บาร์คลี่ย์ :''เจอร์ราร์ดบอกผมอย่าย้ายจากเอฟเวอร์ตัน''
หากพูดถึงนักเตะดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดบนเกาะอังกฤษในตอนนี้ หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้น "รอสส์ บาร์คลี่ย์" กองกลางวัย 19 ปีของเอฟเวอร์ตัน หลังจากทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา จนตกเป็นข่าวได้รับความสนใจจากหลายทีมรวมถึงเชลซี แต่ไฮไลท์จริงๆ อยู่ที่การถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ และลงสนามมาเป็นตัวสำรองในเกมถล่มทีมชาติมอลโดว่า 4-0 ในศึกฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก เมื่อวันที่ 6 กันยายน
บาร์คลี่ย์ ถูกรอย ฮ็อดจ์สัน ส่งลงสนามมาแทนแจ็ค วิลเชียร์ ในนาทีที่ 60 และเกือบจะทำประตูสุดสวยได้ด้วย และแม้ว่าการประเดิมเล่นให้ทัพ "สิงโตคำราม" เกมแรกจะเป็นประสบการณ์ที่ลืมได้ยากแล้ว แต่อีกหนึ่งเรื่องที่มิดฟิลด์ดาวรุ่งรายนี้จะจดจำไปอีกนานคือช่วงเวลาบนรถบัสทีมระหว่างทางจากโรงแรมโกรฟโฮเตลไปยังสนามเวมบลีย์ เขาได้นั่งข้างสตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมชาติอังกฤษ และนั่นเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่นักเตะรุ่นพี่จะให้คำแนะนำดีๆ แก่รุ่นน้อง แม้ว่าจะเป็นนักเตะจากสโมสรคู่ปรับร่วมเมืองก็ตาม
เจอร์ราร์ดเกิดที่เมอร์ซี่ไซด์และอยู่กับลิเวอร์พูลมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะเยาวชน ก่อนจะลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษเกมแรกในวัย 20 ปีเมื่อปี 2000 ขณะที่บาร์คลี่ย์เป็นชาวลิเวอร์พูลโดยกำเนิดและอยู่กับเอฟเวอร์ตันตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะเยาวชนเช่นกัน จนกระทั่งได้เล่นทีมชาตินัดแรกในวัย 19 ปีเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ และจนถึงปัจจุบัน เจอร์ราร์ด ยังคงภักดีกับทัพ "หงส์แดง" ไม่เคยเปลี่ยน และนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่เขาภาคภูมิใจที่สุด และต้องการให้รุ่นน้องอย่างบาร์คลี่ย์ได้สัมผัสประสบการณ์แบบเดียวกัน แม้นั่นหมายความว่าบาร์คลี่ย์อาจจะก้าวขึ้นมาเป็นจอมทัพในอนาคตของทีมคู่ปรับร่วมเมืองแบบที่เขาเป็นกับลิเวอร์พูลก็เป็นได้
การก้าวขึ้นมาของบาร์คลี่ย์เรียกเสียงฮือฮาในเมอร์ซี่ย์ไซด์ได้เหมือนสมัยของเวย์น รูนี่ย์ และด้วยความคล่องแคล่ว พละกำลัง และการเล่นได้ทั้งสองเท้า ทำให้โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ กุนซือเอฟเวอร์ตัน นำเขาไปเทียบกับมิชาเอล บัลลัค อดีตกัปตันทีมชาติเยอรมนี อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญไม่แพ้ฝีเท้าคือเรื่องทัศนคติ นักเตะอายุน้อยที่ก้าวขึ้นเล่นระดับสูงและได้รับเสียงชื่นชมมากมายอาจจะหลงระเริงไปกับคำหวานเหล่านั้นได้ แต่ผู้คนรอบข้างบาร์คลี่ย์จะไม่ปล่อยให้เขาเป็นอย่างนั้นแน่นอน อย่างน้อยก็ไดแอน คุณแม่ของเขาคนหนึ่งล่ะ
อย่างไรก็ตาม ความฝันของบาร์คลี่ย์ที่จะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดเกือบพังทลายลงตอนเขาเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ ชุดยู-19 ในเกมกับเบลเยียม เดือนตุลาคม ปี 2010 เมื่อเขาชนกับอันเดร วิสดอม กองหลังเพื่อนร่วมทีมจากลิเวอร์พูลจนทำให้ขาหักสองท่อน และแพทย์ที่เบลเยียมคนหนึ่งบอกว่าเขาอาจไม่ได้กลับมาเล่นฟุตบอลอีก ซึ่งในช่วงนั้นเองเป็นช่วงที่คุณแม่ของเขามีบทบาทสำคัญต่อเส้นทางนักฟุตบอลของเขามากที่สุด
ในฤดูกาล 2012-13 มีโอกาสหลายครั้งที่บาร์คลี่ย์จะขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของเอฟเวอร์ตันได้ แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เดวิด มอยส์ ผู้จัดการทีมในตอนนั้นตัดสินใจว่ายังไม่ถึงเวลาของเขา ซึ่งนั่นทำให้แฟนๆ ของเอฟเวอร์ตันผิดหวังพอๆ กับตัวบาร์คลี่ย์เอง ก่อนที่เขาจะถูกปล่อยตัวให้เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ และลีดส์ ยูไนเต็ด ยืมตัวไปใช้งาน แต่ถึงอย่างนั้นบาร์คลี่ย์ก็ไม่เคยมีความรู้สึกไม่ดีกับมอยส์เลย เพราะกุนซือชาวสกอตเป็นคนออกเงินให้บาร์คลี่ย์และครอบครัวไปพักผ่อนที่เตเนริเฟ่ เกาะชื่อดังของประเทศสเปน แถมยังให้โอกาสเขาสัมผัสเกมพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในเกมกับควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ส เมื่อ 2 ปีก่อน
Q: เห็นว่าตอนอยู่บนรถบัสทีมอังกฤษ คุณนั่งข้างสตีเว่น เจอร์ราร์ด คุณคุยอะไรกับเขาบ้าง หรือเขาให้คำแนะนำอะไรดีๆ ไหม?
บาร์คลี่ย์ :เขาบอกผมว่าผมมาจากลิเวอร์พูล เป็นเด็กท้องถิ่นที่เล่นให้กับทีมที่ตัวเองเชียร์ และมันไม่มีอะไรดีไปกว่านั้นแล้ว และเขาเองก็ทำมันมาตลอดอาชีพของเขา เขาบอกว่าการลงเล่นเป็นสิ่งสำคัญสุด การย้ายไปทีมอื่นและไม่ได้ลงเล่นจะไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาของผม ผมรู้สึกประหม่านิดหน่อยตอนผมเข้าไปร่วมทีมครั้งแรก แต่สตีเว่นดีกับผมมาก ผมนั่งข้างเขาบนรถบัสทีมและเขาให้คำแนะนำผมเยอะเลย เขาบอกว่าพวกทีมใหญ่ๆ จะตามหาผมแน่ แต่สิ่งสำคัญคือให้ผมอยู่กับสโมสรที่ผมอยู่ตอนนี้ ทีมที่ผมรักและเชียร์ นั่นก็คือเอฟเวอร์ตัน
Q: คุณเซ็นสัญญากับเอฟเวอร์ตันตั้งแต่อายุ 11 ปี ชีวิตของคุณตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?
บาร์คลี่ย์ :แม่ต้องคอยดูแลน้องสาวของผม ดังนั้นผมต้องเดินทางไปซ้อมด้วยตัวเอง ผมจะนั่งรถเมล์เข้าเมืองและต่ออีกสายหนึ่งไปที่เนเธอร์ตัน (ที่ตั้งศูนย์เยาวชนแห่งเก่าของเอฟเวอร์ตัน) มันใช้เวลาประมาณชั่วโมงหนึ่ง ผมต้องขึ้นสาย 79 จากนั้นก็ไปสาย 58 หรือ 51A มันยังตราตรึงอยู่ในหัวผม มีผู้เล่นคนอื่นในวัยไล่เลี่ยกันที่มีเงินมากมาย มีผู้เล่นคนหนึ่งที่พ่อแม่ของเขาขับรถเบนท์ลี่ย์มาส่ง ผมจะยืนรอที่ป้ายรถเมล์ พวกเขามักถามผมว่าจะให้ไปส่งบ้านไหม แต่ผมปฏิเสธตลอดเพราะผมขี้อาย แม่มีอิทธิพลต่อผมมากที่สุด คุณเห็นผู้เล่นหลายคนที่เอฟเวอร์ตันที่พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาแต่ทำเกรดไม่ดี แม่คอยช่วยผมและทำให้ผมเป็นคนถ่อมตัว ตอนนี้ผมย้ายออกมาอยู่เองแล้ว แต่ผมยังกลับไปกินข้าวเย็นกับแม่เป็นประจำ
Q: ตอนที่คุณขาหักรุนแรง คุณคิดว่าอนาคตนักฟุตบอลของคุณจะเป็นอย่างไรบ้าง?
บาร์คลี่ย์ : ผมมองดูเวย์น รูนี่ย์ เขาเล่นให้เอฟเวอร์ตันตั้งแต่อายุ 16 ผมต้องการทำแบบเดียวกัน ผมได้อยู่ที่ซุ้มม้านั่งสำรอง 4 ครั้ง และเดวิด มอยส์ บอกว่าเขาไม่กลัวที่จะส่งผมลงสนาม ผมคิดว่าผมจะได้ประเดิมเกมแรกตอนอายุ 16 แต่จากนั้นผมขาหักเสียก่อน มันน่ากลัว แต่แม่บอกว่าผมจะไม่เป็นไร ผมมีช่วงเวลาที่ยากลำบากและมันยากสำหรับจิตใจด้วย ตลอดช่วงเวลาที่บาดเจ็บผมต้องอดทนและต้องรอการเล่นให้ทีมชุดใหญ่นานขึ้น แต่ตอนนี้ผมแค่สนุกกับทุกอย่าง
Q: ตอนนี้คุณได้รับโอกาสจากโรเบร์โต้ มาร์ติเนซ ให้ลงสนามเป็นประจำ มันเหมือนว่าคุณไม่ค่อยได้รับความไว้ใจแบบนี้ในยุคของมอยส์ คุณมีอะไรจะพูดถึงเขาสักหน่อยไหม?
บาร์คลี่ย์ :หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ผมขาหักนั้น ผมพักอยู่ที่บ้าน และเขา (มอยส์) ก็มาหาผมที่บ้าน มีเด็กๆ มารออยู่หน้าบ้านผมพอพวกเขารู้ว่าเขาอยู่ในบ้าน นั่นเป็นสิ่งสำคัญ โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ เชื่อใจผมมากกว่า แต่มอยส์ก็ให้โอกาสกับผม
Q: คุณได้เริ่มต้นกับทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ไปแล้ว คุณคิดว่าคุณจะได้ไปบราซิลในซัมเมอร์ปีหน้าไหม หากทีมผ่านเข้ารอบไปได้?
บาร์คลี่ย์ : ผมวางเป้าหมายของผมไปที่ฟุตบอลโลกเหมือนกัน มันเป็นเป้าหมายหนึ่งของผมที่จะเห็นตัวเองอยู่ในทีมชุดสู้ศึกฟุตบอลโลก มันจะเป็นงานยาก แต่หากผมทำงานหนัก ผมก็หวังว่าผมจะได้ตั๋วเครื่องบินร่วมเดินทางไปด้วย รอย ฮอดจ์สัน บอกให้ผมทำงานหนักต่อไปและทำสิ่งที่ผมทำตั้งแต่เริ่มฤดูกาลนี้มา เขาบอกผมว่าอย่าท้อแท้หากถูกจับนั่งเป็นตัวสำรอง เขาตั้งความหวังกับผมไว้สูง เขามองว่าผมสามารถร่วมทีมไปบราซิลได้ถ้าผมพัฒนาฝีเท้าต่อเนื่องเหมือนกับที่ผมทำอยู่ คุณสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ โรเบร์โต้อนุญาตให้ผมทำผิดพลาดได้เพื่อผมจะได้เรียนรู้จากมัน เขาให้ข้อมูลกับผมว่าตรงไหนห้ามพลาด ตรงไหนที่ลองเสี่ยงได้ ผมจดจำมันไว้เป็นอย่างดี
เครดิต : บ่อน้ำร้อน