10 อันดับยอดนักเตะที่ไม่เคยได้เล่นฟุตบอลโลก!!
10. คาซูโยชิ มิอูระ (ญี่ปุ่น)
คาซู' แทบจะเป็นนักฟุตบอลซูเปอร์สตาร์ชาวเอเชียคนแรกๆ ที่ได้ย้ายไปเล่นในลีกของบราซิล แม้จะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก จนต้องระเห็จกลับบ้านในปี 1990 นอกจากนั้นในเส้นทางพ่อค้าแข้งของ คาซู ยังเคยพาดผ่านเข้าไปร่วมทีม เจนัว ในกัลโช ซีรีเอ อิตาลี แถมยังเป็นนักเตะแดนอาทิตย์อุทัยคนแรกที่สามารถคว้ารางวัลนักฟุตบอลยอด เยี่ยมของเอเชียได้ อีกทั้งยังถือว่า นักฟุตบอลคนแรกๆ ที่กลายมาเป็นซูเปอร์สตาร์ของคนญี่ปุ่น รวมถึงรับใช้ชาติเป็นตำนานมากว่าเกือบ 20 ปี คาซู ตัดสินใจเลิกเล่นทีมชาติเมื่อปี 2000 ก่อนที่ญี่ปุ่นจะได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในอีก 2 ปีต่อมา แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือด้วยวัยปัจจุบันที่ 43 ปีตอนนี้ คาซู ยังคงไล่เตะลูกหนังกับนักฟุตบอลรุ่นหลานที่ทีม โยโกฮาม่า เอฟซี ในลีกดิวิชั่น 2 ของญี่ปุ่นอยู่เลย
9. เลียม เบรดี (ไอร์แลนด์)
เหมือน กับ จอห์นนี กิลส์ รุ่นพี่ของเขา เพราะน่าเสียดายที่ เบรดี ไม่เคยได้มีโอกาสพาทีมชาติไอร์แลนด์ลงเล่นในรายการใหญ่ๆ ระดับชาติเลยแม้แต่เกมเดียว ในฐานะมิดฟิลด์พรสวรรค์ของ อาร์เซนอล และ ยูเวนตุส ขณะที่กับทีมชาติไอร์แลนด์ ต้องบอกว่า น่าเสียดายสุดๆ ที่ เบรดี ตัดสินใจอำลาทีมชาติ หลังเขาถูก แจ็คกี ชาร์ลตัน เปลี่ยนตัวในออกช่วงพักครึ่งเกมกระชับมิตรกับ เยอรมันตะวันตก เมื่อปี 1989 ก่อนที่อีกปีเดียวต่อมา ไอร์แลนด์ จะสามารถผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย อิตาเลีย 90 ได้สำเร็จ และ ชาร์ลตัน ก็ยืนยันคำขาดว่า เขาจะไม่เรียกตัวนักเตะที่ไม่มีส่วนร่วมในรอบคัดเลือกมาติดทีมโดยเด็ดขาด
8. ยารี ลิตมาเนน (ฟินแลนด์)
นักฟุตบอลที่ดีที่สุดเท่าที่ ฟินแลนด์ เคยมีมา คว้าแชมป์มาทุกอย่างในระดับสโมสร รวมถึงการลงเล่นกับทีมใหญ่ๆ อย่าง อาแจ๊กซ์, บาร์เซโลนา หรือ ลิเวอร์พูล มาแล้ว แต่น่าเสียดายที่สถิติติดทีมชาติกว่า 120 นัดของ ลิตมาเนน กลับไม่มีฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายรวมอยู่ในนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว โอกาสที่ดีที่สุดของ ลิตมาเนน อยู่ที่ฟร้องซ์ 98 ที่เขาและทีมชาติฟินแลนด์ เกือบจะได้ลุ้นเข้าไปเล่นเพลย์ออฟอยู่แล้ว และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ถึงตอนนี้ด้วยวัย 38 ปี ลิตมาเนน ก็ยังเป็นหนึ่งในนักเตะทีมชาติอยู่ ถ้านึกถึงฉายาของเจ้าตัวที่มีว่า "เมอร์ลิน" คงไม่มีใครกล้าพนันแน่ๆ ว่า ลิตมาเนน จะอยู่เล่นถึงฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล ซึ่งตอนนั้นตัวเขาจะอายุ 43 ปี หรือไม่ เพราะอย่าลืมสิว่า โรเจอร์ มิลลา ก็เคยทำให้เราเห็นมาแล้ว
7. เอริค คันโตนา (ฝรั่งเศส)
แม้จะกลายเป็นตำนานของพรีเมียร์ลีกในยุค 90 แต่ คันโตนา มักจะมีปัญหากับคนใหญ่คนโตเสมอๆ เวลาถึงทัวร์นาเมนต์ใหญ่ รวมถึงยังเคยพูดจาไม่เหมาะสมต่อ อองรี มิเชล เจ้านายในทีมชาติ ต่อหน้าทีวี เพราะไม่พอใจที่ไม่มีชื่อในทีมชาติเมื่อปี 1988 มาแล้วส่วนในรายการยูโร 1992 นั้นเราไม่นับครับ ขณะ ที่กับรายการยูเอสเอ 94 ฝรั่งเศส ก็ต้องจอดป้ายเพียงรอบคัดเลือก ซึ่งก็มานำสู่เหตุการณ์แค้นฝังหุ่นที่ "ก็องโต" ยังคงโมโห ดาวิด ชิโนลา ไม่หาย จากที่รายหลังเป็นคนเปิดบอลพลาดในเกมสุดท้ายกับบัลแกเรีย จนไปสู่ประตูที่ทำให้ทีมชาติฝรั่งเศส ต้องตกรอบในที่สุด ส่วนฟร้องซ์ 98 ภายใต้การคุมทีมของ เอมเม ฌักเกต์ ก็เมิน คันโตนา แล้วตัดสินใจไปเลือกใช้งานกองกลางที่ชื่อว่า ซีเนอดีน ซีดาน แทนเสียอีก
6. วาเลนติโน มัซโซลา (อิตาลี)
ชีวิตนักฟุตบอลของ มัซโซลา นั้นน่าเศร้าครับ เพราะขณะอยู่ในช่วงกำลังรุ่งกับทีมโตริโน จนสามารถพาทีม "กระทิงหิน" คว้าแชมป์ ซีรีเอ ได้ในปี 1940 จนได้รับฉายาว่า เป็น "ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส" ของอิตาลี แต่สุดท้ายกับกลายเป็นโศกนาฏกรรมเครื่องบินตกในปี 1949 ที่คร่าชีวิตเขา พร้อมกับเพื่อนร่วมทีมรวม 30 คน และทำให้สถิติติดทีมชาติของ มัซโซลา ต้องค้างไว้เพียงแค่ 12 เกมเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า มัซโซลา น่าจะนอนตายตาหลับ เพราะลูกชายของเขา ซานโดร มัซโซลา ก็กลายเป็นนักฟุตบอลชื่อดังของวงการฟุตบอลอิตาลีในเวลาต่อมา รวมถึงทำความฝันของพ่อได้สำเร็จ ด้วยการติดทีมอัซซูรี ไปลุยฟุตบอลโลกถึงสามครั้งในปี 1966, 1970 และ 1974
5. แบรนด์ ชูสเตอร์ (เยอรมันตะวันตก)
"ขบถลูกหนัง" รายนี้มีอะไรหลายอย่างคล้ายกับ คันโตนา คือ มีทั้งพรสวรรค์ และก็เรื่องที่มักชอบไปขัดแย้งกับคนใหญ่คนโตเป็นประจำ แต่ถือว่า ชูสเตอร์ เริ่มต้นได้สวยกับทีมชาติครับ เมื่อเขาประเดิมทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ครั้งแรก ก็พาทีมเยอรมันตะวันตก คว้าแชมป์ยูโร 1980 ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม เส้นทางทีมชาติกับ ชูสเตอร์ กลับต้องยุติด้วยวัย 24 ปีเท่านั้น หลังจากที่เขามีปัญหากับสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมัน เพียงเพราะสาเหตุที่เจ้าตัวปฏิเสธจะลงเล่นให้กับทีมชาติในนัดเจอกับอัลแบ เนีย เนื่องจากต้องการอยู่ร่วมงานวันเกิดของลูกชายมากกว่า อย่างไรก็ตาม แม้จะไร้เงา ชูสเตอร์ แต่เยอรมันตะวันตก ก็ยังไปได้สวยกับการเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกสามครั้ง ขณะเดียวกันกับที่ ชูสเตอร์ ก็ไปสร้างตำนาน "ขบถลูกหนัง" ที่สเปนกับทีมบาร์เซโลนา, เรอัล มาดริด และ แอตเลติโก มาดริด
4. ไรอัน กิกส์ (เวลส์)
คาร์ลอส ดุงกา กุนซือทีมชาติบราซิล เคยพูดว่า ถ้าเป็นไปได้เขาพร้อมที่จะเชิญ "ปีกพ่อมด" ไปเล่นให้กับทีมของเขา แต่น่าเสียดายที่ กิกส์ เลือกปันใจให้กับ เวลส์ ตามสัญชาติของคุณแม่ของเขามากกว่า เขากับเพื่อนร่วมทีมชาติเวลส์ ที่มีทั้ง เนวิลล์ เซาธ์ทอลล์, มาร์ค ฮิวจ์ส และ เอียน รัช ภายใต้การคุมทีมของ เทอร์รี โยรัธ กลับทำได้ดีที่สุด แค่เพียงคำว่า ใกล้เคียง กับการที่จะผ่านเข้ารอบสุดท้ายเมื่อครั้งยูเอสเอ 94 เมื่อแพ้ในเกมสุดท้ายกลับ โรมาเนีย ในนัดที่ต้องชนะเพื่อผ่านเข้ารอบแต่ สิ่งที่หลายคนอาจจะรู้ หรืออาจจะไม่รู้คือ ไรอัน กิกส์ นั้นเคยมีนามสกุลเดิมว่า วิลสัน และลงเล่นให้กับทีมนักเรียนของอังกฤษ แต่หลังจากที่มีปัญหาครอบครัว และพ่อของเขา แดนนี วิลสัน ทิ้งครอบครัวไป ทำให้ กิกส์ ตัดสินใจใช้นามสกุลของแม่ รวมถึงเลือกลงเล่นให้กับทีมชาติเวลส์แทนในเวลาต่อมา
3. จอร์จ เวอาห์ (ไลบีเรีย)
หนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาลของทวีปแอฟริกาใต้ และดีพอที่จะเป็นคนนอกทวีปยุโรปคนแรกที่คว้ารางวัลบัลลงดอร์ อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ดีพอที่จะพาทีมชาติไลบีเรีย เข้าไปสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้กับทีมชาติไลบีเรีย ต้องบอกว่า เวอาห์ เป็นมากกว่าแค่นักเตะคนนึง เพราะเขาเป็นคนต้องควักเงินตัวเองล้วนๆ เพื่อจ้างโค้ชเข้ามาทำทีมให้ อย่างไรก็ตาม แม้จะลงทุนลงแรงไปมาก แต่ผลตอบแทนกลับมาก็ไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ เวอาห์ กลับดูไม่ยี่หระกับเรื่องนี้สักนิด ถ้าดูจากบทสัมภาษณ์ของเขา "ถ้าผมอยากไปเล่นฟุตบอลโลก ผมคงเลือกเล่นให้กับ ฝรั่งเศส หรือ แคเมอรูนไปแล้ว" ทั้งนี้ แม้จะเป็นสัญลักษณ์ของ ไลบีเรีย แต่มันก็ยังไม่ดีพอที่จะทำให้เขาประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งประธานาธิบดี เมื่อปี 2005
2. จอร์จ เบสต์ (ไอร์แลนด์เหนือ)
เบสต์ เหมือนกับชื่อ และ เบสต์ โดยธรรมชาติ คือคำจำกัดความของ จอร์จ เบสต์ โดย เปเล่ หนุ่ม หล่อจากเบลฟาสต์ ทำสถิติลงสนามในนามทีมชาติไอร์แลนด์เหนือไปทั้งสิ้น 37 เกม รวมถึงวีรกรรมฉกบอลจาก กอร์ดอน แบ็งค์ส ไปยิงประตูทีมชาติอังกฤษ ที่วินเซอร์ พาร์ค หรือจะเป็นการแตะลอดขา "นักเตะเทวดา" อย่าง โยฮัน ครัฟฟ์ มาแล้ว เบสต์ เป็นอีกหนึ่งรายที่ทำได้แค่เกือบจะได้ไปเล่นฟุตบอลโลก ในปี 1982 เมื่อไอร์แลนด์เหนือ สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายไปได้สำเร็จ แต่ด้วยวัย 36 ปีในขณะนั้น รวมถึงปัญหาการติดสุราอย่างหนัก ทำให้เขาต้องหลุดจากทีมชุดนั้นไปอย่างน่าเสียดาย
1. อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน (อาร์เจนตินา, โคลอมเบีย, สเปน)
เล่น ให้กับทีมชาติ 3 ชาติ, คว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพ ถึง 5 ครั้ง แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ยอดนักเตะอัจฉริยะในตำนานของ เรอัล มาดริด เข้าไปสัมผัสฟุตบอลโลกได้ ดิ สเตฟาโน เริ่มต้นไขว่ขว้าความฝันเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกกับการลงเล่นให้ทีมชาติ อาร์เจนตินา อย่างไรก็ตาม ทีม "ฟ้า-ขาว" ก็เลือกที่จะปฏิเสธการเข้าร่วมในรอบสุดท้ายสองครั้งในปี 1950 และ 1954 ทำให้เขาตัดใจโยกมาเล่นให้กับ โคลอมเบีย และ สเปน ในเวลาต่อมา แม้ช่วง แรกกับทีม "กระทิงดุ" เจ้าตัวจะไม่สามารถพาทีมเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายในปี 1958 ได้ แต่ ดิ สเตฟาโน ก็มาทำสำเร็จในอีกสี่ปีที่ชิลี แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อก็ทำให้ ดิ สเตฟาโน ต้องพรากจากเวิล์ด คัพ อีกครั้ง ก่อนจะประกาศตัดสินใจเลิกเล่นทีมชาติอย่างน่าเศร้าในเวลาต่อมา
เครดิต:Toptenthailand