ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ
: 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 Oct 2013
ตอบ: 1187
ที่อยู่: ในใจfantaricezy
โพสเมื่อ: Fri Oct 25, 2013 09:59
ถูกแบนแล้ว
บทที่สอง : บทสรุปของจุดเริ่มต้น
ปัจจุบัน
25ตุลา ปี2013 เวลา 07.14น.
ทุกๆเช้าของทุกวัน มันเหมือนกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ผมต้องทำอยู่ตลอดเวลาคือ การตื่นขึ้นมาจากเตียงเล็กๆ ที่ตั้งอยู่มุมสุดของห้องสี่เหลี่ยมขนาดแค่2*2เมตร มันเล็กยังกับรูหนู ใช่แล้วหล่ะ ถ้าไม่บอกว่าเป็นห้องนอนของผม ทุกคนคงจะคิดว่ามันเป็นห้องเก็บของ มันรกขนาดที่รูหนูยังสะอาดกว่านี้เลย
เพราะไอ้โครงการ ไบโอนอยเออร์แม้จะปิดตัวไปนานแต่ยังมีนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มใช้การวิจัยนี้สร้างผลประโยชน์ให้ตัวเอง และมันคือตัวแปรที่ทำให้บทสรุปของผมต้องมาอยู่ที่รูเล็กๆแบบนี้ได้ประมาณสองสามเดือนแล้ว จากที่กำลังนอนรอความตายบนเตียงของโรงพยาบาลเพราะการที่มะเร็งระยะสุดท้ายกินเนื้อสมองผมไปเกือบหมด ผมยังจำตอนที่นอนบนเตียงแข็งๆ นั่นได้ดี มันแข็งจนรู้สึกได้เลยว่าเตียงมันไม่ได้ถูกปูด้วยที่นอนนุ่มๆ เหมือนที่บ้านผม
บทสรุปของทุกๆ วันที่ผมตื่นขึ้นมาคือ เข้ารับการอบรมจากนักวิทยาศาสตร์ตามห้องแล็บและควบคุมสิ่งที่เป็นผลของโครงการไบโอนอยเออร์ตามที่พวกเขาเรียกผมว่า Level Up
ไม่ได้มีแค่ผมหรอกนะที่ต้องทำกิจกรรมเหมือนหุ่นยนต์ทุกวันๆ แบบนี้ ยังมีหลายๆ คนที่รอดจากโครงการบ้าๆ แล้วมาอยู่ยังสถานที่ที่ผมยังไม่รู้เลยว่ามันตั้งอยู่ที่ไหน มันเป็นเมืองขนาดใหญ่ ใหญ่พอๆ กับเมืองหลวงของประเทศที่ผมอาศัยอยู่เลยแหละ
ที่นี่ถูกเรียกว่า เมืองแห่งอนาคต งานวิจัยหลักๆ ของโลกถูกนำมาวิจัยและทดลองที่นี่ มันเพียบพร้อมด้วยเครื่องมือ เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำกว่าข้างนอกนับร้อยปี องค์กรที่ควบคุมทุกอย่างในเมืองนี้ ผมรู้ว่าทุกคนน่าจะรู้ดี
องค์กรที่คุมเศษรฐกิจของประเทศมหาอำนาจโลกทั้งสาม องค์กรที่แทรกตัวเข้าเกือบทุกธุรกิจ ผมเคยทำงานให้กับองค์กรสมัยเรียนจบใหม่ๆ Social Science Cop . หรือรู้จักในนาม SS
ผมจำได้ดีสมัยที่ผมมาทำงานให้กับองค์กรนี้ แม้จะเป็นแค่พนักงานล่างๆ แต่ผมก็รู้ว่าพวกเขาทำอะไรบังหน้า และเบื้องหลังมันเป็นอะไร
เบน เฟรดริค (Ben Frederic) หนึ่งในผู้บริหารของ SS คือคนที่นำผมเข้าสู่โครงการ โบโอนอยเออร์ ผมยังจำสภาพที่ผมเป็นมะเร็งได้ดี เขาช่วยเหลือผม ช่วยเหลือครอบครัวผม และที่สำคัญเขาทำให้ผมมีชีวิตอยู่
ผม ' กอนซาโล่ โคนล่อน ' (Gonzalo Conlon) เกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1987 คือ1ในผู้รอดชีวิตจากโครงการโบโอนอยเออร์ สารกัมมันตรังสีที่กำลังกัดกินสมองผมอย่างช้าๆ นั้นถูกแร่ชนิดหนึ่งที่ทางนักวิทยาศาสตร์ได้ฉีดมันเข้าไปในร่างกายผมด้วยกระบวนการต่างๆ ทำให้ผมมีสภาพเหมือนตายในชั่วขณะ
แล้วอยู่ๆ สมองที่มีแต่เชื้อร้ายเริ่มทำปฏิกิริยากับแร่ชนิดนั่น ระหว่างที่มันกำลังทำปฏิกิริยา มันปลดปล่อยพลังงานชนิดใหม่ๆ ออกมาทั่วร่างกายผม ผมรับรู้ได้ถึงพลังงานนั่น มันช่วยให้ผมเริ่มรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง
ม่านตาที่กำลังถูกปิดมันค่อยๆ ขยายขึ้น ผมเริ่มพล่ามัวแต่ก็ยังเห็นแสงสว่างเจิดจ้าสีขาวส่องมายังนัยน์ตาผม ผมหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะมีเสียงจากข้างๆ มันเบามาก แต่ผมพอจับใจความได้่
'' กอนซาโล่ ได้ยินไหม ''
เขาเรียกชื่อผมอยู่ สติผมค่อยๆ กลับมาหลังถูกบางคนตบหน้า ผมพยายามกดสติให้อยู่กับตัวเองแม้พลังงานที่พุ่งออกมาจากหัวมันจะสะกดให้ผมเหม่อลอย แต่ผมเอามันอยู่ก่อนที่มันจะระเบิดแตกออกจากสมองผมพุ่งพรวดเข้าสู่ทุกเซลล์ในร่างกาย
" อ๊ากกกกกกกก "
ผมร้องออกมาราวกับโดนของแหลมจากใบมีดทิ่มแทงทั้งตัว ผมไม่สามารถบรรยายเป็นความรู้สึกได้ มันเจ็บปวด เจ็บทรมาณเหมือนตอนที่ผมโดนเรอัล มาดริดขายให้กับนาโปลี
ผม...เล่าอดีตความหลังเมื่อสามเดือนก่อน ผมไม่อยากเล่าถึงมันอีก ตอนนี้ผมยังคงใส่ชุดกาวน์สีขาวยาวถึงเข่าพร้อมกับนั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมพื้นผ้าประมาณ6*5เมตร ภายในห้องถูกบรรจุด้วยโต๊ะพร้อมเรียนที่มีเอกสาร อุปกรณ์สำหรับการศึกษาค้นคว้าวิทยาศาสตร์ รอบๆ ตัวผมต่างก็มีสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า มนุษย์อยู่ ทุกคนจะเหมือนกันคือ ใส่ชุดกาวน์สีขาวกับป้ายชื่อที่ทำจากโลหะแข็งๆ ห้อยคอไว้ตลอดเวลา
Gonzalo Conlon
LV-Ps012
นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ห้อยคอของผม...
ผมนั่งบริเวณหลักแรกแถวแรกติดกับผนังห้อง และผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนเข้ามาในห้องหลังจากที่ผ่านมาได้เกือบครึ่งชั่วโมงในการเข้ามาในห้องนี้แล้ว
" เฮ้ย นายอะ "
เสียงทุ้มใสๆ ดังขึ้นข้างหูซ้าย ผมหันควับกลับไปพบว่ามีใครบางคนเรียกผม เธอ...ส่งสายตาทะเล้นมาทางผม ผมขมวดคิ้วพร้อมกับถามกลับว่า
" เรียกฉันเหรอ "
" ใช่ นายนั่นแหละ "
เธอยังส่งสายตาทะเล้นมาหาผม ผมหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมกับมองสารรูปเธอ ผมยาวสลวยตัดหน้าม้าสีม่วงอ่อนๆ ดูเข้ารูปกับใบหน้าคมคาย ริมฝีปากบางเฉียบถูกประดับด้วยลิปสติกอ่อนๆ สีชมพู่ แม้เธอจะนั่งอยู่แต่ผมก็พอประมาณความสูงเธอได้....ร้อยเจ็ดสิบห้าได้
" ฉันเพิ่งถูกย้ายมาที่นี่ ยังไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไหร่ "
เธออธิบาย ก่อนจะหรี่ตาลงพร้อมกับพูดว่า
" ถ้าไม่รังเกียจ ช่วยแนะนำเกี่ยวกับที่นี่ให้ฉันได้ไหม "
ผมนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งแต่มานี่ผมเองก็ไปไหนมาไหนตัวคนเดียวตลอด ยังไม่รู้อะไรมากมายเลย แม้จะรู้จากเรื่องก่อนๆ มาพอสมควรแต่ผมก็ไม่เก็บมาใส่ใจอะไรหรอก รู้สึกตอนนี้เหมือนเป็นโรบอทที่คอยรับคำสั่งจากนักวิทยาศาสตร์ของที่นี่ยังไงยังงั้น แม้จะรู้สึกลำบากใจนิดหนึ่ง แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธเธอ
ผมแนะนำตัวให้เธอรู้จักคร่าวๆ จากชื่อ อายุ แค่นี้ก็พอ ส่วนเธอก็บอกว่าเธอชื่อ ตุ๊กตา จมาพร อายุ25ปี ถูกส่งตัวมาจากประเทศแถวเอเชีย
หลังจากแนะนำตัวกันพอคร่าวๆ ประตูเหล็กหนาสิบเซนติเมตรถูกเปิดออกด้วยระบบอัตโนมัติ ก่อนที่ร่างสูงโปร่ง จะก้าวเข้ามา
ผมส่งสายตาไปยังเขา รูปร่างสูงราวร้อยแปดสิบ นัยน์ตาสีดำถูกปิดด้วยแว่นกรอบขาวตั้งรับกับสันจมูกโด่ง ทรงผมสีดำยาวระต้นคอตั้งชันด้วยเจลระดับเซเว่นยังไม่มีขาย ใบหน้าหล่อคมในแถบละติน ร่างสูงถูกปิดด้วยชุดกาวน์คล้ายของผมแต่กลับไม่มีป้ายห้อยเหมือนทุกคน ผมพิจารณาครู่หนึ่งก่อนติดสินใจกับตัวเองว่า เขาน่าจะอายุราว30ปี
นัยน์ดุๆ ในแว่นเริ่มขมวดลงก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดอะไรสักคำออกมา
" วันนี้มีLevel Study เข้ามาใหม่สามคน นั่งรวมอยู่กับพวกแกหมดแล้ว ฉัน น็อตตี้ ผู้คุมและสอนพวกแกทั้งหมด กฏของฉันคือฉันถูกเสมอ และฉันถูกเสมอ ใครมีปัญหายกมือขึ้นแล้วหมอบลงไปกับโต๊ะ ฉันจะเดินเข้าไปหาเอง "
เสียงทุ้มใหญ่ดังกึกก้องไปทั่วห้อง ผมเห็นแบบนี้จนชินแล้วและ แม้ครั้งแรกจะตกใจอยู่บ้างแต่ครั้งต่อๆ มาเสียงนั่นไม่อาจเข้ามารบกวนจิตใจผมได้อีกแล้วแต่กับตุ๊กตาอาจจะไม่เป็นแบบนั้น
ผมเหลือบไปมองเธออย่างแวบๆ พบว่าเธอกำลังมองนักวิทยาศาสตร์คนนั้นอย่างใจจดใจจ่อราวกับจะกลืนกินเขาไป
" ไม่มีใครมีปัญหา ฉันจะอธิบายให้พวกนายได้รู้ในวันนี้ ถ้าใครที่ยังไม่สามารถแสดงความสามารถของ Level Up ให้ฉันได้เห็น ฉันจะอัดพวกนายให้เข้าโรงบาลหยอดน้ำเกลือสามวัน ใครมีปัญหายกมือขึ้นแล้วหมอบลงไปกับโต๊ะ ฉันจะเดินเข้าไปหาเอง "
ดูเหมือนจะไม่มีใครยกมือขึ้นและเข้าใจในสิ่งที่เขาอธิบายการแสดงพลังพิเศษที่พวกเขาเรียกมันว่า Level Up
ผมสังเกตุดูสีหน้าของตุ๊กตาดูเหมือนเธอจะลังเลที่จะยกมือขึ้นถาม อาจจะเป็นเพราะเธอมาใหม่เลยไม่รู้ว่า Level Up คืออะไร ก่อนที่เธอเก็บมือลงแล้วหันมาหาผมพร้อมแสะยิ้มน้อยๆ
...เธอคงลำบากใจน่าดู
" ไม่มีใครมีปัญหา ใครที่พร้อมแล้วยกมือขึ้นแล้วแสดงให้ฉันดูซะ ถ้าใครทำไม่ได้ฉันจะอัดแกให้กระดูกหัก "
" จะโชว์พลังพิเศษทั้งทีทำไมต้องอยู่ในห้องแคบๆ แบบนี้ด้วยวะ "
เสียงสถบไม่พอใจดังขึ้นมาในกลุ่มของพวกเรา แม้ผมจะไม่รู้ว่าใครพูดแต่ดูเหมือนนักวิทยาศาสตร์สายตาดุจะรู้
เขาเพ่งสายตาดุนั่นไปยังโต๊ะที่อยู่ถัดจากตุ๊กตาไปหนึ่งโต๊ะ ก่อนจะชี้บอกให้เขาลุกขึ้นแสดงพลังให้ดู
" ถ้าแกทำไมได้ละก็ ฉันเอาแกเละแน่ รหัสLV-Ps115 ทานากะ-โทชิ "
หลังจากเรียกชื่อของไอ้หมอนั่นเสร็จ มันก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทรงผมสั้นๆ สีน้ำตาลถูกคาดด้วยผ้าผืนเล็กๆ นัยน์ตาสีทองฉายแววเฉียบก่อนที่เขาจะยกกำปั้นขวาขึ้นมาแล้วกำมันแน่น
หมัดขวาของเขาค่อยๆ มีประกายไฟฟ้าก่อนที่เขาจะซัดมันออกไปหาน็อตตี้ นักวิทยาศาสตรู้ผู้อยู่ตรงหน้า
สายฟ้าสีเข้มพุ่งเข้าหาตัวชายร่างโปร่งอย่างรวดเร็ว ซึ่งผมไม่สามารถคำนวณหาความเร็วมันได้ด้วยสายตาเลยด้วยซ้ำ ถ้าเขาซัดเข้าใส่ผม ผมยังไม่ชัวเลยว่าจะหลบมันพ้นหรือเปล่าถ้าไม่ใช้พลังพิเศษของผม แต่กับชายร่ายโปร่งแค่เบียงตัวเล็กน้อยก็หลบสายฟ้าพิฆาตจากโทชิได้
ตูม!!!!!!! เสียงสายฟ้าปะทะกับผนังห้อง
โทชิ เผยสีหน้าเจ็บใจเล็กน้อยก่อนจะแสะยิ้มกลบใบหน้าเจ็บใจนั่นแล้วนั่งลงอย่างสบายใจ
" รวบรวมอิเล็กตรอนในไว้ที่มือก่อนจะเปลี่ยนมันเป็นไฟฟ้าอย่างฉับพลัน ถือว่าทำได้ดี แต่การควบคุมของแกยังขาดประสิทธิภาพ เมื่อกี้ไฟฟ้าที่พุ่งมาหาฉันด้วยความเร็วแค่75เมตรต่อวินาที ซึ่งยังถือว่าช้ากว่าฟ้าฝ่าอยู่มาก "
พูดจบน็อตตี้ก็หยิบเอกสารรายงานของเขาขึ้นมาแล้วจดอะไรบางอย่างลงไปก่อนที่เขาจะบอกให้คนอื่นๆ ยกมือ
....การทดลองพลังพิเศษเริ่มผ่านไปเรื่อยๆ บางคนใช้ไม่ได้ก็โดนเขาอัดแค่ครั้งเดียวถึงกลับเสียงกระดูกดังกรอบๆ บางคนใช้ได้แต่ไม่สามารถควบคุมมันได้ก็พลอยโดนคนข้างๆ จนตอนนี้เหลือแค่5คนที่ยังไม่แสดงรวมถึงผมด้วย
หวังว่าครั้งนี้ผมคงจะยกมือขึ้นนะ มันคงจะเป็นจุดจบของจุดเริ่มต้นที่ดีในการมีคนรู้จักครั้งแรกที่ได้มาอาศัยอยู่ในนี้ เมืองแห่งอนาคต มีอะไรรอผมอยู่กันแน่ ผมเองก็อยากรู้คำตอบมันเหมือนกัน
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ