เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ไปเล่าประสบการณ์ในการบริหารจัดการคนของเขาให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดฟัง โดยเขาเปิดเผยรายละเอียดทุกสิ่งอย่างที่เขาเชื่อว่า มันคือ "หนทางในการสร้างทีมแชมป์" และนี่คือ ประสบการณ์อันข้นคลั่กตลอด 26 ปีครึ่งของชายที่ชื่อ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ...
[ต่อจากตอนที่ 1]
http://www.soccersuck.com/boards/topic/890977
"ผมเป็นคนที่เชื่อในหลักการ 'ถ้าผมทุ่มเทให้คุณหนึ่ง คุณจะทุ่มเทคืนกลับมาสองเท่า' นะ มันเป็นปรัชญาที่ผมใช้ในการทำงานมาตลอด" เฟอร์กูสันเผย "ผมเคยเป็นคนแรกที่มาถึงสนามซ้อมตลอด แต่ในหลายปีหลังๆนี่ บรรดาทีมงานของผมต่างก็มาถึงสนามก่อนผมทั้งนั้น ทั้งๆที่ผมก็ยังมาถึงตอน 7 โมงเช้าเหมือนเดิมนะ! ผมว่าพวกเขาเริ่มเข้าใจละ ว่าทำไมผมต้องมาแต่เช้า เพราะมันจะเป็นการสร้างความรู้สึกให้คนอื่นได้คิดว่า 'ถ้าเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้สิวะ' ยังไงล่ะ"
"ผมพร่ำบอกทีมของผมเสมอว่า การทำงานหนัก ก็ถือเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งของนักเตะ แต่สำหรับนักเตะระดับสตาร์ ผมยิ่งคาดหวังจะเห็นพวกเขาทำงานที่หนักกว่าชาวบ้านด้วย ผมจะเน้นกับพวกเขาเสมอว่า 'คุณต้องโชว์ให้คนอื่นเห็นว่า คุณคือนักเตะระดับท็อปของเรา' ซึ่งพวกเขาก็ให้ความร่วมมือนะ นั่นไงล่ะ เหตุผลที่พวกเขาเป็นนักเตะระดับสตาร์ของทีม พวกเขาพร้อมที่จะทำงานหนักกว่าคนอื่นยังไงล่ะ"
"บางคนอาจจะคิดว่า ซุป'ตาร์ที่มีอีโก้สูงๆนั้นจะไม่เป็นปัญหากับทีม แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาเหล่านั้นล้วนต้องการเป็นผู้ชนะทั้งสิ้น เพราะนั่นจะตอบสนองอีโก้ของพวกเขา และพวกเขาก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองเป็นผู้ชนะ ผมเองเคยร่วมงานกับ (คริสติอาโน่) โรนัลโด้, (เดวิด) เบ็คแฮ่ม, (ไรอัน) กิ๊กส์, (พอล) สโคลส์ และอีกหลายๆคนที่มักจะซ้อมเดี่ยวเป็นชั่วโมงๆหลังการซ้อมทีมจบลง"
"ผมต้องไล่พวกเขาไปอาบน้ำกลับบ้าน ผมต้องบอกพวกเขาว่า 'เห้ย พวกแกมีเกมแข่งขันในวันเสาร์นะเว้ย!!' แต่พวกเขาก็ดื้อรั้นอยากซ้อมต่อไป พวกเขารู้ว่าการเป็นผู้เล่นของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันไม่ใช่เรื่องง่าย"
"แต่คุณคิดภาพสิ ถ้ามีสักวันที่ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องเชื่อฟังนักเตะของเขาเอง - นักเตะสามารถเลือกโปรแกรมการซ้อมได้ตามใจชอบ จะซ้อมแบบไหน เล่นแบบไหนก็ได้ - ถ้ามันเป็นเช่นนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คงไม่มีทางมาถึงตรงนี้ได้"
"ก่อนที่ผมจะรับงานที่ยูไนเต็ด ผมบอกตัวเองเลยว่า ผมจะไม่ยอมให้ใครมาใหญ่กว่าผมแน่ ผมจำเป็นต้องใหญ่ที่สุดในทีม นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด"
"มีหลายๆครั้งที่คุณอาจจะมองไปในห้องแต่งตัว แล้วถามตัวเองว่า นักเตะบางคนกำลังทำลายบรรยากาศในห้องแต่งตัวหรือไม่ เพราะมันอาจส่งผลถึงผลงานในสนามเลยก็ได้ และถ้ามีคนที่ทำแบบนั้นอยู่ คุณก็ต้องตัดเนื้อร้ายทิ้ง"
"มันไม่มีทางอื่นเลยจริงๆ แม้ว่าคนๆนั้นอาจจะเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลกก็เถอะ เพราะยังไงเสีย ภาพรวมระยะยาวของสโมสร ก็ย่อมต้องสำคัญกว่าคนเพียงคนเดียว และไม่ว่าอย่างไร ผู้จัดการทีมก็จำเป็นต้องเป็นคนที่สำคัญที่สุดในทีม"
"หลายสโมสรในอังกฤษเปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็นว่าเล่น จนกลายเป็นว่า แกนนำในห้องแต่งตัวคือนักเตะบางคน นั่นเป็นเรื่องที่อันตรายมากเลยนะ ถ้าโค้ชไม่สามารถควบคุมอะไรได้ เขาก็ไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งได้นานหรอก คุณจำเป็นต้องอยู่ในสถานะที่สามารถควบคุมคนได้เสมอ"
"นักเตะในทีมต้องตระหนักว่า คุณคือผู้จัดการทีม และคุณจำเป็นต้องควบคุมเหตุการณ์ต่างๆให้เรียบร้อย การคิดถึงจิตใจนักเตะว่า เขาจะชอบคุณไหม เขาจะพอใจคุณไหม มีแต่จะทำให้คุณสับสนกับหน้าที่เท่านั้น เพราะถ้าคุณทำงานของคุณได้ดี นักเตะก็จะเคารพคุณเอง และนั่นก็คือสิ่งเดียวที่คุณต้องการ"
"ผมมักจะลงมือทันทีที่เห็นนักเตะบางคนเริ่มทำตัวมีปัญหา บางคนอาจจะมองว่าผมทำโดยไม่ใตร่ตรองให้ดี แต่ผมเชื่อว่า ผมจำเป็นต้องทำให้เร็วเสมอ ทำไมผมจะต้องกลับไปนอนคิดทบทวนด้วยเล่า? คุณจำเป็นต้องมีความมั่นใจในตัวเองสิ เมื่อคุณตัดสินใจอะไรไปแล้ว ที่คุณต้องทำก็คือก้าวเดินต่อไป มันไม่ใช่การพยายามพิสูจน์อำนาจในมือนะ แต่มันเป็นการควบคุมคน และสร้างมาตรฐานให้คนอื่นได้เห็นต่างหาก"
"ไม่มีใครชอบโดนวิจารณ์ น้อยคนนักที่จะพัฒนาตัวเองจริงๆจังๆจากคำวิจารณ์ ผมเชื่อว่าทุกคนมักตอบสนองกับคำพูดเชิงบวกมากกว่า เพราะงั้น ผมจึงพยายามกระตุ้นลูกทีมทุกครั้งที่มีโอกาส สำหรับนักเตะ - สำหรับมนุษย์ทุกคนต่างหาก - ผมว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่าคำการได้รับคำชมว่า 'ดีมาก' หรอก นี่คือคำพูดสองพยางค์ที่เจ๋งที่สุดที่มนุษย์เคยคิดค้นมาเลยนะ"
"ในขณะเดียวกัน เมื่ออยู่ในห้องแต่งตัว คุณต้องชี้ให้เห็นความผิดพลาดทันทีที่นักเตะของคุณทำผลงานได้ต่ำกว่าความคาดหวัง ช่วงเวลานั้นแหละที่การตำหนิจะมีความสำคัญ ผมจะทำเช่นนั้นทันทีหลังจบเกม ผมจะไม่รอจนถึงวันจันทร์ ผมจะทำทันที และมันก็จะจบสิ้นที่ตรงนั้น แล้วเราก็จะมองไปที่เกมต่อไป ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะตำหนินักเตะของเราไปตลอด"
"โดยทั่วไปแล้ว การพูดก่อนเกมของผมนั้น จะมุ่งเน้นไปที่ความคาดหวังของทีม, ศรัทธาที่นักเตะมีต่อตัวเอง และ ความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ผมอยากจะอ้างอิงถึงหลักการพูดถึงชนชั้นแรงงาน ไม่ใช่นักเตะทุกคนที่จะโตมาจากชนชั้นแรงงาน แต่บางที คุณพ่อหรือคุณปู่ของพวกเขาอาจจะเริ่มจากจุดนั้น และผมก็พบว่า การบอกพวกเขาให้ดูจุดกำเนิดของตนเอง แล้วดูว่าตนเองนั้นก้าวมาไกลขนาดไหนจนมีวันนี้นั้น ใช้ได้ผลมาก"
"ผมจะบอกพวกเขาเสมอว่า การมีวินัยในการทำงานถือเป็นสิ่งสำคัญ และดูเหมือนว่าการพูดเช่นนั้นจะทำให้พวกเขาภาคภูมิใจในตัวเอง ผมจะย้ำให้พวกเขาเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน และก็อย่าทำให้เพื่อนร่วมทีมผิดหวัง สิ่งเหล่านี้แหละที่ช่วยสร้างจิตใจนักสู้ให้กับทีมของเรา"
"ในระหว่างการซ้อม เราจะพยายามสร้างทีมฟุตบอลที่มีแต่นักกีฬาชั้นยอด และมีความเข้าใจในเกมอย่างถ่องแท้ ถ้าแนวทางของคุณไม่แน่วแน่ คุณจะไม่มีทางทำได้เช่นนั้น บางครั้งบางคราวความกลัวก็มีส่วนสำคัญเหมือนกัน แต่ต้องมีในปริมาณที่พอดี ถ้านักเตะในทีมต่างลงเล่นด้วยความกลัวตลอดเวลา พวกเขาจะไม่มีทางทำผลงานที่ดีได้แน่นอน เมื่อผมเริ่มมีอายุขึ้น ผมก็เรียนรู้ว่า การโมโหโกรธาตลอดเวลามันไม่ได้ช่วยเลย เราต้องเลือกเวลาที่จะแสดงความโกรธออกมา ในฐานะผู้จัดการทีม คุณต้องเรียนรู้ที่จะเล่นบทบาทที่ต่างกันออกไป ในแต่ละช่วงเวลา บางครั้งคุณต้องเป็นหมอ, บางครั้งเป็นครู, บางครั้งก็ต้องเป็นพ่อ"
"การเอาชนะคือธรรมชาติของผม ผมตั้งมาตรฐานนี้เอาไว้มาอย่างยาวนาน มันจะไม่มีตัวเลือกอื่นสำหรับผม ผมต้องการชนะตลอดเวลา ผมคาดหวังให้ทีมของผมชนะทุกเกมที่ลงแข่งขัน แม้ในยามที่นักเตะสำคัญที่สุดของเรา 5 คนบาดเจ็บ ผมก็ยังหวังว่าจะชนะ"
"หลายๆทีมอาจจะนั่งคุดคู้ไม่ทำอะไรก่อนเกม แต่ผมไม่เคยทำเช่นนั้น เมื่อไรก็ตามที่เราลงไปวอร์มอัพในสนาม ผมก็มั่นใจเสมอว่านักเตะของผมจะเตรียมตัวพร้อมลงแข่งขัน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรต้องทำ เราก็ได้เตรียมตัวมาก่อนแล้วทั้งสิ้น"
"ผมคือนักพนัน ผมคือคนที่ชอบความเสี่ยง คุณจะสังเกตได้จากแนวทางการเล่นของเราในช่วงท้ายเกม ถ้าเราเป็นฝ่ายตามหลังในช่วงครึ่งแรก ข้อความที่ผมส่งไปก็ง่ายๆแค่ว่า 'อย่าตื่นตระหนก' แค่มีสมาธิกับเกม และทำงานของเราให้สำเร็จ แต่ถ้าเรายังตามหลังอีกเมื่อเหลือเวลาเพียง 15 นาที ผมก็พร้อมที่จะเสี่ยงเสมอ ผมจะแฮปปี้กับผลแพ้ 1-3 ถ้ามันหมายความว่าเราได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะกลับมาสู่เกม เพราะฉะนั้นในช่วง 15 นาทีสุดท้ายของเกม ผมมักจะให้ลูกทีมใส่เต็มที่ตลอด ผมอาจจะเปลี่ยนกองหน้าลงแทนกองหลัง เพราะเราทุกคนรู้ดีว่าถ้าเรากลับมาชนะได้ 3-2 มันจะเป็นความรู้สึกที่วิเศษมาก แต่ถ้าเราแพ้ ไม่ว่าจะสกอร์ไหน เราก็แพ้อยู่ดี"
"มองโลกในแง่ดี, กล้าท้าทาย และกล้าเสี่ยง - นั่นคือสไตล์ของเรา เราลงแข่งเพื่อเอาชนะ แฟนบอลของเราก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี พวกเขาพร้อมให้การสนับสนุนเสมอ มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆเวลาได้เห็นการต่อสู้ของทีมในช่วง 15 นาทีสุดท้าย นักเตะโยนบอลเข้ากรอบเขตโทษคู่แข่ง มีการปะทะ ทุกคนต่อสู้อย่างสุดชีวิต แน่นอนว่าคุณอาจจะแพ้เละจากการโดนสวนกลับได้ แต่ความสุขที่แท้จริงของชัยชนะมันก็คือ การที่คุณนึกว่าจะแพ้แล้วซะอีกนั่นแหละ มันวิเศษมากๆ"
"ผมคิดว่านักเตะของผมทุกชุดล้วนมีความเป็นนักสู้ทั้งสิ้น พวกเขาไม่เคยยกธงขาว เพราะงั้นผมถึงไม่ค่อยกังวลเรื่องการกำชับในจุดนี้ มันเป็นแคแรคเตอร์ที่ยอดเยี่ยมมาก และการได้ลุ้นว่าอะไรจะเกิดในช่วงชี้เป็นชี้ตายไม่กี่วินาทีของเกม ก็เป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์จริงๆ"
"การสังเกต ถือเป็นส่วนสุดท้ายในโครงสร้างการเป็นผู้จัดการทีมของผม เมื่อครั้งที่เริ่มงานโค้ช ผมมีกฎพื้นฐานหลายๆอย่างของตัวเอง ผมคิดว่าผมจะต้องพาทีมเล่นให้สวยงาม, ผมต้องเข้าใจเทคนิคต่างๆที่จะพาทีมประสบความสำเร็จในระดับสูง, ผมจะต้องสอนนักเตะให้ดี และผมจะต้องเป็นคนตัดสินใจในทุกๆเรื่อง"
"แต่แล้ว บ่ายวันหนึ่งในระหว่างที่ผมกับบรรดาทีมงานที่ อเบอร์ดีน กำลังนั่งจิบชาและพูดคุยกัน ผู้ช่วยของผมก็พูดขึ้นมาว่า 'ผมไม่รู้ว่าคุณจ้างผมมาทำไม?' ผมถามเขาว่า 'นี่นายจะสื่ออะไร?' เขาตอบกลับมาว่า 'สิ่งที่เกิดขึ้น คือ คุณจ้างผมมาสอนทีมเยาวชน แต่จริงๆแล้วผมมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือคุณในการซ้อมกับทีมชุดใหญ่ และช่วยเหลือในการจัดทีมนะ เพราะนี่ต่างหากถึงจะเรียกว่า ผู้ช่วยผู้จัดการทีม' "
"ทันใดนั้น โค้ชอีกคนก็เสริมขึ้นมาว่า 'ผมคิดว่าเขาพูดถูกนะบอส' ทุกคนบอกผมว่า ผมจะได้รับประโยชน์มากขึ้น จากการไม่ต้องลงไปคุมซ้อมเองทุกครั้ง ในตอนแรกผมปฏิเสธเสียงแข็งเลยแหละ แต่เมื่อได้ลองคิดทบทวนเป็นเวลาหลายวัน ผมก็บอกพวกเขาว่า 'เอาวะ ลองดูละกัน แต่นี่ไม่ใช่การให้คำมั่นสัญญาใดใดทั้งสิ้นนะ' ในตอนนั้นผมรู้แก่ใจแหละ ว่าเขาพูดถูกแล้ว ผมเลยค่อยๆปล่อยงานคุมการซ้อมให้เขาดูแล และนั่นก็ถือเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดในอาชีพของผมเช่นกัน"
"แต่มันไม่ได้ทำให้อำนาจในการคุมทีมของผมลดลงเลย ตัวตนของผมยังอยู่ชัดเจน แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมาจากการเป็นผู้สังเกตการณ์นั้น มันล้ำค่ามาก เมื่อคุณถอยตัวห่างออกมาจากฟองสบู่ คุณถึงจะได้เห็นว่า ฟองสบู่นั้นแท้จริงแล้วมันมีขนาดแค่ไหน และจากตรงนั้นเอง ที่ผลงานของผมพุ่งขึ้นอย่างชัดเจน"
"การได้สังเกตดูความเปลี่ยนแปลงในลักษณะนิสัยของนักเตะ หรือได้เห็นระดับความกระตือรือร้นของพวกเขา มันช่วยให้เราได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับพวกเขามากขึ้น: เจ้านี่มันมีปัญหาครอบครัวหรือเปล่า? หรือมันมีปัญหาด้านการเงิน? มันล้าจากการแข่งหลายนัด? ตอนนี้อารมณ์ดีหรือเสีย? เชื่อไหมล่ะ บางครั้งผมสามารถบอกได้เลยว่านักเตะได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่เจ้าตัวจะรู้เสียอีก"
"ผมไม่คิดว่าคนส่วนมากจะเข้าใจความสำคัญของการสังเกตการณ์ แต่สำหรับผม ผมมองว่าการสังเกตนี่แหละที่เป็นส่วนสำคัญในอาชีพการคุมทีมของผม ความสามารถในการมองเห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น หรือยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถในการมองเห็นสิ่งต่างๆที่คุณไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น"
"ตอนที่ผมเริ่มอาชีพคุมทีม ช่วงนั้นนักเตะยังไม่มีเอเย่นต์ส่วนตัว และถึงแม้ว่าฟุตบอลจะมีการถ่ายทอดสด แต่สื่อก็ไม่ได้มีบทบาทมากมายขนาดนี้ นักเตะเองก็ไม่ได้โด่งดังขนาดดาราแบบทุกวันนี้ ปัจจุบันสนามส่วนใหญ่ก็ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นมาก พรหมหญ้าก็อยู่ในสภาพที่เพอร์เฟ็คท์ อีกทั้งวิทยาศาสตร์การกีฬาก็เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งต่อการเตรียมทีมสู้ศึก"
"บรรดาเจ้าของทีมที่มาจากรัสเซีย, ตะวันออกกลาง และหลายๆที่ ต่างก็เข้ามาและโปรยเม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่วงการ สิ่งนั้นเพิ่มความกดดันให้กับผู้จัดการทีมอย่างยิ่ง ในขณะที่นักเตะทุกวันนี้มีชีวิตที่สุขสบายกว่าเดิมมาก แต่มันกลับทำให้พวกเขาเปราะบางขึ้นเยอะ"
"สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าผมทำได้ดีในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมาก็คือ การรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ผมเชื่อว่าคุณสามารถควบคุมสิ่งเหล่านั้นได้โดยการเปิดใจยอมรับมัน นี่ผมรวมถึงการเชื่อมั่นในคนที่คุณจ้างเข้ามาทำงานด้วยนะ วินาทีที่คุณจ้างคนๆนึงเข้ามาเป็นทีมงาน คุณก็ต้องไว้ใจให้เขาทำงานอย่างเต็มที่ ถ้าคุณคอยชักใยอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา มันก็ไม่มีความจำเป็นต้องจ้างใครเข้ามาทำหน้าที่แล้วล่ะ"
"สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างนึงก็คือ อย่าหยุดนิ่ง ผมเคยบอกกับ เดวิด กิลล์ เมื่อหลายปีก่อนว่า 'ทางเดียวที่เราจะเก็บนักเตะชั้นยอดไว้กับทีมได้ ก็คือ เราจำเป็นต้องมีสนามซ้อมที่ดีที่สุดในยุโรป' และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของศูนย์ฝึกซ้อมของเรา เราต้องไม่หยุดนิ่ง"
"คนส่วนมาก ถ้ามีสถิติในการทำงานเทียบเท่าผม พวกเขาจะพยายามไม่เปลี่ยนแปลงอะไร แต่ผมกลับรู้สึกว่า ผมอยู่เฉยๆไม่ได้ ทีมของเราจำเป็นต้องประสบความสำเร็จต่อไป มันไม่มีตัวเลือกอื่นสำหรับผมอีกแล้ว และผมยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เราพัฒนาต่อไป ผมจึงต้องทำงานหนักเสมอ ผมมองทุกความสำเร็จของผมเหมือนมันเป็นความสำเร็จครั้งแรก หน้าที่ของผมคือ สร้างโอกาสที่ดีที่สุดให้ทีมเป็นแชมป์ และนั่นก็คือสิ่งที่ผลักดันให้ผมก้าวเดินมาตลอดเส้นทาง" ตำนานตัวจริงของทีม "ปีศาจแดง" กล่าวทิ้งท้าย
แปลโดย KingCanto@fanmanutd.com