History of Oasis
โอเอซิส เป็นวงดนตรีร็อคจาก แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ นำโดย 2 พี่น้อง ตระกูล แกเลเกอร์ ที่ชื่อ โนล มือกีตาร์และนักแต่งเพลง(คนขวาในรูป)และน้องชาย เลียม เป็นนักร้องนำ(คนซ้ายในรูป) ทั้งคู่มาจากเบอร์นิจเมืองชนบทของแมนเชสเตอร์ ปัจจุบันวงโอเอซิสได้แยกวงกันไปแล้ว สาเหตุมาจากปัญหาขัดแย้งระหว่างสองพี่น้องโนลและเลียม ในปี2009 ซึ่งทั้งคู่ได้แยกย้ายไปทำงานเพลงของแต่ละคน โดยเลียมได้นำสมาชิกวงโอเอซิสที่เหลืออยู่ตั้งวงใหม่ขึ้นมาชื่อ Beady Eye ส่วนโนลก็สร้างวงใหมคือ Noel Gallagher's High Flying Bird เช่นกัน
แรกเริ่มเดิมทีเพื่อน ๆ ของเลียมที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน คือ พอล "โบนเฮด" อาร์เธอร์ส (มือกีตาร์,คนที่สองจากซ้าย) , พอล แม็คกวีแกน (มือเบส,คนที่สองจากขวา) , และโทนี่ แม็คแครอล (มือกลอง,คนแรกจากซ้าย) ตั้งวงดนตรีอยู่แล้วชื่อ Rain เลียม (คนตรงกลาง) เข้าวงมาทีหลังเมื่อปี 1990 ในฐานะนักร้องนำ พอเข้าวง เลียมก็แนะให้เปลี่ยนชื่อวงเป็น โอเอซิส ตามชื่อเวนิว Oasis Leisure Centre ในเมืองสวินดอน จากในโปสเตอร์ของวง Inspiral Carpets ที่ติดอยู่ในห้องนอนเขา จนกระทั่งวันหนึ่ง โนล (คนแรกจากขวา) กลับมาบ้านในแมนเชสเตอร์ หลังจากไปทำงานอยู่กับวง Inspiral Carpets อยู่หลายปีในฐานะกีตาร์ เทคนิเชี่ยน เลียมก็ชวนเขามาเป็นผู้จัดการวง จนกระทั่งวง Inspiral Carpets ปลดทีมงานออกหมด ตอนปี 1991 เลียมจึงชวนโนลมาเป็นมือกีตาร์ให้ ไม่ใช่ผู้จัดการ
โอเอซิส ขึ้นเวทีครั้งแรกที่บอร์ดวอล์คในแมนเชสเตอร์ เดือนตุลาคมปี 1991 แรกๆโนลไม่ได้จริงจังกับทางวงเท่าไร จนมีวันหนึ่งต้องไปหาหมอ ซึ่งหมอสั่งให้เลิก สูบกัญชา พอเลิกสูบสมองโล่ง จึงได้มีความคิดในการแต่งเพลง ออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น Columbia , Rock 'N Roll Stars , Whatever ฯลฯ
31 พฤษภาคม 1993 โนล ได้ข่าวว่า อลัน แม็คกี ที่ตอนนั้นเป็น ประธานบริษัทแผ่นเสียง Creation Records จะไปดู คอนเสิร์ตที่ คิง ทุตส์ ไนท์คลับในกลาสโกว์ใน คืนนั้น เขาพา โอเอซิส กับลูกทีมรวม 17 คน ขึ้นเวทีที่นั่นโดยที่ไม่มีการจองคิวล่วงหน้า กับโปรโมเตอร์ ซึ่งโปรโมเตอร์ที่มีบอดี้การ์ดอยู่แค่ 2 คนเลยจำใจยอมให้ โอเอซิสขึ้นเวทีครึ่งชั่วโมง อลัน ประทับใจในการเล่นครั้งนี้ จึงให้โอเอซิส มาเซ็นสัญญา ทันทีด้วยสนนราคา 60,000 ปอนด์
11 เมษายน 1994 Oasis มีซิงเกิ้ลแรก Supersonic ที่ออกมาดีสมราคาคุย เป็นที่ชื่นชอบของนักวิจารณ์ทันที ถึง 2 พี่น้องกัลเลเกอร์จะชอบให้สัมภาษณ์ในลักษณะขี้คุยก็ตาม แต่ดูเหมือนว่ายิ่งพวกเขาพูดทับถมศิลปินรายอื่นมากเท่าไหน โอเอซิส ก็ยิ่งเป็นที่ชื่นชอบและเป็นที่รู้จักมากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่ซิงเกิ้ลที่2 อย่างเพลง Shakermaker ก็ประสบความสำเร็จอย่างดี ซิงเกิ้ลที่ 3 Live Forever ออกตามมายก่อนอัลบั้มแรกวางแผง 1 เดือน เป็นเพลงฮิต ในอังกฤษได้อีกเหมือนเดิม เมื่อ Definitely Maybe อัลบั้มแรกของพวกเขาออกขายเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม1994 ก็เข้าอันดับ 1 ทันทีและกลายเป็นอัลบั้มแรกของศิลปินหน้าใหม่ที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ วงการเพลงของอังกฤษ ค้างคาอยู่ใน Top 20 ถึง 18 เดือน เขย่าวงการเพลงร็อกอังกฤษอย่างที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน ซิงเกิ้ลเดี่ยว Whatever ที่ไม่ได้นำมารวมในอัลบั้มชุดไหนเลย ของพวกเขาขึ้นถึงอันดับ 3 ในอังกฤษช่วงคริสต์มาสปี 1994 เป็นการส่งท้ายปีไปอย่างสวยงาม ในปีนั้นเองก็ได้เกิดปรากฏการณ์ของความคลั่ง ไคล้ Oasis กันขนานใหญ่ที่อังกฤษอย่างที่ไม่เคยมีวงไหนทำได้มาก่อน
ปี 1995 เริ่มต้นปีด้วยความสำเร็จ โอเอซิส ได้รับรางวัล Best Band, Best New Band และ Best Single (จากเพลง Live Forever) จาก NME Brat Awards ตามมาด้วยการคว้ารางวัลสำคัญ Best Newcomer จาก BRIT Award ในเดือนต่อมา พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามจากการทัวร์คอนเสิร์ต บัตรถูกขายหมดเกลี้ยงในทุกโชว์ในอังกฤษ วงจึงได้หันไปเน้นโปรโมชันในตลาดอเมริกา และกลายเป็นขวัญใจ MTV และสถานีวิทยุโมเดิร์นร็อกของอเมริกา มีเพลงฮิตอย่าง Live Forever กับ Supersonic ในที่สุดอัลบั้มDefinitely Maybe ก็ได้แผ่นเสียงทองคำในสหรัฐ โอเอซิส ประสบความสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับความสัมพันธ์ ของสมาชิกในวง โดยเฉพาะ 2 พี่น้อง โนล ไม่พอใจที่ เลียม สปอยล์มากชอบเดินออกจากเวทีคอนเสิร์ตไปเฉย ๆ ถ้าเกิดไม่สบอารมณ์ขึ้นมา มีครั้งหนึ่งหลังจากที่โนลเพิ่งแต่งเพลง Don't Look Back In Anger กับ Wonderwall เสร็จใหม่ๆ โนลบอกว่าเลียมมีสิทธิร้องแค่เพลงเดียว อีกเพลงเขาจะร้องเอง เลียมฟังแล้วหงุดหงิดอารมณ์เสียมากถึงกับทำลายข้าวของ
14 เมษายน 1995 ก่อนหน้าซิงเกิ้ล Some Might Say ออกขาย 1 วัน โทนี่ แม็คแครอล มือกลองก็ถูกไล่ออกจากวง หลังจากแตกคอกับ เลียม ในบาร์ที่ปารีส อลัน ไวท์(รูปขวาสุด)เข้ามาแทนที่ในวันที่ 4 พฤษภาคม 1995 เพลง Some Might Say กลายเป็นซิงเกิ้ลอันดับ 1 ในอังกฤษเพลงแรกของ โอเอซิส
ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่วางขาย ความสำเร็จของเพลงนี้สร้างปรากฏการณ์ทำให้ทุกซิงเกิ้ลก่อนหน้านี้ย้อนกลับ เข้าอันดับในชาร์ทเพลงอินดี้ของอังกฤษอีกครั้ง เดือนตุลาคมปีเดียวกัน Oasis ออกอัลบั้มที่ 2 ชื่อ (What's The Story) Morning Glory? หลังจากใช้เวลาบันทึกเสียงแค่12วันเท่านั้นขึ้นถึงอันดับ 1 ทันทีที่ออกจำหน่ายในอังกฤษและกลายเป็นอัลบั้มที่ขายได้เร็วที่สุด ในอังกฤษ นับตั้งแต่อัลบั้ม Bad ของ ไมเคิล แจ็คสัน เคยทำไว้ในปี 1987 ว่ากันว่าในช่วง สัปดาห์แรกที่ออกขาย จะมีคนซื้ออัลบั้มชุดนี้ 1 คนทุก ๆ 30 วินาที
ปี 1996 โอเอซิส ประสบความสำเร็จอย่างสูง อัลบั้ม (What's The Story) Morning Glory? ของพวกเขาขายได้ถึง 20 ล้านแผ่น มีผลงาน Top 10 ทั้งในยุโรปและเอเชีย ในเดือนสิงหาคม 5% ของคนทั้งเกาะอังกฤษ (250,000 คน) เข้าคิวยาวควัก กระเป๋าซื้อบัตรคอนเสิร์ตราคา 22 ปอนด์ครึ่ง เพื่อมาดู โอเอซิส ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตกลางแจ้ง 2 รอบที่ Knebworth ทำสถิติเป็นคอนเสิร์ตกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษ ว่ากันว่ามี ผู้ต้องการจับจองตั๋วมากกว่า 2 ล้านคน!! นอกจากนี้วงยังได้รับการเสนอชื่อรางวัล Brit Awards ถึง 6 รางวัล และกวาดไปได้ 3 รางวัล นั่นคือ Best Band, Best Album (จากอัลบั้ม What's the Story) Morning Glory) และ Best Video (จากเพลง Wonderwall) เดือนเมษายนปีนั้น Oasis ได้ขึ้นปกนิตยสารดังอย่าง Rolling Stone ของอเมริกา ซึ่งเป็นการบอกให้โลกได้รับรู้ว่าพวกเขามาแล้ว แต่ Oasis ก็ไม่สามารถแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวในอเมริกา ทั้งที่สามารถคว้ารางวัลแผ่นเสียงทองคำขาวถึง 5 แผ่น ซิงเกิ้ล Wonderwall ก็ขึ้นไปถึง Top 10 อาจเป็นเพราะคนอเมริกันไม่นิยมนิสัย Bad Boy ของ Oasis ไม่ว่าจะเป็นอาการถุยน้ำลายของเลียมบนเวทีงานแจกรางวัล MTV ที่นิวยอร์กใน เดือนกันยายน 1996 หรือการขว้างขวดเบียร์ใส่คนดู ซึ่งก็ของเลียมอีกเหมือนกัน นอกจากนี้ 2 พี่น้องยังตกเป็นข่าวซุบซิบตามหน้าหนังสือประจำ โดยเฉพาะเมื่อตอนที่ โอเอซิส ถอนตัวจากการทัวร์คอนเสิร์ตที่อเมริกาในวันที่ 13 กันยายน 1996 อย่างกะทันหัน ก่อนขึ้นเวทีแค่ 3 ชั่วโมงเมื่อโนลเป็นฝ่ายเดินออกจากคอนเสิร์ตเองบ้าง ทั้งที่มีแฟนเพลงรอดูอยู่กว่า 5,000 คนที่ชาร์ลอต ฮอร์เน็ทส์ เทรนนิง เซ็นเตอร์ อย่างไรก็ตาม ภายในสิ้นปีนั้นเอง Oasis กลายเป็นวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษและของโลก สมกับ ตำแหน่งวงดนตรีร็อกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดและถูกยกให้เป็น เดอะ บีทเทิลส์ ของยุค 90
อัลบั้ม Be Here Now และ The Masterplan ที่คลอดออกมาในปี 1997 และ 1998 ตามลำดับประกอบไปด้วยเพลงหน้า B ระดับคุณภาพหลายต่อหลายเพลง
9 สิงหาคม1999 ระหว่าง บันทึกเสียงอัลบั้มชุดที่4 โบนเฮ้ด ก็ออกจาก Oasis โดยให้เหตุผลว่าอยากมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ตามมาด้วย พอล แมกเกวียนในวันที่ 26 สิงหาคม 1999 แต่ 2 พี่น้องก็มีสมาชิกใหม่ มาเสริมบารมีเป็นถึง แอนดี้ เบลล์ อดีตมือกีตาร์ของคณะ Ride ที่มาเข้าวงเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 1999 แต่มาเล่นเบสให้ Oasis ส่วนมือกีตาร์ได้ เก็ม อาร์เชอร์ อดีต Heavey Stereo มาแทน ปลายปี อลัน แม็คกี ผู้ค้นพบ Oasis ลาออกจากตำแหนงประธาน Creation Records ต้นสังกัดของ Oasis เพื่อตั้งสังกัดใหม่
5 มกราคม 2000 โอเอซิส ตั้งบริษัทแผ่นเสียงของตัวเอง Big Brother อัลบั้มแรกในสังกัดคือ Standing On The Shoulder Of Giants อัลบั้มชุดที่ 4 ของ Oasis วางขายเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษได้เช่นเคย พร้อมกับซิงเกิ้ลฮิตอย่าง Go let it out! ถึงจะเป็นงานที่ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบ เต็มไปด้วยซาวนด์เอฟเฟกต์และไซคีเดลิกต่างจากสมัยรุ่งโรจน์ก็ตาม แต่เลียมโชว์ฝีมือการแต่งเพลงครั้งแรกในเพลง Little James เขาแต่งให้ เจมส์ ลูกชายของ แพ็ตซี่ ภรรยาของเขา
โอเอซิสออกทัวร์ยุโรปท่ามกลางกระแสข่าวว่า 2 พี่น้อง ไม่กินเส้นกันหนักข้อขึ้นทุกวันจนกระทั่งในวันที่ 24 พฤษภาคม โนล เอือมพฤติกรรมน้องชายมาก(เมาแล้วพาล) ถึงกับทิ้งการทัวร์Barcelonaมากลางคันและประกาศว่าจะไม่ออกทัวร์นอกเกาะ อังกฤษอีกต่อไป โอเอซิส ตกอยู่ในภาวะวิกฤติถึงขั้น 2 พี่น้องไม่ยอมให้สัมภาษณ์ร่วมกัน จนหลายคนเกรงว่าจะถึงกาลอวสาน วงจึงได้ออกอัลบั้มแสดงสด Familiar To Millions ซึ่งเป็นบันทึกการแสดงสดที่สนามเวมบลีย์ต่อหน้าคนดูกว่า70000 คน มาขัดตาทัพในเดือนพฤศจิกายน สามารถไต่ขึ้นอันดับ 5 ที่อังกฤษ จากนั้น โนล ก็ตั้ง สังกัดแผ่นเสียง ของตัวเองขึ้นมาอีกเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2001แต่สถานการณ์ก็คลี่คลายขึ้นในที่สุดหลังจากที่ โนล และ เลียม ต่างก็หย่ากับภรรยาของ ตัวเอง ข่าวว่าภรรยาของทั้งคู่ต่างก็ไม่ชอบขี้หน้าซึ่งกันและกัน แถมยังไม่ชอบพี่น้องของสามีตัวเองด้วย 2 พี่น้องหันหน้ามาคืนดีกันเหมือนเดิม 15 เมษายน 2002 Oasis ออกซิงเกิ้ลแรกในรอบเกือบ 2 ปี The Hindu Times เป็นการย้อนกลับไปหาซาวด์เก่าๆสมัยอัลบั้มแรก ขึ้นถึงอันดับที่ 1 ทันทีในอังกฤษ ซิงเกิ้ลที่ 2 เป็นเพลงบัลลาดช้า ๆ Stop Crying Your Heart Out ปลายเดือนมิถุนายนกลายเป็นเพลงปลอบขวัญ แฟนฟุตบอลอังกฤษที่พลาดแชมป์ เวิร์ลด์คัพ
ในช่วงปี 2004 อลัน ไวท์ มือกลองของวงได้ขอลาออก หลังจากนั้นโอเอซิสก็ไม่มีมือกลองประจำวงที่มีการประกาศชื่ออย่างเป็นทางการอีก โดยในปีนี้โอเอซิสได้วางแผงอัลบั้มที่6ของพวกเขา Don't Believe the Truth ซึ่งนับว่าเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ (What's The Story) Morning Glory? จนสื่อมวลชนอังกฤษ พากันขนานนามว่า Return to Form ด้วยซาวนด์ดิบๆในรูปแบบแปลกใหม่ ประกอบไปด้วยเพลงซิงเกิ้ลฮิตอย่าง Lyla , The Importance of Being Idle และ Let there be love อันดับ 1และ2 ใน Uk Chart ตามลำดับ
ปี 2006 อัลบั้มรวมฮิต Stop the Clocks ที่เป็นอัลบั้มรวมเพลงที่ดีที่สุดจำนวน 18 เพลง จากผลงานทั้ง 12 ปี จากการคัดเลือกของโนล นับว่าเป็นอัลบั้มที่น่าสะสมเป็นอย่างมาก ปลายปี โนลและเก็มได้ออกมินิทัวร์อคูสติกเพื่อโปรโมตอัลบั้มในหลายๆที่ทั่วโลก และในปี 2007 ทางวงได้ออกจำหน่ายหนังเรื่อง Lord Don't Slow Me Down ซึ่งเป็นหนังสารคดีกึ่งชีวประวัติของวง
พฤษภาคมปี 2008 โอเอซิสวางแผนอัลบั้มที่ 7 ของพวกเขาในชื่อ Dig Out Your Soul โดยมีซิงเกิ้ลแรกคือ The Shock Of Lightning ตามมาด้วย Falling Down และ I'm Outta Time
ในการทัวร์ของอัลบั้ม Dig Out Your Soul ในเดือนสิงหาคม ปี 2009 ที่ปารีส ได้เกิดการปะทะมีปากเสียงระหว่างสองพี่น้องแกเลเกอร์ที่หลังเวที โดยมีรายงานว่าเลียมถึงกับทุ่มกีต้าร์ของโนลด้วย ซึ่งผู้จัดการวงได้ออกมายกเลิกการแสดงที่กำลังจะเกิดขึ้นและขอโทษผู้ชมที่มารอดูเป็นจำนวนมาก รวมถึงการประกาศยกเลิกการทัวร์ยุโรปทั้งหมด ซึ่งหลังจากนั้นสองชั่วโมง โนลได้ออกแถลงการณ์ผ่านเวบไซต์ของวงว่า เขาได้ลาออกจากโอเอซิสแล้ว เพราะเขาไม่สามารถทำงานร่วมกับเลียมได้อีกต่อไป และกล่าวขอโทษต่อแฟนๆของโอเอซิส ซึ่งนับว่าเป็นจุดจบของวงร็อคมหาอำนาจแห่งเกาะอังกฤษที่มาประวัติยาวนานกว่า 15 ปี
หลังจากการแยกวง ในปี 2010 ได้มีการออกอัลบั้มรวมซิงเกิ้ลอีก 1 อัลบั้มคือ Time Flies
ปัจจุบันเลียมยังคงเป็นผู้นำสมาชิกโอเอซิสที่เหลือและขับเคลื่อนวงต่อไป โดยเปลี่ยนชื่อจาก โอเอซิส มาเป็น บีดี้อาย (Beady Eye) ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมดของโอเอซิส คือ เลียม แกเลเกอร์,เก็ม อาร์เชอร์,แอนดี้ เบล และ คริส แชร็อค (มือกลองที่เข้ามาในช่วงปลายของโอเอซิส) ซึ่งออกอัลบั้ม Different Gear ,Still Speeding ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2011 ส่วนโนล แกเลเกอร์ก็ได้ออกผลงานเดี่ยวของตัวเอง คือ Noel Gallagher's High Flying Birds ในเดือนตุลาคม ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีกว่าบีดี้อายของเลียม โดยอัลบั้มของเขาขายได้ถึง 55,000 ก็อปปี้ในสองวันที่วางจำหน่าย
ความสัมพันธ์ของสองพี่น้อง
ระหว่างที่สองพี่น้องแกลลาเกอร์และสมาชิกวง โอเอซิส ไปทัวร์คอนเสิร์ตที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2537 เลียมได้เปลี่ยนแปลงเนื้อเพลงของโนลมีเจตนาเพื่อที่จะด่า คนอเมริกา และยั่วโมโหโนล เกิดการเผชิญหน้าของทั้งสองคนทำให้มีการปาเก้าอี้ใส่กันและการทะเลาะวิวาท โนลถอนตัวออกจากทัวร์ในภายหลัง
ระหว่างการบันทึกเสียงอัลบั้ม "(What's the Story) Morning Glory?" สองพี่น้องทะเลาะวิวาทกันอีกครั้ง รุนแรงถึงขั้นใช้ไม้คริกเกตเป็นอาวุธ เนื่องจากเลียมได้ชวนทุกคนที่ผับท้องถิ่นมาที่สตูดิโอบันทึกเสียง ขณะที่โนลกำลังทำงานอยู่
ในปี พ.ศ. 2552 ก่อนที่ โอเอซิส จะยุบวง โนลได้บรรยายลักษณะของเลียมไว้ว่า "หยาบคาย หยิ่งยโส นักเลงและขี้เกียจ เขาเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจที่สุดที่ผมเคยพบ เขาก็เหมือนกับส้อมในโลกของซุป"
ฟางเส้นสุดท้ายระหว่างเลียมและโนลก็มาถึง เมื่อวงได้ไปแสดงคอนเสิร์ตที่ปารีส เนื่องด้วยความบาดหมางของทั้งสองคนที่มีอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่คอนเสิร์ทจะเริ่ม ทั้งสองทะเลาะวิวาทกันอีกครั้ง เลียมได้ทำลาย กีต้าร์ ของโนล ส่งผลให้โนลประกาศแยกตัวจากวง โอเอซิส ในที่สุด
แกลลาเกอร์ กล่าวว่า เขาไม่ค่อยได้พูดคุยกับพี่ชายนักและแทบที่จะไม่มีความสัมพันธ์กันเลย ระหว่างทัวร์ครั้งสุดท้ายโนลและเลียมพูดคุยกันซึ่งๆหน้าตอนอยู่บนเวทีเท่านั้น
สำหรับความสัมพันธ์ในทางที่ดีของเขากับโนล เลียมเคยโชว์สัญญาณของการประนีประนอมกับพี่ชาย เมื่อถูกถามว่า "ใครเป็นผู้นำวงที่ดีที่สุด" เลียมตอบว่า "โนล กัลลาเกอร์ อะไรทำให้เขาเป็นผู้นำวงที่ดีนะเหรอ? ทำตัวดีและไม่โดดโหยงเหยงไปมาเหมือนคนบ้า"
ปี พ.ศ. 2555 สามปีหลังจากที่แทบจะไม่ได้สื่อสารกับพี่ชายเลย มีการเปิดเผยว่าทั้งสองคนได้สื่อสารกันผ่านข้อความทางโทรศัพท์อย่างเป็นมิตร หลังจากที่ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี ชนะพรีเมียร์ลีก แหล่งข่าววงในของสองพี่น้องกล่าวอีกว่า "ทั้งสองคนตื่นเต้นและมีความสุขมากๆ หลังจากที่ แมนเชสเตอร์ซิตีชนะ พวกเขาส่งข้อความทางโทรศัพท์ถึงกันและกันในที่สุดพวกเขาก็ลดความคุกรุ่นลงไปและเริ่มติดต่อกันบ้างผ่านข้อความทางโทรศัพท์" หลังจากนั้นทั้งสองคนก็มาร่วมงานปาร์ตี้ของเพื่อนที่กรุง ลอนดอน ตามคำบอกเล่าของโนล ตอนแรกปาร์ตี้เป็นไปได้ด้วยดีแต่จบลงด้วยการเถียงกันของทั้งคู่ เพราะโนลปฏิเสธที่จะรวมวง โอเอซิส ใหม่ภายในปี พ.ศ. 2558
วง Oasis มีคู่อริเยอะหรือไม่ ??? รวบรวมประโยคเด็ดๆของสองพี่น้อง gallagher
รวมคำพูด(ด่า)ของพี่เลียม ดูจากวาทะที่แกพูดก็น่าจะทราบครับว่าคู่อริต้องมีเป็นร้อย!
วาทะเหลือเชื่อของ เลียม กัลลาเกอร์
พูดถึงเทศกาลดนตรี Glastonbury
“ฉันโครตเกลียด Glastonbury เลยว่ะเพื่อน ฉันมาที่นี่ก็เพื่อเงินเท่านั้น” (2004)
พูดถึงวง Scissor Sisters
“ไอ้พวกตัวตลกต่อขา มาดูฉันยังสนุกกว่าดูไอ้พวกห่วยแตกพวกนั้นตั้งเยอะ” (2005)
ความหลงตัวเอง
“เวลา ฉันเศร้า ฉันก็เศร้าไม่นานหรอก แค่ลุกไปส่องกระจกฉันก็หายเศร้าแล้ว ก็คนอะไรทำไมมันหล่อจังวะ แล้วฉันก็จะหลั่นล้าเหมือนเดิม” (2006
พูดถึงวง Franz Ferdinand
“ก็ ดูไอ้นักร้องนำสิ(Alex Kapranos) กับไอ้นักร้องวง Right Said Fred ดูดีๆมันคนเดียวกันชัดๆ แค่ลดความอ้วนแล้วก็ปลูกผมลงไปเท่านั้นเอง” (2005)
พูดถึง Billie Joe Armstrong (Green Day)
“ไสหัวไปไกลๆเลย ฉันไม่ถูกชะตามันว่ะ ฉันไม่ชอบหัวมัน” (2009)
พูดถึง La Roux
“ยัยเนี่ยอ่ะหรอ ไม่มีทางว่ะ ดูมือหล่อนสิ ใหญ่อย่างกะผู้ชาย” (2009)
พูดถึง Chris Martin (Coldplay)
“หมอ นี่มันดูเหมือนพวกคุณครูสอนภูมิศาสตร์ แล้วเป็นบ้าอะไรถึงชอบเขียนข้อความเกี่ยวกับไอ้ Free Trade ไว้ตามตัว คราวหลังถ้ามันอยากจะเขียนอะไร บอกฉัน ฉันจะให้กระดาษกับปากกา ไอ้พวกเด็กนักเรียนเอ๊ย” (2006)
พูดถึงการรียูเนี่ยนของวง Blur
“ถูกใจฉันมากเลยว่ะ เพราะมันไม่มีวงไหนจะห่วยไปกว่า Blur อีกอย่าง ฉันเบื่อกับการนั่งด่าไอ้พวก Kaiser Chiefs แล้วด้วย” (2008)
พูดถึง Pete Doherty (Babyshambles) กับ Tom Chaplin (Keane)
“ไอ้เด็กไฮโซพวกนั้นมันเล่นยาเป็นซะที่ไหน พวก:-)อ่อนหัดจะตาย แค่เล่นไปนิดเดียวก็รีบแจ้นเข้าสถานบำบัดกันแทบไม่ทัน” (2006)
พูดถึง Robbie Williams
“หมอนี่:-)โครตแหล ทำอัลบั้มห่วยๆออกมา เพื่อขอให้ทุกๆคนยกโทษให้ ไอ้ห่วยเอ๊ย!” (2007)
พูดถึง Bloc Party
“พวกมันทำให้ฉันนึกถึงไอ้พวกวงดนตรีตามงานประกวดดนตรีในมหา’ลัย” (2005)
พูดถึง Jack White (The White Stripes)
“วง The White Stripes น่ะหรอ? ใส่เนคไทเด็กนักเรียนตอนเอ็งอายุ 24 เนี่ยนะ? ปัญญาอ่อนว่ะ” (2002
พูดถึงใครบางคนที่เขาอยากจะจับมาแขวนคอ
“ฉัน อยากจะจับไอ้ Robbie Williams มาแขวนคอให้ตายบนเวทีคอนเสิร์ตเลย หมอนี่ทำอะไรให้ฉันโกรธแค้นน่ะหรอ? ไม่มีเลย ฉันแค่อยากจะแขวนคอมันเฉยๆ ” (2002)
พูดถึง Pete Doherty
“รู้มั๊ยว่า คำว่า Libertine หมายความว่าอะไร? มันหมายถึง อิสรภาพยังไงล่ะเพื่อน! ป่านนี้หมอนั่นคงกำลังนั่งฉีดผงอยู่หัวมุมถนนที่ไหนซักแห่งกับเพื่อนใน จินตนาการของมัน แบบนั้นฉันว่ามันไม่เห็นจะอิสรภาพอะไรเลย มันน่าทุเรศจะตาย” (2005)
พูดถึงวง Coldplay กับ Radiohead
“เปล่า ฉันไม่ได้เกลียดพวกมัน ฉันไม่เคยหวังว่าจะให้พวกมันรถคว่ำตาย ฉันก็แค่คิดว่าแฟนเพลงของพวกมันน่าเบื่อ แล้วก็น่าเกลียด แล้วก็ดูไม่เห็นจะมีความสุขอะไรตรงไหนเลย เวลาฟังเพลงพวกมันอยู่น่ะ” (2008)
ข่มไอ้หนู Tom Clarke วง The Enemy เสียอยู่หมัด
“แกอยากจะไปต่อหรือแกอยากจะจบอาชีพลงแค่นี้วะ? ไอ้เด็กเมื่อวานซืน” (2009)
รวมวาทะของ โนเอล กัลลาเกอร์
พูดถึงการเป็นอดีตเด็กยกเครื่อง
“ถ้า ให้นึกกลับไปถึงวันเก่าๆพวกนั้นน่ะหรอ นั่นละวันที่ดีที่สุดในชีวิตฉันเลย ไม่มีการมานั่งให้สัมภาษณ์ แค่แหกตาตื่นมาตอนเช้า มาเชคว่าเครื่องมือเครื่องไม้มันใช้การได้ดี พอวงเล่นเสร็จแล้วก็มันส์กับปาร์ตี้ ชีวิตมีแค่นี้จริงๆ” (2008)
พูดถึง NME
“ถ้า นายเจอนักข่าวจาก NME ในคอนเสิร์ตนะ ซึ่งนายจะต้องเจอพวกมันแน่ๆ พวกมันหาไม่ยากเลย พวกมันจะได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติเสมอ ใส่เสื้อผ้าทุเรศๆ รองเท้าอุบาศก์ๆ ทรงผมเป็นก้อนๆ เหมือนจะต้องทำให้ฉันมองไปที่พวกมันตลอดเวลา ถ้าเจอมันฝากเอาอะไรแหกรูหูพวกมันที แล้วบอกพวกมันว่า ทำตัวให้มันดีๆหน่อยเว้ย ป๋าสั่ง” (2009)
พูดถึงการซื้อของฟุ่มเฟือย
“ฉันสั่งทำจากัวร์ Mark II เปิดประทุน รุ่นปี 1967 เสียเงินไป 110,000 ปอนด์ ทั้งๆที่ฉันยังไม่มีใบขับขี่เลย โครตไร้สาระ” (2008)
พูดถึงวง Kaiser Chiefs
“ไอ้ พวกกระจอก สิ่งที่แย่ที่สุดของพวกมัน คือ พวกมันไม่มีอะไรดีเลย พวกมันไม่มีค่า และไม่มีความหมายใดๆกับใครหรือกับอะไรทั้งสิ้น นอกจากกับแฟนน่าเกลียดๆของพวกมัน” (2008)
พูดถึง Jay-Z
“ฉันคิด ยังไงที่ Jay-Z ขึ้นไปเล่นเพลง 'Wonderwall' น่ะหรอ มันก็โครตฮาเลยน่ะสิ แต่ฉันว่ามันดูเห่ยๆนะ ถ้านายจะเล่นเฟนเด้อร์ สแตรทฯ สีขาว ต่อหน้าสาธารณะชนแบบนั้นน่ะ” (2008)
พูดถึงวง Keane
“ฉันรู้สึก เสียใจกับวง Keane อย่างสุดซึ้ง เพราะไม่ว่าพวกมันจะพยายามอย่างหนักขนาดไหน พวกมันก็น่าเบื่ออยู่ดี ต่อให้ใครซักคนในวงมัน ฉีดผงขาวใส่ไอ้...ตัวเอง คนก็คงจะแค่พูดว่า ‘อืม เกือบและ แต่ว่าพ่อพวกนายเคยเป็นบาทหลวงนี่หว่า กู๊ดไน้ท์ว่ะเพื่อน’” (2008)
พูดถึงเรื่องที่ทรมานที่สุดในชีวิต
“การนั่งติดกับ Liam 15 ชั่วโมงบนเครื่องบิน มันเกิดขึ้นหนนึงตอนกำลังไปญี่ปุ่นหรืออะไรนี่ละ โครตจะนรกเลย” (1999)
พูดถึงครอบครัว Beckham
“Victoria Beckham เนี่ยนะ จะเขียนหนังสือประวัติของตัวเอง ขนาดแค่เคี้ยวหมากฝรั่งแล้วเดินให้ตรงๆเธอยังทำไม่เป็นเลย นับประสาอะไรกับการเขียนหนังสือวะ” (2001)
พูดถึงศาสนา
“คำสอนของ พระเจ้าอยู่ในไบเบิลใช่มั๊ย แล้วในไบเบิลก็ไม่ได้กล่าวถึงไดโนเสาร์เลย ซึ่งอ่านแล้วมันทะ:-)ๆอยู่นา เพราะในนั้นบอกว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เป็นสิ่งแรก อ่าว แล้วใครวะที่สร้างไดโนเสาร์อ่ะ” (2006)
พูดถึงอัลบั้มแรก 'Definitely Maybe'
“ฟัง นะ ฉันนี่ละ ซุปเป้อร์ฮีโร่แห่งยุค 90 ฉันบอกได้เลยว่าฉันเจ๋งสุด เพราะในบรรดาพวกเขาเหล่านี้ Paul McCartney, Paul Weller, Pete Townshend, Keith Richards อัลบั้มแรกของฉัน ดีกว่าอัลบั้มแรกของคนพวกนี้ทุกคน พวกเขาควรจะต้องก้มหัวยอมรับไว้ซะด้วย” (2006)
พูดถึงความเสียใจ
“อย่าง นึงที่ฉันรู้สึกแย่ที่สุดที่ได้พูดไป คือ การแช่งให้ Damon Albarn กับ Alex James วง Blur เป็นเอดส์ เมื่อปี 95 แม่ฉันถึงกับโทรมาด่าเลยเมื่อเธอได้ทราบข่าว แม่บอกว่า ฉันไม่ได้เบิ่งแกออกมาให้พูดอะไรทุเรศๆแบบนี้นะ” (2008)
พูดถึงความน่าเชื่อถือ
“Jack White (วง The White Stripes) ทำเพลงโฆษณาให้โค้ก นั่นมันจบแล้ว เขาเหมาะจะเป็นไอ้หนุ่มบนโปสเต้อร์เท่ห์ๆมากกว่า แต่นี่มันไม่เท่ห์เลยว่ะ หมอนี่พลาดไปแล้ว ฉันไม่เอาด้วยแน่ๆ ทำเพลงโฆษณาให้โค้กเนี่ยนะ อีกหน่อยสงสัยคงต้องไปเล่นคอนเสิร์ตให้แม๊คโดนัลด์ละมั๊ง” (2005)
พูดถึง Liam
“ฉัน ได้อ่านไอ้พวกบทสัมภาษณ์ที่ไปสัมภาษณ์มันมา ฉันอ่านแล้วฉันงงว่ะ ฉันงงว่าไอ้หมอนี่มันเป็นใครวะ เพราะในนั้น ไอ้ Liam :-)เจ๋งมาก พูดจาได้เจ๋งไปหมด แต่ไอ้ Liam ตัวจริง ที่ฉันร่วมวงกับมันมา 18 ปี มันปัญญาอ่อนจะตาย” (2008)
พูดถึงศาสนา(อีกครั้ง)
“รู้ไหม ฉันไม่เชื่อในศาสนาเอาเลย แต่ฉันรู้ว่า มันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวที่ทำให้คนลุ่มหลงที่ทรงพลังที่สุดในโลก มันเป็นตัวควบคุมศีลธรรมในสังคมมาเป็นร้อยๆพันๆปี แต่ฉันยังไม่เคยเห็นหัตถ์ของพระเจ้าที่ไหนจะมาช่วยเลย ในเวลาที่ผู้คนต้องการมัน” (2008)
พูดถึง Thom Yorke (Radiohead)
“มัน ไม่มีความหมายเลยเว้ย ที่พวกเอ็งจะมาทำเป็นอาร์ทตัวพ่อ นั่งกอดเข่า แล้วบอกว่า พวกเราแ_งหม่น เพราะยังไง สุดท้ายแล้วแฟนเพลงพวกเอ็ง ก็อยากฟังพวกเอ็งเล่นเพลง Creep เพลงซุปเป้อร์ฮิตของพวกเอ็งอยู่ดี พวกเอ็งเลิกปัญญาอ่อนได้แล้วว่ะ” (2007)
พูดถึงการพยายามเป็น John Lennon ของ Liam
“เชื่อ มั๊ย สมัยก่อนมันเพี้ยนถึงขนาดพูดสำเนียง สเก๊าส์ (สำเนียงของคนเมืองลิเว่อร์พูล)อยู่ตั้ง 3 ปี มันเคยบอกให้ฉันเรียกมันว่า John ฉันเลยบอกว่า ฉันขอเรียกแกว่า จิ๋ม แทนแล้วกัน” (2005)
พูดถึงเด็กๆ
“เด็กสมัยนี้มันโง่จะตาย ชักจูงง่ายสุดๆ” (2005)
พูดถึงวง Bloc Party
“พวกมันก็แค่ไอ้เด็กเมื่อวานซืนที่พยายามจะต่อต้านพ่อ แม่ ของตัวเอง ฉันรู้สึกทุเรศแทนในความกากของพวกมัน” (2008)
พูดถึงวง Blur
“Damon Albarn มันก็คือ ไอ้ห่วยแตก แล้วก็ไอ้มือกีต้าร์เนิ้ดๆของมัน ไอ้นี่เมื่อก่อนฉันว่ามันโอเคนะ แต่ตอนนี้ไม่แล้วว่ะ มันทำเป็นนึกว่าตัวเองฉลาดเป็นยอดมนุษย์ โครตปัญญาอ่อน ฉันไม่เคยเจอไอ้มือกลองกับไอ้มือเบส ไอ้มือเบสนี่เมื่อก่อนฉันโครตเกลียดมันเลย แต่เดี๋ยวนี้ฉันว่ามันก็โอเค มีฝีมือ แต่ที่แน่ๆฉันไม่ชอบเพลงวงพวกมันเลย ไอ้นักร้องนำยิ่งแล้วใหญ่ โครตเกลียดมัน” (1997)
พูดถึงเพลงฮิปฮอป
“จะบอกให้ว่าฉันโครตดู ถูกไอ้ดนตรีแนวฮิปฮอปนี้เลย เกลียด:-)เข้าไส้ Eminem มันก็กากสิ้นดี ส่วนไอ้ 50 Cent อะไรนั่น มันก็โครตน่ารังเกียจ ชาตินี้ฉันจะไม่ขอเจอมันเด็ดขาด” (2005)
พูดถึงการแชร์การแต่งเพลงภายในวง
“ฉัน น่ะ ไม่เคยนั่งลงแล้วก็บัญชาการณ์ว่า ใครจะได้รับอนุญาตให้เขียนเพลงหรือไม่ ประตูเปิดกว้างสำหรับทุกคนในวงเสมอ แต่เมื่อก่อนตอนสมัย 10 ปีแรกนั่น มันไม่มีใครสนใจจะทำกันเองนี่หว่า ช่วยไม่ได้” (2005)
และก็สุดท้ายผมชอบคำพูดนี้มาก
กินผักให้มากกว่านี้จะได้เท่ๆแบบฉันไง"
"Eat more vegetables and you will be Cool like me"
- Noel พูดถึง Guigsy
Blur วงคู่แข่งและคู่อริตลอดกาลของ Oasis
Supersonic ซิงเกิ้ลแรกเปิดตัวสุดอลังการความมันส์ และเป็นเพลงที่ผมชอบที่สุดของ Oasis
VIDEO
Wonderwall เพลงฮิตระเบิดระเบ้อ แค่ดนตรีกับท่อนแรกขึ้นมาก็ต้องร้องอ๋อออออ
VIDEO
Don't Look Back In Anger เพลงช้าซึ้งๆเสียงร้องของเฮียโนล อีกหนึ่งเพลงฮิตที่อยู่ในใจของแฟนๆOasisทุกคน
VIDEO
Live Forever สุดยอดเพลงที่แสดงถึงจุดรุ่งโรจน์ของดนตรี บริทป็อป
VIDEO
Familiar to Millions (2000) - One of the greatest concerts of the greatest group ever been.
VIDEO
เครดิตทั้งหมดทั้งมวลยกให้ :
http://pirun.ku.ac.th/~b5310801979/index.html
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1_%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C
http://atcloud.com/stories/80970
"ผมโตมากับเพลง Oasis ฟังตั้งแต่สมัยยังเป็นตลับเทป อยากให้คนที่ไม่รู้จักไม่เคยฟังได้ทำความรู้จักกับวงที่เป็นตำนานวงนี้ดู ส่วนใครที่ชอบอยู่แล้วก็หวังว่าจะชอบมากขึ้นนะครับ"