http://www.soccersuck.com/boards/topic/961250 ตอนที่หนึ่ง
http://www.soccersuck.com/boards/topic/961273 ตอนที่สอง
มาถึงตอนที่ 3 ต้องขอบคุณทุกท่านที่อ่าน และสละแผล่บให้ผมด้วยครับ ตอนนี้ได้เกินเพียงพอที่จะสมัครชมรมแล้วครับ ที่เหลือนี้ ทำเผื่อท่านอื่นๆ ที่จะเดินทางจากพนมเปญ ไปเวียดนาม หรือเที่ยวเวียดนามนะครับ
ปล. แต่ถ้าอยากแผล่บ ผมก็ยินดีรับนะครับ
เริ่มมาเช้าวันที่ 4 ผมกับแฟน ตื่นกันตั้งแต่ 5.45 ครับ เพราะเราต้องขึ้นรถกันตอน 6.30 ที่สถานีรถในตลาดโอเฮอเซย ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดเก่าแก่ของพนมเปญครับ อากาศตอนเช้าเย็นสบายมากๆ ครับ โดยรถจะใช้เวลาเดินทางถึงโฮ จิ มินฮ์ เวียดนาม ประมาณ 6 ชม. ครับ
แม้จะเช้าขนาดไหน ก็สามารถหาตุ๊กๆ ขึ้นได้ครับ นั่งจากโสรยา มาโอเฮอเซย 2 เหรียญครับ ถ้าเดินก็ประมาณ 10 นาทีเท่านั้น แต่เนื่องจากมีกระเป๋า และกลัวตกรถ เลยต้องตุ๊กๆ
รถบัสที่ขึ้น เป็นรถบัส 1 ชั้น ติดแอร์ มีห้องน้ำในรถ พร้อมเปิดหนังให้ดูด้วย
โดยค่าบริการต่อหนึ่งท่าน นั้นอยู่ที่ 13 เหรียญ (เท่าที่ผมหาข้อมูล หากไปซื้อที่บริษัทโดยตรง บนถนน เลขที่ 5 ใกล้กับแม่น้ำโขงนั้น จะอยู่ที่ 8-10 เหรียญ เท่านั้นครับ แต่อย่างที่บอก ผมกับแฟน ไม่ได้วางแผนอะไรมาเลย เลยสะดวกที่จะซื้อตั๋วที่โอเฮอเซย มากกว่า ชื่อบริษัทรถทัวร์ ก็จำง่ายครับ Mekong Limousine มีตราปลาโลมาครับ
เมื่อรถออก และวนรับลูกค้าตามจุดต่างๆ แล้ว ขับไปซัก 1 ชม ก็จะต้องขึ้นข้ามเฟอร์รี่ครับ แต่เป็นแค่เฟอรรี่ ภายในประเทศกัมพูชาเท่านั้น
เนื่องจากบนรถจะมีแจกขนมเป็นเหมือนบิสกิต และน้ำให้ครับ ดังนั้น พอถึงเวลาที่รถจอด ข้ามเรือนั้น จะมีเด็กโผล่มาเคาะที่กระจกรถแบบนี้ ตอนแรกก็ไม่เข้าใจ เสร็จแล้วเค้าก็ชูขนมให้ดู
และทำสายตาที่บ่งบอกให้รู้ว่าเป้าหมาย คือ "ขนมบิสกิตแสนอร่อย" นั่นเองครับ พอให้แล้ว เลยถ่ายรูปซะหน่อย ได้ทั้งน้ำ ทั้งขนม ยิ้มกันกริ่มเลยทีเดียว
ขับมาอีกร่วม 2-3 ชม จะมีจุดพักรถอยู่ก่อนถึง ชายแดน ประมาณ 5 กม. รถทัวร์จะจอดให้พักกินข้าวกันที่นี่ โดย จะมีข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยว ขายจานละ 2 เหรียญ บริการอยู่ โดยรวมสำหรับผม อาหารดีกว่าในเมืองอีกครับ
ป้ายบอกทางไปเวียดนาม ตรงไปอีก 5 กม. เท่านั้นก็ถึงชายแดนครับ ปกติ ตามทางไม่มีป้ายสวยๆ แบบนี้ให้เห็นในเขตแดนกัมพูชานะครับ
ไปถึงก็จะให้ลงรถบัส และเอาพาสปอร์ตไปยื่น สแกนนิ้วมือผ่าน ก็ออกได้สบายครับ ใช้เวลา 5-10 นาทีก็เรียบร้อย
ออกมาก็ขึ้นรถข้ามชายแดน จะเห็นอนุสาวรีย์ ของเวียดนาม (ผมไม่รู้นะครับว่าคืออะไร
) ขึ้นรถได้แป๊ป ก็ต้องลงเพื่อตรวจเข้าเมืองเวียดนาม แต่คราวนี้ต้องเอากระเป๋าลงตรวจทั้งหมดนะครับ
แต่สังเกตได้ว่า ตรวจกระเป๋าอย่างเดียวจริงๆ ครับ
คนที่มานี่ เดินเรียงแถว ไม่ผ่านเครื่องตรวจเลยซักคน
ขับรถมาได้อีก 1-2 ชั่วโมง ก็ถึงที่หมายครับ รถบัสจะมาจอดที่ท่าจอดรถบนถนน ฝาม งู เหลา (ผมจำง่ายๆ ว่า ฟาร์มงูลาว ครับ) เป็นถนนที่คนไทยเรียกว่าเป็น ข้าวสารบ้านเรานั่นเอง พอลงจากรถ ประมาณ 1pm บ่ายโมง ก็เดินเข้า โรงแรมฝั่งตรงข้ามที่รถจอดทันที เพื่อจะได้วางแผนเที่ยวต่อช่วงบ่ายต่อเลย
โรงแรมที่อยู่ ชื่อ Elios Hotel ราคาหน้าบ้าน 53 เหรียญ ห้องพักอยู่สองคน ไม่มีหน้าต่าง (ตอนแรกจะจองห้องจากกัมพูชา แต่บัตรเครดิตไม่รู้เป็นอะไร จองอโกดาไม่ผ่าน สงสัยติดหนี้บัตรอยู่
เลยต้องมาหาเอาแบบนี้ครับ
ออกจากโรงแรมก็มากดเงินก่อนเลย เงินสกุลเวียดนามเรียกว่า "ดอง" ครับ โดยอัตราก็ประมาณที่ 100,000 ดองอยู่ที่ 150 บาท กดมาเป็น 5 ล้าน ดอง (เป็นเศรษฐีชั่วขณะ
) หรือประมาณ 7500 บาท
มาถึงโรงแรมก็ได้หาข้อมูล ได้ความว่า คิม คาเฟ่่ บนถนน ฟาร์มงูลาว นั้นอร่อยนักแล มีคนไทย ชมไว้มากมาย ผมกับ ภริยา จึงไม่รอช้า เดินเข้าไปชิมความอร่อยแห่งเมืองไซง่อน สั่งมา 3 อย่าง จานละประมาณ 80-120 บาทตามภาพครับ
ผลคือ ภริยาผมบอกว่า ธรรมดามาก (คือ ไม่ผ่าน
เนื่องจากภริยาผมเป็นนักชิมที่เชื่อถือได้ ดังนั้น รีวิวนี้ ผมให้ร้าน คิม คาเฟ่ ไม่ผ่านครับ
ออกจากฟาร์มงูลาว เดินไปถนน Ben Thanh หรือ เบน ถ่าน เป็นตลาดกลางที่นี่ครับบ มีผู้คนเดินซื้อของมากมาย ส่วนใหญ่ก็เสื้อผ้า กระเป๋า ของแบรนด์ และของกินครับ ราคานี่เรียกว่า ต้องต่อเกิน 50% จากที่เรียก ไม่งั้นโดนฟันตาย
ออกจากตลาด เบน ถ่าน มา แฟนผม ไม่ไหวแล้ว เพราะกระเป๋าสะพายข้างเดิม ไม่ค่อยสะดวก เห็นกระเป๋า อาดิดาส สีชมพู บาดใจ เลยขอซื้อมา ที่สนน ราคาประมาณ 1,000 บาท จากภริยาใกล้ 30 แปลงโฉม เป็นเด็กนักเรียนเวียดนามขึ้นมาทันใด
เมื่อพร้อมแล้ว ก็เดินลุยยาวครับ ภาพนี้เป็น โปสการ์ด ไดคัต แบบเมืองเวียดนามครับ ชิ้นละ 1 เหรียญ ผมว่าเหมาะเป็นของที่ระลึกมาก เพราะว่าสวยดีครับ เหมือนไทย แต่เป็นสถานที่ในเวียดนาม
เดินผ่าน chanel เลยขอเก็บภาพ ตามแบบที่ เห็นสาวๆ สะพายชาแนลถ่ายครับ แต่พวกผมไม่มี ขอ อาดิดาสไปก่อน
รูปสลักของ โฮ จิ มินฮ์ ที่โฮ จิ มินฮ์ สแควร์ เรียกได้ว่าคือในกลางเมืองครับ
อาคารด้านหลังรูปปั้น โฮจิมินฮ์ ผมจำชื่อไม่ได้ครับ
ตึกพาร์คสัน และโรงแรม คอนติเนนทอล ... บ้านเมืองเค้าสร้างเหมือนอยู่ยุโรป ยังไงยังงั้น ดูแล้วสบายตามากๆ
ถือได้ว่าเป็นชนชาติที่มีศิลปะดีทีเดียว
โอเปร่า เฮ้าส์ (วันที่สามผมเข้าไปดู เดี๋ยวจะเอาภาพตอนกลางคืนมาแบ่งเพิ่มเติมครับ
กาแฟ highland ของชาวเวียดนาม เป็นร้านกาแฟ ที่คนเวียดนามกินเยอะ ราคาไม่ต่างจากสตาร์บัคเท่าไหร่ แต่คิดว่าชาวเวียดนามเป็นพวกรักชาติ เห็นร้านสีแดงเลยเข้าไว้ก่อน (พบเห็นได้มากมาย จะรีวิวเพิ่มในวันที่ 6 ของการเที่ยวครับ)
ขนมปังแซนวิช หรือที่เรียกว่า แบคเก็ต (ออกเสียงถูกป่าวไม่รู้นะครับ
) คุณป้านั่งรอ ขายแบบน่ากินมาก 555
เดินกันมาเรื่อยๆ ก็จะมาถึง POST OFFICE อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว สำคัญของโฮจิมินฮ์ อยู่ติดกับโบสถ์ นอน เถอะ ดำ (จำง่ายมากครับ ภริยาชอบใช้เรียกผม)
ด้านในไปรษณีย์ มีรูปโฮ จิ มินฮ์ ขนาดใหญ่ แขวนอยู่
ข้างๆ กันจะมี โบสถ์ นอน เถอะ ดำ อยู่ โดยมีรูปสลัก (น่าจะพระแม่มารี) อยู่ข้างหน้า ชาวคริสต์ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นคาธอริกครับ และเวลาที่ผมไปนั้น ก็เป็นเวลาที่มีการสวดมนต์ อธิษฐานอยู่ ไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไป
ภาพถ่ายจากเลนส์ซูม ขณะยืนอยู่ข้างนอก
ผมเดินไปรอบๆ เห็นคนเฝ้าอยู่ ผมก็เดินไปบอกว่า ผมเป็นคริสต์ เชื่อในพระเยซู เค้าก็บอกว่าให้เค้าไปอธิษฐานเท่านั้นนะ อย่าเดิน เตร็ดเตร่ ผมก็โอเค
เลยได้เข้ามาเก็บรูปด้านในเล็กน้อย (รูปเดียว) ครับ --- ps ผมเป็นคริสเตียนครับ ไม่ได้โกหาเค้านะครับ
เดินเที่ยวจนตกเย็น ก็เดินกลับมาที่ ตลาด เบน ถ่าน.. แฟนผมเดินเมื่อยไม่ไหว เลย ขอ
นวดเท้าครับ เลยมานวดที่ชั้นล่าง โรงแรม A&EM ซึ่ง ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในการนวดที่คุ้มค่า และดีครั้งหนึ่งในชีวิตของผมเลย เพราะคนนวดเป็น ผู้ชาย
(ล้อเล่นครับ) แต่เพราะที่นี่ เค้าตั้งใจนวดทุกขั้นตอนจริงๆ โดยเสียค่าบริการไปคนละ 400 บาทครับ (แต่ยอมรับว่าที่นี่คุ้ม - ที่อื่นผมไม่รู้นะครับ)
ตลาดเบน ถ่าน ซึ่งตอนกลางคืน จะมีแผงร้านค้า ต่างๆ มาตั้งขายของถึงประมาณ เที่ยงคืนครับ (ตอนเข้าไปนวดตอน 1 ทุ่ม เห็นคนในตลาดปิดร้าน นึกว่าจะปิดหมดแล้ว นวดเสร็จ เดินออกมา มีตลาดกลางคืนคึกคักมากๆ
สุดท้ายมาเก็บตก มือสุดท้ายของวันที่ เบน ถ่าน ออกมาจากที่นวด ได้กลื่นหอมของปิ้งย่าง พร้อมเจอร้านนี้อยู่ครับ ไม่รีรอใดๆ มองตาภริยา แล้วจูงมือเดินเข้าไปนั่งทันใด
เบียร์ไซง่อน เย็นๆ รสชาติไม่แรงสบายคอ
หอยเชลล์ปิ้ง 1 ฝา 2 ตัว ราคา 22 บาทโดยประมาณ อร่อยมากๆ
กุ้งสองตัวประมาณ 800 บาทครับ ปิ้งได้อร่อยมากๆ ไม่ใช่กุ้งเลี้ยงแบบในไทยด้วย มันหัวกุ้งเยอะ คิดแล้วอยากกลับไปกิน
พนักงานประจำโต๊ะมาช่วยตัดให้ กินง่ายขึ้นเยอะ
บะหมี่ผัดรวมบ้านเค้า รสชาติเทียบบ้านเราไม่ติดเลยครับ
ปลาเผาสดจริงๆ ปิ้งแบบบ้านเค้า ไม่ได้ทาเกลือที่เกล็ด กินหนังปลาได้อร่อย แม้เนื้อจะดูเหนียว แต่เคี้ยวจริงๆ นุ่มมากๆ
รวมทั้งหมด 930,000 หรือประมาณ 1500 บาท ครับ (เทียบคุณภาพอาหาร และทำเลที่ตั้งแล้ว ไม่ถือว่าแพงมากครับ)
ชื่อร้านนี้ ให้ ลัว (อ่านไม่เป็นนะครับ) หาง่ายมาก ข้างตลาด เบน ถ่าน ตอนกลางคืน
แม้จะค่ำแล้วเดินทางกลับ คนก็ยังคึกคักอยู่ โดนย่อย ไปถึงโรงแรม นอนหลับอิ่มท้อง จบวันแรกในเวียดนามครับ
ขอบคุณทุกท่านที่อ่าน และสำหรับแผล่บ นะครับ ตอนนี้ต้องขอโทษ ที่ยาวสักนิดนึง เพราะว่าเที่ยวทั้งวันจริงๆ ผมพยายามตัดรูปทิ้งหลายๆ รูปเพื่อให้เนื้อหาสั้นที่สุดแล้วครับ
ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยครับ
สรุปวันแรกในเวียดนาม
ถือว่าเป็นเมืองที่เจริญและผังเมือง โฮ จิ มินฮ์ นั้นดีมากๆ ที่เที่ยวทั้งหมดในเมืองสามารถเดินเที่ยวได้ โดยไม่ต้องใช้รถเลยครับ ใช้เวลาหนึ่งวันก็เที่ยวจนหมดได้
หากจะหาที่พักซักที่ ผมไม่แนะนำให้พักใน ฟาร์มงูลาวนะครับ ผมว่าข้างตลาด เบน ถ่าน อยู่สะดวกกว่า ไม่ว่าจะเป็นการเที่ยว หรือการหาของกิน และกิจกรรมต่างๆ (ห้องพักจริงๆ 500 อยู่สองคน เยอะแยะ)
เมืองโฮ จิ มินฮ์ สวยงาม และดูโรแมนติก แต่เสียตรงที่อากาศค่อนข้างร้อน เลยทำให้ความโรแมนติกหายไปมากทีเดียว
ประการสุดท้าย อาหารเวียดนาม สะอาด รับประทานง่ายครับ (แต่ไม่อร่อยเท่าไทยนะครับ) แต่ถือได้ว่า มาตรฐานเมือง อาหารการกิน และความเป็นอยู่ ดีกว่าเขมรเยอะมากๆ