+++ "ยุทธการฮาเตียน" ของทัพเรือไทย [ที่หลายคนอาจไม่รู้] +++
"ยุทธการฮาเตียน" น้อยคนนักที่จะรู้จักชื่อนี้ แต่จงรับรู้ไว้เถิดว่า ยุทธการแห่งกองทัพเรือไทยครั้งนี้ มีจริง .
คนไทยคงจะจำกันได้ดีว่า ครั้งหนึ่ง ทหารเรือไทย ได้เคยสร้างวีรกรรมไว้จนยากจะลืมเลือน นั่นคือ
ยุทธนาวีที่เกาะช้าง จังหวัด ตราด เมื่อ 17 มกราคม 2484
เหตุการณ์ครั้งนั้น เราต้องสูญเสียเรือรบหลักๆไปถึง 3 ลำ คือ
เรือหลวงธนบุรี เรือหลวงสงขลา เรือหลวงชลบุรี ถึงแม้จะเป็นฝ่ายสูญเสีย แต่เรือรบของเราก็สู้จนสุดใจขาดดิ้น สู้อย่างยิบตา สร้างรายแผลไว้ให้ข้าศึกพอสมควร เช่น เรือลามอตต์ปิเกต์ ที่ต้องไปจอดเลียแผลอยู่ที่ เมืองไซ่ง่อน เป็นเวลานาน
รอยจารึกอันเจ็บปวดครั้งนั้น ราชนาวีไทยเก็บความแค้นเอาไว้ หวังจะเอาคืนให้จงได้และชาวโลกจะได้รับรู้
แผนยุทธการฮาเตียน จึงเกิดขึ้น
ฮาเตียนเป็นเมืองท่าในกัมพูชา ซึ่งในเวลานั้นตกเป็นของฝรั่งเศส มีเรือรบของฝรั่งเศสจอดอยู่หลายลำ ซึ่งคาดว่าเตรียมเข้าโจมตีไทยอีกระลอกเพื่อหวังผลประโยชน์อีกแน่นอน เพราะคราวที่แล้วไม่ค่อยได้ดั่งใจ
หลังจากลาดตระเวนดูลาดเลาต่างๆอย่างเงียบๆ ประมาณ 1 อาทิตย์ แผนการนี้ก็ได้เริ่มขึ้นทันที ไม่มีใครล่วงรู้ มีแต่นายทหารระดับผู้บังคับการหรือเสนาธิการเท่านั้น ที่รับรู้
ในยามสงครามเช่นนี้ (สงครามมหาเอเชียบูรพา) ไม่มีใครคาดคิดว่า กองทัพเรือไทย จะกล้าวางแผนเข้าจู่โจมข้าศึกอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเช่นนี้
ห้วงเวลานั้น ราชนาวีไทยยังคงเงียบกริบ ไม่มีทีท่าใดๆทั้งสิ้น มันเป็นความลับและแผนขั้นสุดยอด
จนกระทั่งวันที่ 26 มกราคม 2484 เรือรบทุกลำในอ่าวสัตหีบ ก็ได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมที่จะออกเรือ ประกอบด้วย
เรือหลวงภูเก็ต เรือหลวงปัตตานี เรือหลวงระยอง เรือหลวงชุมพร หลวงบางระจัน เรือหลวงหนองสาหร่าย และเรือหลวงคราม พร้อมลูกเรือลำละ 90 คน อาวุธเต็มอัตราศึกทุกลำ
ลูกเรือล้วนแล้วคนหนุ่มอยู่ในวัยฉกรรจ์ทั้งสิ้น เรือพวกนี้เพิ่งถูกสร้างและรับมาจากอิตาลีทั้งนั้น เรียกว่า ไฟแรงทั้งคนและของ
เรือรบได้รับการติดอาวุธที่คาดไม่ถึง คือ ทุ่นระเบิดชนิดเบาแบบกระทบแตก มันถูกส่งขึ้นมาวางตรงท้ายเรือทั้ง 2 กราบ ลำละ 25 ลูก
ลูกเรือเริ่มรับรู้แล้วว่า ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก
เจ้าฉลามทะเลทั้ง 6 ลำ บรรทุกอาวุธหนักจนหัวเรือเชิดไปตามๆกัน และพากันค่อยๆ ถอนสมอเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ หายไปในทะเลและหมอกยามเช้าของวันที่ 27 มกราคม 2484
ออกมาได้ไม่ไกลนักก็มีเรือรบหลวงเขามาสมทบอีก 2 ลำ คือ
เรือหลวงท่าจีน และ เรือหลวงแม่กลอง กองเรือถูกจัดเป็น 2 ขบวน โดยผู้มาใหม่เป็นผู้นำขบวนพอรุ่งสาง ลูกเรือก็พอจะรู้ว่า ขบวนเรือ 2 ขบวนนี้ มุ่งไปยังทิศใด แต่จะไปไหน ทำอะไร และ อย่างไร ไม่รู้มากนัก
ลูกประดู่ทุกนายต่างก็ไม่ถามกันว่า จะทำอะไรต่อไป ได้แต่ฮัมเพลงและร้องเพลงปลุกใจไว้ในลำคอไปพลางๆ
จนเวลาพลบค่ำ หลังจากทุกคนรับประทานข้าวปลาอาหารเรียบร้อยแล้ว นายทหารเรือยุทธการท่านหนึ่งก็ออกมาที่หัวเรือ พร้อมนกหวีดเรียกพล ประกาศด้วยเสียงอันดังและเด็ดเดี่ยวขึ้นว่า
"พี่น้องทหารที่รักทั้งหลาย อันเป็นเพื่อนร่วมชีวิต ร่วมเป็นร่วมตายทุกคน เรารับคำสั่งไปปฏิบัติการเดินหน้าวางทุ่นระเบิด ปิดล้อมบริเวณหน้าอ่าวฐานทัพเรือฝรั่งเศสที่ฮาเตียน โดยมีกำหนดออกเดินทางคืนนี้ จะต้องถึงบริเวณเริ่มปฏิบัติการทางยุทธวิธี ในเวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 มกราคม หลังจากวางทุ่นระเบิดเสร็จสิ้น ขบวนเรือตอร์ปิโดทั้ง 6 ลำ จะแล่นตีวงโอบอยู่ภายนอก ต่อไปจะเป็นหน้าที่ของเรือหลวงท่าจีน และ เรือหลวงแม่กลอง จะระดมยิงชายฝั่ง โดยมีเรือหลวงศรีอยุธยาที่เลียบฝั่ง เพื่อบีบให้เรือรบฝรั่งเศสในฐานกำลังที่เมืองฮาเตียน ออกมาจากอ่าวเข้าสู่สนามทุ่นระเบิดที่เราวางไว้ และเรือตอร์ปิโดใหญ่จะระดมยิงเข้าซ้ำที่เดิม พอใกล้รุ่งสาง กองกำลังนาวิกโยธินซึ่งมากับเรือหลวงศรีอยุธยา จะยกพลขึ้นบก ยึดฐานทัพเรือฮาเตียนของข้าศึก การปฏิบัติภารกิจเสี่ยงอันยากนี้ ขอให้พวกเราทุกคน จงยึดมั่น ปฏิบัติหน้าที่จะสุดความสามารถ หากตายจะขอตายด้วยกันทุกลำ เหมือนกับดอกประดู่ที่พากันโรยไปทั้งต้น ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ที่นี้ ในเรือลำนี้ พร้อมด้วยคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกป้องคุ้มครองเราทุกคน"
พอสิ้นเสียงประกาศ เสียงไชโยก็กระหึ่มไปทั่งเรือ บัดนี้ทราบกันทั่วแล้วว่า ภารกิจอันสำคัญนี้คืออะไร ใครคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
"ถึงเวลาแก้มือแล้ว"
เช้าของวันที่ 28 มกราคม 2484 เป็นวัน D-DAY ทุกคนพร้อมเต็มที่ ต่างก็มีใจฮึกเหิม พระห้อยคอ เครื่องรางของขลังถูกปลุก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถูกอาราธนา เป็นขวัญกำลังใจ เที่ยงของวันนั้นลูกเรือก็เตรียมทุ่นระเบิด ปืนทุกระบอก ท่อตอร์ปิโดให้พร้อม
แต่แล้วเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนฉงนสงสัยก็เกิดขึ้น หัวเรือทั้ง 2 ขบวน คือ
เรือหลวงแม่กลอง และ เรือหลวงท่าจีน ลดความเร็วลงแล้ว เลียวซ้าย และ ขวาไปทางทิศตะวันออก ตามลำดับ แล้วส่งสัญญาณให้เรือลูกหมู่ทุกลำ ปฏิบัติตามในรูปขบวนเดิม
ไม่มีใครเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เพราะอีก 12 ชั่วโมง ก็จะได้ลงไม้ลงมือกันแล้ว แต่คำสั่งต้องเป็นคำสั่ง แม้จะฉงนสนเท่ห์ยิ่งนัก
สักพักหนึ่งนายทหารยุทธการคนหนึ่งก็เดินออกมาแจ้งให้ทุกคนได้ทราบว่า ได้รับคำสั่งด่วนที่สุด ทางสัญญาณวิทยุจากกองบัญชาการกองทัพเรือว่า กองทัพเรือให้ระงับแผนยุทธการที่กำลังจะลงมือไว้ก่อน เนื่องจากเมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ รัฐบาลไทยได้รับเงื่อนไขของรัฐบาลของสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น ที่ได้ยื่นมือเข้ามาเป็นผู้เจรจาระงับกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส(อินโดจีน) และให้กองเรือไปร่วมพลที่ เกาะพะงัน
ผลของการไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่นคราวนี้ เราได้ดินแดนคืนมาชั่วคราว คือ เสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ และ จำปาศักดิ์ แต่ในเวลาต่อมาต้องหลุดมือไปเพราะผลของสงครามโลกครั้งที่ 2
อย่างไรก็ตาม ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้ ทั้งยังคิดว่า กองทัพเรือไทยถูกข้าศึกโจมตีจนไร้บทบาท ความจริงแล้ว แม้ยุทธการฮาเตียนจะยังไม่บรรลุผลดังกล่าว แต่เป็นเสมือนปิดทองหลังพระก็ว่าได้
ราชนาวีไทย เปรียบเสมือนดาบเล่มหนึ่ง ดาบเล่มนี้มีคุณค่าเสมอ มิจำเป็นต้องอวดอ้างความคม และพร้อมที่จะลงดาบข้าศึกที่จะเข้ามารุกราน
ขอบคุณ อยากเป็นทหาร @ atcloud.com