพอดี
น้องมากับลูกสาววัย 4 ขวบ และสามีครับ
รอยยิ้มที่มีให้กันยังเหมือนเดิม แต่ความขัดเขินหายไปหมดแล้ว กลายเป็นการคุยเรื่องลูกกันมากกว่า (ลูกผม ขวบห้าเดือน)
คืนวันที่ 31 ผมก็ได้โอกาสที่ผมอยากทำมานานแล้ว นั่นคือ การอวยพร ”ขอให้น้องสาวของพี่และครอบครับมีความสุขตลอดไป”
โพรงในอกของผมหายไปแล้ว เพราะครอบครัวของผมมาเติมเต็มให้
ผมกลับไปย้อนดูความเป็นไปของน้องตลอดช่วงที่หายไป ดูไปก็ยิ้มไป ผมดีใจที่เห็นน้องมีความสุขจริงๆ
การพบกับน้องทำให้ผมนึกถึง Comrades: Almost a Love Story ขึ้นมา
ผมว่ามัน Almost a Love Story จริงๆ มันต่างจากหนังตรงรายละเอียดเท่านั้น
เพียงแต่เรื่องของผมก็คงจะเป็น
“ 6,205 วันรักเธอดังเดิม ”
เท่านั้นเอง ๕๕๕