สัญลักษณ์ของหน่วย เอส เอส จะเป็นรุปสายฟ้าฟาด 2 อัน
หน่วยทหาร เอส.เอส. เป็นหน่วยทหารที่ถือกำเนิดมาจาก หน่วยองครักษ์ประจำตัวของอดอฟ ฮิตเลอร์ (Hitler's bodyguard) เป็นหน่วยทหารที่ได้ชื่อว่า มีวินัย มีประสิทธิภาพในการรบที่สูงสุดหน่วยหนึ่งของกองทัพเยอรมัน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ชื่อภาษาเยอรมัน คือ Waffen SS. หรือ Armed SS. ในภาษาอังกฤษ หรือ หน่วยเอส เอส ในภาษาไทยนั่นเอง
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
หน่วยเอส เอส เป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ไม่ว่าสถานการณ์จะคับขันสักเพียงใด หน่วยเอส.เอส. จะถูกส่งเข้าไปแก้ไขวิกฤตินั้น และมักจะปฏิบัติภารกิจจนบรรลุผลสำเร็จอยู่เสมอ
จนกระทั่งฮิตเลอร์เชื่อว่า หน่วยเอส.เอส. เป็นหน่วยทหารที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาได้ทุกปัญหา ซึ่งในที่สุดก็นำไปสู่ความจริงที่ว่า หน่วยเอส.เอส. ก็คือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี แต่จะสามารถรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ด้วยการส่งกำลังที่เพียงพอ
แต่ในช่วงปลายของสงคราม การส่งกำลังบำรุงของเยอรมัน ประสบกับความเสียหาย จากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร หน่วยเอส.เอส.ที่มีจิตใจรุกรบ แต่อ่อนล้าจากการกรำศึกมานานกว่าสี่ปี ประกอบกับอาวุธที่เยี่ยมยอด แต่ขาดการส่งกำลังบำรุง จึงต้องประสบกับความพ่ายแพ้ไปในที่สุด
หน่วย เอส เอส เป็นหน่วยรบที่เก่งกาจที่สุดในช่วงต้นของสงคราม
สาเหตุที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จัดตั้งหน่วยอารักขาในชุดสีดำ เอส.เอส. นี้ขึ้นมา ก็เนื่องจากเขาไม่ไว้วางใจกองทัพเยอรมันว่า จะสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่หรือไม่ ในช่วงแรกๆของการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำ หรือ ฟือเรอร์ (Fuhrer) กองกำลังเอส.เอส. จึงถูกจัดตั้งขึ้น เสมือนเป็นบอดี้การ์ดประจำตัวของฮิตเลอร์ กำลังพลของเอส.เอส.จะได้รับการอบรม ฝึกฝนให้จงรักภักดีต่อผู้นำของเขาอย่างจงรักภักดี และปราศจากคำถามใดๆทั้งสิ้นของคำสั่ง จากอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
SS หรือ SchutzStaffel ซึ่งมีความหมายว่ากองกำลังป้องกัน (Protection Squad) อยู่ภายใต้การนำของ ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ (Heinrich Himmler) อันเป็นบุคคลที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีมีความไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่ง หน่วยเอส.เอส. ตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1923 ในขณะนั้นมีสมาชิกเพียง 280 คน ต่อมาขยายเพิ่มเป็น 1,000 คน
ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ (Heinrich Himmler)
พอในปี ค.ศ. 1932 หน่วยเอส.เอส. ก็มีกำลังพลอยู่ถึง 10,000 คน พอถึงช่วงกลางของสงครามโลกครั้งที่สอง หน่วยเอส เอส ก็ขยายกำลังพลออกไปถึง 38 กองพล โดยแต่ละกองพลต่างก็มีกรมย่อยๆ ออกไปอีกเป็นจำนวนมาก ในปี 1939 มีทหารเอส เอส กว่า 35,000 คน ปี 1941 เพิ่มเป็นกว่า 150,000 คน ปี 1943 มีจำนวนกว่า 450,000 ปี 1944 มีกว่า 600,000 คน และปีสุดท้ายของสงคราม คือ ปี 1945 มีกว่า 830,000 คน รวมทั้งหมด มีทหารเอส เอส กว่า 1,000,000 คนในสงครามครั้งนี้ และมีทหารเอส เอส เสียชีวิตและสูญหายตลอดสงครามกว่า 250,000 คน บาดเจ็บอีกกว่า 400,000 คน
กองพลที่มีชื่อเสียงของเอส เอส ก็เช่น
1. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 ไลป์สตานดาร์ด
2. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 ดาส ไรซ์
3. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ
4. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 5 ไวกิ้ง
5. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 9 โฮเฮนสเตาเฟน
6. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 12 ฮิตเลอร์จูเกน เป็นต้น
สัญญลักษณ์ของ กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 ไลป์สตานดาร์ด อดอฟ ฮิตเลอร์ (1st SS. Panzer Division Leibstandarte Adolf Hitler) ซึ่งเป็นกองพลยานเกราะมีชื่อเสียงมาก กองพลหนึ่งของเยอรมัน ได้รับความสูญเสียอย่างหนักในสมรภูมิ Kursk ของรัสเซีย
อย่างไรก็ตามกำลังพลของหน่วยนี้ได้สร้างชื่อเสียงในด้านความกล้าหาญไว้หลายคน เช่น ไมเคิล วิทท์มาน (Michael Wittmann) ที่มียอดการทำลายรถถังของข้าศึกสูงที่สุด ในสงครามโลกครั้งที่สอง
นอกจากนี้ก็ยังมี Kurt Sametreiter ซึ่งในระหว่างการรบที่ Kursk เขาสามารถทำลายรถถังของรัสเซียได้ถึง 24 คัน ด้วยปืนต่อสู้รถถังของหน่วยเพียง 4 กระบอก
นอกจากนี้ในสมรภูมิเดียวกัน รถถัง Panzer VI - Tiger ของกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 ไลป์สตานดาร์ด หมายเลข 13 เพียงลำเดียว สามารถทำลายรถถังของรัสเซียได้ถึง 20 คัน ในการรบเพียงสองชั่วโมงแรก ยอดการทำลายรถถังรัสเซียของกองพลนี้ มีสูงถึง 500 คัน ในการรบที่ Kursk ก่อนทีฮิตเลอร์จะสั่งยกเลิกการรุก เพราะความสูญเสียของฝ่ายเยอรมัน มีสูงมาก แม้ไม่มากเท่าฝ่ายรัสเซีย แต่ก็เป็นความสูญเสียที่ไม่สามารถฟื้นคืนได้ ในระยะเวลาอันสั้น
ร้อยเอก ไมเคิล วิทท์มาน (Michael Wittmann) ผู้บังคับรถถังของ กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 ลีปสตานดาร์ด อดอฟ ฮิตเลอร์ (1st SS. Panzer Division Leibstandarte Aolf Hitler) ที่สามารถทำลายรถถังของข้าศึกได้กว่า 130 คัน เป็นสถิติที่สูงที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สอง
โดยเฉพาะการรบที่ Villers-Bocage ในนอร์มังดี ฝรั่งเศส ปี 1944 ซึ่งฝ่ายพันธมิตรยกพลขึ้นบกในวันดี เดย์ และขณะที่กองพลน้อยยานเกราะที่ 22 ของอังกฤษ (22nd Armoured Brigade) กำลังรุกเข้าสู่เมืองคานส์ (Caen) ในวันที่ 13 มิ.ย. 1944 กรมยานเกราะที่ 4 ที่เป็นส่วนล่วงหน้าของกองพลได้หยุดพักที่ Villers-Bocageไมเคิล วิทท์มานพร้อมกับรถถัง Panzer VI - Tiger จำนวน 5 คัน ได้เข้าโจมตีรถถังของอังกฤษทั้งกรม โดยรถถังของไมเคิลได้วิ่งออกจากที่ซ่อนเพียงลำพัง ผ่านทุ่งโล่ง มุ่งหน้าเข้าหน่วยรถถังของอังกฤษที่กำลังจอดพักคอยกำลังส่วนใหญ่ และวิ่งวนไปรอบๆ ก่อนที่ทหารอังกฤษจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น รถถัง Cromwel ของอังกฤษ 4 คันก็ถูกไมเคิล วิทท์มานทำลาย ทหารอังกฤษทำการตอบโต้ ไมเคิล ถอยไปรวมกับรถถังที่เหลือ แล้วเข้าตีอีกครั้ง รถถังทั้งหมดกว่า 20 คันของอังกฤษถูกทำลาย
การรบดำเนินไปถึงเวลากลางคืน ฝ่ายเยอรมันกลับไปเติมน้ำมันและกระสุน ก่อนที่เข้าตีอีกครั้ง ฝ่ายอังกฤษพยายามเสริมกำลังเข้ามา เพื่อทำลายรถถังเยอรมัน จำนวนเพียงน้อยนิดนี้ แต่เยอรมันก็สู้ยิบตา
พลประจำปืนใหญ่ต่อสู้รถถังของอังกฤษ ยิงถูกรถถังของไมเคิล จนสายพานขาด แต่ไมเคิลและพลประจำรถทุกคนสามารถหลบหนีไปท่ามกลางความมืดได้ ฝ่ายอังกฤษสูญเสียอย่างหนัก โดยสูญเสียรถถัง Cromwel ไปอีก 27 คัน ในขณะที่ฝ่ายเยอรมันสูญเสียรถถังเพียงคันเดียว
การรบครั้งนี้ทำให้อังกฤษ ต้องหยุดการรุกเข้าสู่เมืองคานส์ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่หน่วยรถถังของไมเคิล วิทท์มานต้องถอนตัวออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสีย และในวันที่ 14 มิ.ย. 1944 กองพลยานเกราะที่ 2 เวียนนา (2nd Panze Vienna) ของเยอรมันก็เข้ามาถึงแนวรบที่คานส์และกลับเข้ายึด Villers-Bocage จากฝ่ายอังกฤษได้อีกครั้ง การรบในครั้งนี้ ทำให้ไมเคิล วิทท์มาน ได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็ก ชั้นอัศวินประดับใบโอ็คและดาบ
ขบวนยานยนต์ของกองพล เอส เอส ที่ 1 ไลป์สตานดาร์ด อดอฟ ฮิตเลอร์ ขณะเคลื่อนที่ในยูเครน ของรัสเซีย ในปี 1941 ซึ่งเป็นช่วงต้นของ ยุทธการบาร์บารอสซ่า (Barbarossa) ซึ่งเป็นยุทธการในการบุกเข้าไปในรัสเซีย โดยไลป์สตานดาร์ด ขึ้นสายการบังคับบัญชากับกองทัพน้อยที่ 54 ของกลุ่มกองทัพใต้ (Army Group South) มีเป้าหมายอยู่ที่แหล่งน้ำมันในคอเคซัส การสู้รบในรัสเซีย เป็นสิ่งที่กำลังพลของ เอส เอส ทุกคนใฝ่ฝัน เพราะเป็นการสู้รบกับศัตรูตัวฉกาจของอาณาจักรไรซ์ที่ 3 นั่นคืิอ พวกบอลเชวิค พวกคอมมิวนิสต์ ซึ่งจะต้องถูกทำลายให้สูญสิ้นเช่นเดียวกับพวกยิว
ทหารเอส เอส สังกัด กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 ไลป์สตานดาร์ด อดอฟ ฮิตเลอร์ (1st SS. Panzer Division Leibstandarte Adolf Hitler) ขณะกำลังช่วยปฐมพยาบาลทหารรัสเซียที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ ในช่วงต้นของการรบที่ สมรภูมิเคริซ (Kursk) ในปี 1943 ซึ่งในสมรภูมินี้ กองพลไลป์สตานดาร์ด ได้รับความเสียหายอย่างหนัก แม้จะสามารถทำลายกำลังของฝ่ายรัสเซียได้เป็นจำนวนมาก จนต้องย้ายกลับไปปรับกำลังใหม่ที่อิตาลี
สัญญลักษณ์ของ กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 ดาส ไรซ์ (2nd SS. Panzer Division Das Reich) กองพลนี้ เป็นกองพลที่มีประวัติการรบไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 เป็นกองพลที่ฮิตเลอร์คาดหวังในความสำเร็จอยู่เสมอ
ดังเช่นการรบที่เมืองคาร์คอฟ (Kharkov) ของรัสเซีย ที่กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 นี้สามารถรุกเข้ายึดเมืองคืนมาจากทหารรัสเซียได้ เป็นเหตุให้ฮิตเลอร์มีความเชื่อมั่นในหน่วย เอส เอส มากจนวางแผนยุทธการซิทาเดล (Citadel) ขึ้น เพื่อทำการรบที่ Kursk โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากฝ่ายเสนาธิการของเขาว่า เยอรมันยังไม่พร้อม ที่จะทำการรุก เป็นผลให้ หน่วย เอส เอส ทุกหน่วยที่เข้าร่วมยุทธการ ต้องสูญเสียอย่างหนักในที่สุด
หน่วยมอเตอร์ไซค์ของกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 ดาส ไรซ์ จะสังเกตุเห็น เครื่องหมายสัญญลักษณ์ของกองพล ที่บริเวณตอนท้ายของรถมอเตอร์ไซค์พ่วง
เสื้อพรางของหน่วย เอส เอส จะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือใส่คลุมเฉพาะเสื้อเครื่องแบบ และหมวก แต่กางเกงยังคงเป็นกางเกงสีเทาปกติ สีพรางจะออกสีใบไม้ช่วงฤดูใบไม้ร่วง คือออกสีน้ำตาลแดง เหมือนสีพรางในภูมิประเทศในเอเชีย สหรัฐอเมริกาเคยนำชุดพรางที่ใช้ในการรบกับญี่ปุ่น ในแปซิฟิคไปใช้ในช่วงวันดี เดย์ ปรากฎว่าสร้างความสับสนให้กับทหารทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างมาก ส่งผลให้เกิดการยิงฝ่ายเดียวกัน (friendly fire) จนสหรัฐอเมริกา ต้องยกเลิกการนำชุดพรางของตนในแปซิฟิค ไปใช้ในยุโรป
โปรดสังเกตุทหารคนซ้ายมือของภาพ มีซองกระสุนของปืนกลมือแบบ MP 40 ขนาด 9 มม.ติดที่เข็มขัดด้านหน้า ซองกระสุนนี้บรรจกระสุนุได้ซองละ 32 นัด ส่วนทหารที่เหลือ สะพายปืนเล็กยาวเฉียงไหล่ ซึ่งปกติ ทหารเยอรมันทั้งหน่วยปกติ และหน่วย เอส เอส จะใช้ปืนเล็กยาว Karabiner Kar 98 K ใช้กระสุนขนาด 7.92 มม. เป็นอาวุธหลัก
ทหารเอส เอส สังกัด กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 ดาส ไรซ์ (2nd SS. Panzer Divsion Das Reich) กำลังยิงปืนใหญ่ต่อสู้รถถังขนาด 50 มม.ใส่เป้าหมายในการรบในรัสเซีย แม้ว่าทหารเอส เอส จะมีความกล้หาญ เด็ดเดี่ยว และทำการรบแบบกล้าตาย บ้าบิ่น มีความเชื่อมั่นในความเป็นยอดคน ของชนชาติอารยันสูง แต่ด้วยการหล่อหลอมให้มีความรู้สึกหลงชาติ และมองชนชาติอื่น เช่น ยิว รัสเซีย โปแลนด์ เป็นกลุ่มที่ด้อยกว่า บางครั้งถูกจัดให้เป็นพวกต่ำกว่ามนุษย์ ทำให้ หน่วยเอส เอส เข้าไปเกี่ยวข้องการทำลายล้างเผ่าพันธ์ต่างๆ ด้วยความโหดเหี้ยม
รถถัง Panzer VI - Tiger ของ กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 ดาสไรซ์ (2nd SS. Panzer Division Das Reich) ในสมรภูมิ Kursk โปรดสังเกตุเครื่องหมายของหน่วย ที่อยู่ด้านหน้าของตัวรถ ทางด้านซ้ายของภาพ ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่กำหนดขึ้นมาเพื่อพรางในยุทธการนี้
ทหารเยอรมันเคลื่อนที่ผ่านทุ่งกว้างไปพร้อมกับรถถัง Panzer VI - Tiger ของกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 ดาส ไรซ์ ในสมรภูมิ Kursk ประเทศรัสเซีย ตามยุทธการซิทาเดล (Citadel) โดยฮิตเลอร์หวังว่า ด้วยประสิทธิภาพของรถถังรุ่นนี้ จะทำให้การได้เปรียบของรถถัง T 34 ของฝ่ายรัสเซียลดลง รถถังรุ่นนี้ติดปืนใหญ่ 88 มม. มีเกราะหนา มีความคงทน มีล้อสายพานที่กว้าง เลียบแบบจากรถถัง T 34 ของรัสเซีย เพื่อให้มีความคล่องตัวในการเคลื่อนที่ในภูมิประเทศที่เป็นหนองน้ำ ที่เลน หรือหิมะที่อ่อนตัว
รถถัง Panzer VI - Tiger ของกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 ถูกใช้เป็นหัวหอกในการรุกจากทางใต้ของสมรภูมิ มุ่งขึ้นเหนือ และต้องพบกับการต้านทานของฝ่ายรัสเซียที่มีแนวตั้งรับถึง 6 แนว พร้อมกำลังพลอีกกว่า 1 ล้านคน ทุ่นระเบิดรถถังกว่าครึ่งล้านลูก ซึ่งสร้างความสูญเสียให้กับฝ่ายเยอรมันอย่างมาก
แม้ว่าทหารเอส เอส จะต่อสู้ด้วยความกล้าหาญ และเด็ดเดี่ยว เช่น รถถังหมายเลข 13 ของกองพลนี้ เพียงคันเดียว สามารถทำลายรถถัง T 34 ของรัสเซียได้ถึง 20 คัน ภายในเวลาเพียงไม่ถึงสองชั่วโมงของการรบ และกองพลดาส ไรซ์ สามารถทำลายรถถังของรัสเซียได้กว่า 500 คันตลอดการรบที่ Kursk
อย่างไรก็ตาม ความสูญเสียของฝ่ายเยอรมันก็มีสูงมาก แม้จะไม่มากเท่ากับฝ่ายรัสเซีย แต่ก็เป็นความสูญเสียที่ยากจะฟื้นฟูได้ ทหารเยอรมันเสียชีวิตกว่า 100,000 คนในสมรภูมินี้ ฝ่ายรัสเซียสูญเสียกว่า 250,000 คน กำลังรถถังของเยอรมันตลอดทั้งแนว เหลือไม่ถึง 150 คัน ฮิตเลอร์จึงประกาศยกเลิกยุทธการซิทาเดล ในที่สุด
ทหารเยอรมันขณะกำลังเดินทางร่วมกับกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 ดาส ไรซ์ ในประเทศฝรั่งเศส ปี 1944 เพื่อเคลื่อนพลเข้าไปจัดตั้งแนวตั้งรับทหารพันธมิตร ที่ยกพลขึ้นบกขึ้นที่นอร์มังดี กองพลนี้มีบทบาทอย่างมากในการรบที่นอร์มังดี หลังจากวันดี เดย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรบที่ Falaise Pocket ซึ่งทหารเยอรมันจำนวนมากตกอยู่ในวงล้อม และถูกกำลังทางอากาศของพันธมิตรรุมถล่ม จนได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 ได้วางแนวต้านทานทหารพันธมิตร เพื่อเปิดช่องว่างให้กำลังทหารเยอรมันส่วนใหญ่สามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้ ก่อนที่จะถูกทำลายลงทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม กองพลดาส ไรซ์ก็ประสบกับความสูญเสียอย่างหนักจากการรบที่นอร์มังดี ทั้งกองพลเหลือทหารเพียง 450 คน และรถถังอีกเพียง 25 คัน ส่วนกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 12 ฮิตเลอร์ จูเก้น (12th SS. Panzer Division Hitlerjugend) ซึ่งร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับดาส ไรซื ก็เสียหายอย่างหนักเช่นกัน โดยเหลือทหารเพียง 300 คน และรถถังเพียง 10 คัน
รถถังติดตั้งปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 20 มม. จำนวน 4 ลำกล้อง ของทหารเอส เอส ในแนวหน้าด้านรัสเซีย หากสังเกตุให้ดีในภาพนี้ จะเห็นว่ารถถังที่ใช้เป็นฐานของปืนต่อสู้อากาศยาน ก็คือรถถัง T 34 ของรัสเซียที่ฝ่ายเยอรมันยึดได้ และอาจจะนำมา่ถอดป้อมปืนออกไป หรืออาจจะเป็นเพราะป้อมปืนถูกยิงจนหลุดออกไป และนำมาติดตั้งปืนต่อสู้อากาศยาน
ความขาดแคลนของเยอรมันในแนวหน้ารัสเซีย ไม่ได้มีแต่ความขาดแคลนยานเกราะเท่านั้น เครื่องบินของกองทัพอากาศเยอรมัน ก็มีจำนวนไม่เพียงพอที่จะรักษาน่านฟ้า จากฝูงบินรัสเซียที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งเครื่องบินรุ่นใหม่ๆ ของรัสเซียก็มีประสิทธิภาพที่นักบินเยอรมันไม่สามารถจะประมาทได้เลย ดังนั้นทหารเยอรมันภาคพื้นดิน จึงต้องพยายามหาทางป้องกันตัวเองจากการโจมตีทางอากาศที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา
สัญญลักษณ์ของ กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ (3rd SS. Panzer Division Totenkopf) ซึ่งแต่เดิมหน่วยโทเทนคอฟมีอยู่ 5 กรม กรมที่ 1 คือกรมโทเทนคอฟ สตานดาร์ด I (1st Totenkopf Standarte Regiment) มีหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ประจำค่ายกักกันที่ ดาเชา (Dachau) ในเยอรมัน ค่ายนี้คุมขังพวกยิว คอมมิวนิสต์ซ้ายจัด หรือผู้ต่อต้านนาซี ขึ้นชื่อในเรื่องความโหดเหี้ยม
จนในเดือนตุลาคม 1939 จึงได้มีการรวมกรมต่างๆมาเป็นกองพลโทเทนคอฟ โดยผู้บังคับการค่ายกักกันดาเชา ชื่อ ทีโอดอร์ อิคค์ (Theodor Eicke) ซึ่งภายหลังเป็นผู้บังคับหน่วยที่ฮิตเลอร์ไว้วางใจที่สุดคนหนึ่ง
ด้านหลังของรถถัง จะเห็นภูมิประเทศของสมรภูมิ Kursk ในรัสเซีย ซึ่งเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ และไร่ข้าวโพด ฝ่ายรัสเซียซึ่งเป็นฝ่ายตั้งรับ สามารถสังเกตุเห็นการเคลื่อนที่ของฝ่ายเยอรมันได้อย่างชัดเจนในระยะไกล รวมทั้งยังสามารถใช้อำนาจการยิงของปืนใหญ่ สกัดกั้นการเคลื่อนที่ของฝ่ายเยอรมันอย่างได้ผล เป็นผลให้ฝ่ายเยอรมันประสบความสูญเสียเป็นอย่างมาก
กำลังพลของกองพลโทเทนคอฟ กำลังรุกผ่านซากรถถัง T 34 ของรัสเซียในแนวรบด้านตะวันออก ในปี 1944 ซึ่งในห้วงเวลานี้ เยอรมันตกเป็นฝ่ายตั้งรับใ
นทุกแนวรบ แม้ว่าทหารเอส เอส จะสู้อย่างกล้าหาญ แต่กำลังพลที่มีความสามารถและผ่านศึกมาอย่างโชกโชนส่วนใหญ่นั้น สูญเสียไปตั้งแต่ช่วงกลางของสงคราม กำลังเอส เอส ในห้วงปี 1944 - 1945 มักเป็นกำลังที่คัดขึ้นมาทดแทน ส่วนหนึ่งคัดมาจากเยาวชนฮิตเลอร์ หรือ ฮิตเลอร์จูเก้น (Hitler Jugend) ที่มีอายุระหว่าง 17-20 ปี ทำให้ประสิทธิภาพและมาตรฐานของเอส เอส ลดลงอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงต้นของสงคราม
พลแม่นปืนของกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ ในช่วงแรกของ ยุทธการบาร์บารอสซ่า (Barbarossa) ซึ่งเป็นยุทธการที่เยอรมันเปิดฉากบุกเข้าไปในประเทศรัสเซีย ปืนที่ใช้ในภาพคือ ปืนเล็กยาว คาร์ราไบเนอร์ เมาเซอร์ คาร์ 98 เค (Karabiner Mauser K98 K) ซึ่งเป็นอาวุธมาตรฐานประจำกายของทหารเยอรมัน ทั้งกองทัพบก และหน่วยเอส เอส ปืนชนิดนี้ใช้กระสุนขนาด 7.92 มม. ซึ่งต่างจากขนาดกระสุนของรัสเซีย ที่ใช้ขนาด 7.62 มม.
สัญญลักษณ์ประจำหน่วยของ กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 5 ไวกิ้ง (5th SS. Panzer Division Wiking) ซึ่งเป็นกองพลเอส เอส ที่มีกำลังพลเป็นชาวต่างชาติเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น อาสาสมัครชาวเยอรมันในสวีเดน ฟินแลนด์ นอรเวย์ แต่็ได้สร้างชื่อเสียงเอาไว้อย่างมาก โดยเฉพาะในแนวรบด้านรัสเซีย
การรับสมัครอาสาสมัครจากประเทศยุโรป นาซีเยอรมันจะใช้แนวทางการประชาสัมพันธ์ ให้กลุ่มประเทศยุโรปที่ถูกตนเองยึดครอง ร่วมกันต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ ที่จะเข้ามาทำลายล้างระบอบการปกครองต่างๆในยุโรป และเยอรมันจะเป็นผู้นำประเทศในยุโรปทั้งหมด ป้องกันการรุกรานของคอมมิวนิสต์จากรัสเซีย
รถถัง Panzer Mark V - Panther ของกองพลยานเกราะ เอสเอส ที่ 5 ไวกิ้ง ในรัสเซีย กองพลนี้มีความพิเศษ คือเป็นกองพลเอส เอส ที่มีกำลังพลอาสาสมัครมาจากประเทศในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ สวีเดน เดนมาร์ก นอรเวย์ ฟินแลนด์ และสามารถสร้างชื่อในความกล้าหาญให้ศัตรูได้ประจักษ์
ส่วนใหญ่ทหารเอส เอส ที่มาจากประเทศในยุโรป จะถูกส่งไปทำการรบในรัสเซีย เมื่อรัสเซียเป็นฝ่ายรุกตอบโต้ ทหารเอส เอส จากยุโรปเหล่านี้ ก็สมัครใจที่จะสู้เพื่อเยอรมัน มากกว่าที่จะเดินทางกลับประเทศของตน เนื่องจากในประเทศของตนถูกเยอรมันยึดครอง
และเมื่อเยอรมันพ่ายแพ้ หากกลับไปพวกเขามักจะถูกจับกุมตัวขึ้นศาลทหาร ฐานทรยศต่อประเทศ และจบชีวิตลงด้วยโทษขั้นเด็ดขาด ดังนั้นกองพล เอส เอส เหล่านี้จึงมักจบบทบาทลงด้วยการต่อสู้กับรัสเซียจนละลายไปทั้งกองพล
ทหารเอส เอส ชุดทำลายรถถัง ของกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 5 ไวกิ้ง (5th SS. Panzer Division Wiking) ในสมรภูมิรัสเซีย กับซากรถถัง T 34 ของรัสเซีย ทหารเยอรมันคนที่ยืน ถือทุ่นระเบิดรถถังแบบ tellermine บรรจุดินระเบิดขนาด 1 ปอนด์ มีรูปเป็นทรงกลมแบน พร้อมหูหิ้วด้านหนึ่ง จุดชนวนได้ 2 แบบ คือ แบบชุดชนวนด้วยมือ โดยการดึงสลัก หรือ แบบจุดชนวนด้วยการกดทับที่บริเวณส่วนกลางของระเบิด ซึ่งกำหนดให้ใช้แรงกด 350 ปอนด์ เพื่อมุ่งหวังทำลายเฉพาะยานยนต์ ยานเกราะ หรือวัตถุที่มีน้ำหนัก ไม่มุ่งทำลายเป้าหมายบุคคล แรงระเบิดของทุ่นระเบิดชนิดนี้ สามารถทำลายสายพานของรถสายพานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ชุดทหารราบทำลายรถถังนี้ จะต้องใช้ความกล้าในการเข้าประชิดรถถังของข้าศึก และทำลายด้วยทุ่นระเบิดดังกล่าว
ในสมรภูมิรัสเซีย ทหารทั้งสองฝ่ายต่างใช้ทหารราบต่อสู้รถถัง ในการทำลายยานเกราะของฝ่ายตรงข้าม โดยใช้อาวุธต่างๆ ทั้งที่ออกแบบมาเพื่อใช้ต่อสู้รถถังในระยะประชิด และในระยะไกล ตลอดจนอาวุธที่ประยุกษ์มาใช้ในการทำลายรถถัง เช่น ระเบิดเพลิงหรือ โมโลตอฟ เป็นต้น
สัญลักษณ์หน่วยย่อยต่างๆของ WAFFEN SS
หน่วยทหารเอส.เอส. จะได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก และถูกปลูกฝังอุดมการณ์ของนาซี (NAZI - Nazional Sozialistisch Deutche Arbeiter Partei) ถูกปลูกฝังแนวความคิดเรื่องความเป็นเลิศของชนชาติอารยัน เครื่องแบบของหน่วยนี้ จะเป็นเครื่องแบบสีดำ มีสัญญลักษณ์กระโหลกไขว้ (Totenkopf - Death's Head) อยู่ที่หน้าหมวกและปกเสื้อ
เครื่องหมายหัวกระโหลกกับกระดูกไขว้ ตรงบริเวณหมวก
แม้ว่าในช่วงแรกๆของการจัดตั้งหน่วย จะมีการกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้ารับการฝึกไว้สูงมาก เช่น ควรจะศึกษาระดับมหาวิทยาลัย หรือสูงถึง 180 ซ.ม. แต่เมื่อความต้องการกำลังพลมีมากขึ้น คุณสมบัติก็ได้ถูกลดลง เช่นส่วนสูงลดลงเหลือเพียง 171 ซ.ม. อายุก็เพิ่มขึ้นเป็น 17 - 26 ปี การศึกษาระดับมัธยมปลาย เชื้อชาติอื่นก็รับ เช่นอิตาลี เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น
ในปี 1944 ซึ่งเป็นช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมันตกเป็นฝ่ายตั้งรับในทุกแนวรบ แม้ว่าทหารเอสเอส จะสู้อย่างกล้าหาญ และกำลังพลที่มีความสามารถ รวมถึงอาวุธที่ทันสมัยมากกว่าทหารเยอรมันหน่วยอื่น แต่จากการที่หน่วยเอสเอส ซึ่งผ่านศึกมาอย่างโชกโชนส่วนใหญ่นั้น สูญเสียไปตั้งแต่ช่วงกลางของสงคราม กำลังหน่วยเอสเอส ในช่วงปี 1944 - 1945 มักเป็นกำลังที่คัดขึ้นมาทดแทน ส่วนหนึ่งคัดมาจากเยาวชนฮิตเลอร์ หรือ ฮิตเลอร์จูเก้น (Hitler Jugend) ที่มีอายุระหว่าง 17-20 ปี ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงต้นของสงครามแล้ว ถือได้ว่าประสิทธิภาพและมาตรฐานของเอส เอส ลดลงอย่างมาก
เครื่องแบบนายทหารเอสเอส ยศพันตรี ( โคตรเท่ห์ -*- )
จำนวนกำลังพลของหน่วยเอส เอส ที่เข้าประจำการ จำแนกเป็นปี มีดังนี้
ปี 1939 35,000 คน
ปี 1940 50,000 คน
ปี 1941 150,000 คน
ปี 1942 230,000 คน
ปี 1943 450,000 คน
ปี 1944 600,000 คน
ปี 1945 830,000 คน
รวมกำลังพลเอส เอส ทั้งสิ้น 1,000,000 คน
เสียชีวิตและสูญหาย 250,000 คน
บาดเจ็บ 400,000 คน
รวมยอดการสูญเสีย 650,000 คน
ฝ่ายนาซีสูญเสียทหารไปหลายคน แต่สถิติฝ่ายที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่2เห็นทีจะเป็นของฝ่ายโซเวียต
อาจจะเป็นกลยุทธ์ของสตาลินที่ค่อนข้าง เผด็จการณ์ไม่แพ้ทางฝ่ายของ ฮิตเลอร์ คือการเข้าตีแบบคลื่นมนุษย์
ซึ่งวิธีเข้าตีคือให้เอาคนจำนวนเยอะๆ ถือปืนไรเฟิลเปล่าๆ กับถือกระสุนตับนึง ( หาเรื่อง enemy at the gates ดูเอานะ )
เอาตัวไปรับกระสุนปืนกลหนักจนกว่ากระสุนปืนกลหนักมันจะหมดหรือจนกว่าฝั่งเราจะเรียกปืนใหญ่สนับสนุนได้ หรือพูดง่ายๆคือ ใช้คน
จำนวนเป็นกองทัพใหญ่ ขนาดที่ว่ามีอาวุธให้ไม่พอ ให้เอามือเปล่าไปรับกระสุนปืน
สตาลินจะถือว่าใครที่หนีคือกบฎ ใครเข้าที่กำบังคือกบฎ ใครถอยไม่ยอมเอาตัวไปรับลุกปืนคือกบฎ ให้สหายนายทหารฆ่าทิ้ง
ได้ทันที ถึงมันจะหนีเข้าที่กำบังแล้วคอยซุ่มยิงพลปืนกลหนัก ก็ถือว่ามันเข้าที่กำบังก็กบฎ ฆ่าได้เลยเหมือนกัน
ต้องวิ่งเข้าไปตรงๆ ใครมีกระสุนให้เก็บปืนจากศพเพื่อนที่ถูกยิงตายแล้วเอาใส่ปืนยิง ใครมีปืนให้เก็บกระสุน
จากเพื่อนที่ตายแล้วเอาใส่ปืนยิง ให้ยืนเอาปืนไรเฟิล Mosin-Nagant ยิงแลกกับปืนกลหนัก
เลย ใครหลบโดนพวกเดียวกันยิง
เยอรมันเปิดศึกทั้งสองด้านถึงต่อให้มีอาวุธที่ล้ำสมัย(ที่สุดในยุคนั้น)ก็เถอะ อีกทั้งยังเรื่องที่อาวุธที่อยู่ในสายการผลิตยังไม่เสร็จสมบรูณ์
ยังมีอีกหลายประเด็นที่ำทำให้ฝ่ายนาซีต้องแพ้ต่อสัมพันธมิตรและโซเวียต
แต่ถ้าทุกอย่างตรงกันข้ามไปหมด มันก็ไม่ใช่ประวัติศาสตร์นี่นะ 55 5
ขอบคุณที่อ่านมาถึงจุดนี้ ( คงมีแค่ไม่กี่คน -*- )
แต่ยังไงก็ขอให้อ่านเพื่อสาระและเกร็ดความรู้ของประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 นะครับ ^^