ในโลกของ A Song of Ice and Fire หรือซีรี่ส์ Game of Thrones ที่เรารู้จักกัน จุดเด่นของเนื้อเรื่องนอกจากการแก่งแย่ง
ชิงอำนาจทางการเมืองหรือพวกอมนุษย์นอกกำแพงแล้ว สิ่งสำคัญในเนื้อเรื่องอีกอย่างหนึ่งที่แต่งแต้มเนื้อเรื่องให้มีความ
มันมากยิ่งขึ้น นั่นก็คือ "มังกร (dragon)" พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่สาบสูญไปจากสารบบเมื่อร้อยกว่าปีก่อน จนพวกมันได้กลับ
มาอีกครั้งในเหตุการณ์ปัจจุบัน มังกรเหล่านี้มีจุดกำเนิดเมื่อตั้งแต่หลายพันปีก่อน และมีบทบาทสำคัญต่อเนื้อเรื่องมากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยของราชวงศ์ Targaryen ที่พวกมันมีความสำคัญต่อพวกเขารวมไปถึงเจ็ดอาณาจักรเอง แต่ความ
ร้ายกาจของพวกมันก็ได้สร้างความพินาศต่อ Westeros อย่างใหญ่หลวงเช่นกันจนมาถึงการสูญพันธุ์ของพวกมันในเวลาต่อมา
กระทู้นี้ผมจะพาเพื่อนๆไปรู้จักกับมังกรตั้งแต่ต้นกำเนิด รูปร่าง นิสัย ประวัติศาสตร์ของมังกร รวมไปถึงเรื่องยิบย่อยมากมายที่เกี่ยว
กับมังกรโดยตรง ซึ่งถ้าได้อ่านจนจบแล้ว รับรองว่าจะยิ่งช่วยเพิ่มอรรถรสของเพื่อนๆได้อีกมาก เพราะเนื้อหาเหล่านี้เป็นเนื้อหา
เจาะลึกและผมเองก็ไม่เคยตั้งมาก่อน กระทู้นี้ผมเลยใช้โอกาสตั้งขึ้นมาให้เพื่อนๆได้อ่านกันนะครับ
อันนี้ผังราชวงศ์ Targaryen นะครับ เอาไว้ใช้ประกอบการอ่าน
Spoil
Targaryen's Lineage
Dragons
มังกรเป็นสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ที่อาศัยอยู่ในทวีป Westeros และทวีป Essos และพวกมันก็ถูกจัดว่าสูญพันธ์ไปตั้งแต่ 150 ปีก่อน มีเพียงร่องรอยของมังกรที่ยังคงหลงเหลืออยู่ คือ โครงกระดูกและไข่มังกรที่กลายสภาพเป็นหินจนกระทั่ง Daenerys Targaryen สามารถฟักไข่มังกรออกมาได้
มังกรเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเกล็ดและเป็นสัตว์จำพวกเลื้อยคลาน มีขาสองขาและมีปีกสองปีก พวกมันใช้ปีกเป็นเท้าหน้าเหมือนกับค้างคาว แม้ว่าจะมีภาพอาร์ทในนิยายบางส่วนจะวาดให้เห็นว่าพวกมันมีสี่ขาและมีปีกคู่ก็ตาม พวกมันมีฟันและเล็บที่แหลมคม มีปีกแข็งหนา มีหางและคอยาว มีหงอนพันยุ่งลงมาทางหลังของพวกมัน ตอนเริ่มฟักใหม่ๆ พวกมันมีขนาดประมาณแมว แต่ยิ่งเติบโตจนใหญ่ขึ้น ก็สามารถมีขนาดใหญ่พอที่จะสามารถกลืนแมมมอธลงได้ทั้งตัว กะโหลกมังกรของพวก Targaryen ที่ถูกขัดจนมันวาวแล้วจะดูคล้ายกับอัญมณีโอนิกซ์ที่ส่องเป็นประกาย และฟันของพวกมันก็คล้ายมีดสั้นรูปโค้งที่ทำมาจากเพชรดำ กระดูกของพวกมันเป็นสีดำเนื่องจากมีเหล็กเจือปนในปริมาณสูง
มังกรจะปกป้องร่างเนื้อและระบบกล้ามเนื้อภายในของพวกมันที่เปราะบาง มังกรเมื่อเติบโตขึ้น รูปร่างก็จะหนาขึ้นซึ่งยิ่งทำให้พวกมันต้องเสาะหาที่กำบังตัวเองมากขึ้น แม้แต่จากเปลวไฟที่ร้อนจัดก็ตาม ในขณะที่ไฟของมังกรที่เพิ่งฟักใหม่สามารถเผาฟางได้ แต่ไฟของมังกร Balerion และของมังกร Vhagar ที่เติบโตในจุดสูงสุดสามารถเผาเหล็กกล้าและหินจนหลอมเป็นจุลได้
(Visenya on her dragon Vhagar)
ความร้อนปริมาณมหาศาลสามารถปลดปล่อยออกมาจากร่างของมังกรได้ และสามารถปล่อยในรูปของไอในช่วงกลางคืนที่หนาวเหน็บ พวกมันพ่นลมหายใจเป็นเปลวเพลิงที่ร้อนสุดขีด ซึ่งพวกมันใช้เผาอาหารก่อนจะทานมัน โดยส่วนมาก ร่างของมังกรโดยมากมักจะไม่ยอมให้ไฟผ่านเข้าไปด้านในของร่างกายเพื่อปกป้องกล้ามเนื้อภายในที่เปราะบาง นี่จึงทำให้มังกรค่อนข้างมีภูมิคุ้มกันต่อไฟ แต่แม้กระนั้นก็ตาม มังกรในช่วงวัยกำลังโตก็จะได้รับความเสียหายจากไฟได้ง่ายกว่ามังกรในช่วงแก่ เนื่องจากยิ่งมังกรเติบโตขึ้น รูปร่างของมันก็จะหนาขึ้นและทนทานขึ้น ในเวลาเดียวกัน มังกรที่ยิ่งเติบใหญ่ขึ้น ไฟของพวกมันก็จะยิ่งร้อนและรุนแรงมากขึ้นตาม
มังกรสามารถรู้สึกผูกพันต่อมนุษย์ที่เลี้ยงพวกมันมา พวกมันเป็นสัตว์ที่มีสติปัญญาในระดับสูง และสามารถูกฝึกฝนเพื่อให้รับใช้มนุษย์ในการขี่หลังของพวกมันได้รวมถึงการสั่งการด้วยเสียง เป็นที่กล่าวกันว่าธรรมชาติของมังกรจะมีอารมณ์แปรปรวนได้ง่าย มังกรจะยอมเชื่อฟังต่อเจตนารมณ์ของผู้ขี่ได้ง่ายกว่าหลังจากที่พวกมันได้รับอาหารหรือท้องอิ่มแล้ว พวก Targaryen ต้องฝึกฝนมังกรเพื่อทำให้พวกมันไม่ให้คอยทำลายล้างผลาญสิ่งต่างๆรอบตัวจากความป่าเถื่อนของพวกมัน
มังกรเติบโตได้ตลอกชั่วชีวิตของพวกมัน แต่ยังไม่เป็นที่ทราบกันว่าพวกมันจะมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวแค่ไหนหรือจะเติบใหญ่ได้ขนาดไหน มังกรของพวก Targaryen ที่ตัวใหญ่ที่สุดและแก่ที่สุด คือ Balerion ซึ่งมันมีอายุราว 200 ปีและมันก็สามารถกลืนแมมมอธได้ทั้งตัว แต่มังกรที่ถูกเลี้ยงในที่จำกัดจะมีขนาดที่เล็กกว่าปกติ
เป็นที่เชื่อกันว่ามังกรเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความผูกโยงกับเวทมนต์และฤดูกาลของโลกใบนี้อย่างแท้จริง เพราะว่าตั้งแต่มังกรสูญพันธุ์ไปจาก Westeros อำนาจของเวทมนต์ก็ลดลงและฤดูหนาวก็หนาวเหน็บลงยิ่งกว่าเดิม
(Dany and her dragon, Drogon in the Daznak's Pit)
Reproduction
ตามคำบอกเล่าของเมสเตอร์ Aemon มังกรไม่มีการแบ่งแยกทางเพศอย่างตรงๆ ซึ่งเขาบอกเอาไว้ว่า “แต่ก่อนเป็นอย่างนี้แต่ตอนนี้เป็นอย่างอื่น เปลี่ยนแปลงไปมาได้เหมือนเปลวเพลิง” ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าพวกมันสามารถเปลี่ยนจากเพศหนึ่งไปเป็นอีกเพศหนึ่งด้วยเหตุผลต่างๆตามแต่ผู้อ่านจะนึก ความรู้นี้ต่อมาได้สาบสูญไปซึ่งเมสเตอร์ก็ได้สงสัยถึงเรื่องนี้ว่าอาจจะเป็นความจริง
เป็นเรื่องยากจนไม่น่าเชื่อที่จะตัดสินว่ามังกรนั้นมีเพศอะไร เพราะว่าสัตว์เลื้อยคลานโดยทั่วไปแล้วจะไม่มีอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก นอกจากนี้พวกมันยังไม่ปรากฏให้เห็นถึงภาวการณ์มีสองรูปร่างตามการจำแนกทางเพศ เช่น สัตว์เพศเมียบางสายพันธุ์มีแนวโน้มที่จะมีรูปร่างใหญ่กว่าเพศผู้ เป็นต้น โดยมังกรตัวหนึ่งนามว่า Vhagar (เชื่อกันว่าเป็นตัวเมีย) มีรูปร่างขนาดใหญ่เกือบเท่ากับ Balerion (เชื่อกันว่าเป็นเพศผู้)
(Balerion the Black Dread, the Battle of Field Fire)
ข้อคิดเห็นของเมสเตอร์ Yendel ในหนังสือ The World of Ice and Fire ได้บ่งชี้ว่าส่วนตัวแล้วเขาเชื่อว่ามังกรจะเป็นเพศเมียถ้ามันวางไข่ เขาให้ความเห็นว่าเขาไม่เคยสังเกตเห็น Vermax วางไข่ จึงเป็นหลักฐานว่ามันจะต้องเป็นเพศผู้
มังกรตัวเมีย เช่น Syrax ถูกอ้างว่าเป็นมังกรเพศหญิง Meleys ถูกขนานนามว่าเป็น “ราชินีแดง” ส่วน Tessarion เป็น “ราชินีน้ำเงิน” เป็นไปได้ว่าชื่อของพวกมันถูกอ้างตามเพศสภาพ Syrax ถูกบันทึกเอาไว้ว่ามันวางไข่จำนวนหลายใบเลยทีเดียว
มังกร Vhagar Meraxes Syrax Meleys Tessarion Dreamfyre และ Silverwing ถูกอ้างว่าเป็นเพศเมียในบันทึกทางประวัติศาสตร์ แม้แต่มังกรในช่วงวัยเยาว์อย่าง Moondancer และ Shrykos ก็มีการสะกดคำแบบเพศหญิง มังกรของตระกูล Targaryen ตัวสุดท้ายตายลงในรัชสมัยของกษัตริย์ Aegon III และมังกรสุดท้ายก็อ้างกันว่าเป็นมังกรตัวเมียเช่นกัน เพราะสันนิษฐานกันว่ามันวางไข่ไว้จำนวนหลายใบ ส่วนมังกร Balerion Vermithor Sunfyre Seasmoke Sheepstealer Grey Ghost Cannibal และ Stormcloud ทั้งหมดถูกอ้างว่าเป็นเพศผู้ ส่วนเพศของมังกร Quicksilver Morghul และ Shrykos ยังไม่มีความชัดเจน และมังกร Caraxes ถูกอ้างว่าเป็นทั้งเพศผู้และเพศเมียในตัวเดียวกัน
(Aegon the Conqueror, and his dragon, Balerion the Black Dread)
History
Ancient dragons
มังกรเป็นสัตว์ท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ในทวีป Essos Daenerys นึกถึงเธอเคยได้ยินว่าพวกมังกรกลุ่มแรกตัวแรกมาจากทางตะวันออก มาจากทางดินแดนเงาเหนือเมือง Asshai และมาจากหมู่เกาะในแถบทะเลหยก (Jade Sea) ชาว Valyrian โบราณเชื่อกันว่ามังกรมีถิ่นกำเนิดมาจากวงแหวนภูเขาไฟทั้ง 14 ลูก (Fourteen Flames) แต่ถ้าไม่คำนึงถึงแหล่งกำเนิดของพวกมันแล้ว ในยุคโบราณมังกรต่างอาศัยกันในโลกทางตะวันออกไกล เพราะกระดูกมังกรถูกค้นพบทั้งในแถบดินแดน IB หรือแม้แต่ในป่าดิบชื้นของทวีป Sothoryos
มังกรถูกค้นพบเมื่อประมาณ 5,000 ปีโดยชาว Valyrians ในแถบวงแหวนภูเขาไฟทั้ง 14 ลูกในแถบคาบสมุทรของดินแดน Valyria ชาว Valyrians มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์การเลี้ยงมังกรและการใช้พวกมันเป็นอาวุธในสงครามเพื่อก่อร่างสร้างจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ หลังจากการล่มสลายของดินแดน Valyria มีเพียงมังกรที่เหลือรอดเพียง 5 ตัว ซึ่งพวกมันอาศัยอยู่กันบนเกาะ Dragonstone โดยมังกรเหล่านี้เป็นของพวก Targaryen ที่พวกเขานำมาจาก Valyria ตอนที่พวกเขามาหาแหล่งอาศัยแห่งใหม่กัน มังกร 4 ตัวที่นำมาจาก Valyria ตายลงในเกาะ Dragonstone มีเพียง Balerion ที่ยังมีชีวิตรอด อย่างไรก็ตาม มังกรตัวอื่นๆก็ได้วางไข่ทิ้งเอาไว้ และมังกรที่ฟักออกมาก็มี Vhagar และ Meraxes
(Balerion descending on Harrenhal)
The Targaryen dragons
พวก Targaryens ใช้มังกร Balerion Vhagar และ Meraxes ในการพิชิตและหลอมรวมเจ็ดอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียว พวกเขายังคงใช้มังกรในการจัดการกับความขัดแย้งต่างๆในสนามรบ มังกรถูกใช้ในสงครามครั้งแรกกับชาว Dornish จนทำให้มังกร Meraxes ตายลงในปี 10 AC นอกจากนี้ในปี 43 AC
ตลอดในช่วง 150 ปี (ก่อนมังกรจะสูญพันธุ์) พวก Targaryen ใช้มังกรเป็นสัญลักษณ์แทนอำนาจของพวกเขา กษัตริย์ Jaehaerys I Targaryen พามังกร 6 ตัวพร้อมกับเขาเดินทางกันไปยังแดนเหนือเพื่อไปเยือนผู้ปกครองแห่งแดนเหนือ โดยมังกรที่พาไปรวมถึงคนขี่นั้นมีกษัตริย์ Jaehaerys บนหลังของมังกร Vermithor ราชินี Alysanne บนหลังของมังกร Silverwing ส่วนอีก 4 ตัวยังไม่ทราบชื่อ ในปี 43 AC เหนือทะเลสาบ God’s Eye ในดินแดน Riverlands ได้มีมังกรสู้กันเอง ซึ่งส่งผลให้ Quicksilver ตายลงรวมถึงเจ้าชาย Aegon (เป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจบัลลังก์เหล็กระหว่างกษัตริย์ Maegor I จอมอำมหิตกับมังกร Balerion และเจ้าชาย Aegon กับมังกร Quicksilver ซึ่ง Aegon ตามจริงเขาต้องเป็นรัชทายาทคนต่อไป แต่เขาโดนซิวตำแหน่งโดยอาของเขาเองจนเกิดการต่อสู้กัน)
(Maegor I Targaryen and Balerion make short work of Aegon Targaryen and Quicksilver during the Battle Beneath the Gods Eye)
ในที่สุดมังกร Balerion ก็ตายลงในปี 94 AC ในปลายรัชสมัยของกษัตริย์ Jaehaerys I ซึ่งหลานชายของเขาและรัชทายาทคนต่อไป Viserys I เป็นผู้ขี่หลัง Balerion ในช่วงบั้นปลายชีวิตของมัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Vhagar เป็นมังกรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและในปี 129 AC มันก็มีขนาดใกล้เคียงกับ Balerion
มังกรหลายตัวถูกฟักออกมาในช่วงยุคสมัยหลังการพิชิต ในปี 129 AC สงครามกลางเมืองของพวก Targaryen ก็ได้เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายของราชินี Rhaenyra กับฝ่ายของกษัตริย์ Aegon II ในตอนนั้นมีมังกรจำนวนมากถึง 20 ตัว เหล่ามังกรที่ตัวใหญ่ที่สุดและแก่สุดมี Vhagar Vermithor Silverwing Dreamfyre Meleys Caraxes และ Syrax ส่วนมังกรที่มีอายุอ่อนกว่าและยังสามารถใช้งานได้ในสนามรบ ได้แก่ Seasmoke Sunfyre Tessarion Vermax Arrax Tyraxes และ Moondancer ส่วนมังกร Stormcloud Morghul และ Shrykos ที่เพิ่งฟักนั้นยังไม่ใหญ่พอที่จะใช้งานได้ นอกจากนี้ยังมีมังกรที่ดุร้ายอาศัยอยู่บนเกาะ Dragonstone ซึ่งไม่เคยมีใครได้เป็นเจ้าของและสามารถขี่พวกมันได้เลย ซึ่งได้แก่ Grey Ghost Sheepstealer และ Cannibal อย่างไรก็ตามมังกรก็ไม่ได้เป็นทุกตัวที่จะฟักแล้วเติบโตจนเต็มวัยได้ ซึ่งพวกมันมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากลืมตาดูโลกออกมา
(Rhaenyra fed to half-brother Aegon's Dragon, Sunfyre)
Extinction and revival
ในท้ายรัชสมัยของกษัตริย์ Viserys I Targaryen มีมังกร 20 ตัวที่ยังมีชีวิตอยู่ มังกรเหล่านี้ส่วนมากตายลงในสงครามกลางเมืองที่ถูกเรียกกันว่า “สงครามการร่ายรำของมังกร (Dance of the Dragons)” ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 129 AC และดำเนินต่อไปจนสงครามจบลงในปี 131 AC อย่างไรก็ตามอาร์ชเมสเตอร์ Marwyn บอกเอาไว้ว่าแต่ก่อนมีคณะของเมสเตอร์ที่กุมความลับบางอย่างโดยมีเป้าหมายเพื่อหยุดยั้งพลังเวทมนต์ ได้รับมอบหมายในการทำให้พวกมังกรสูญพันธ์
ในช่วงสงครามการร่ายรำจบลงเมื่อปี 131 AC มีมังกรที่เหลือรอดอยู่เพียง 4 ตัว ได้แก่ Sheepstealer Cannibal และมังกร Silverwing ซึ่งพวกมันเกิดก่อนสงครามครั้งนี้ รวมไปถึงมังกร Morning ที่มันสามารถฟักได้ด้วยตัวเองในช่วงสงคราม นอกจากนี้ยังมีไข่มังกรมากมายหลายใบหลังจากสงครามครั้งนี้ และก็มีมังกรฟักออกมาได้ตัวหนึ่ง เพียงแต่มังกรตัวนี้เป็นมังกรตัวสุดท้าย ซึ่งมันมีรูปร่างแคระแกร็น ขี้โรค มีรูปร่างผิดแปลก และมันก็ตายลงตั้งแต่ยังรุ่นๆในปี 153 AC หรือในรัชสมัยของกษัตริย์ Aegon III Targaryen มังกรตัวนี้เป็นเพศเมีย มีผิวเป็นสีเขียว มีปีกขนาดเล็กและเหี่ยวย้อย และมันก็วางไข่ออกมา 5 ใบและก็ไม่เคยฟักเลยแม้แต่ใบเดียว
ตระกูล Targaryen ได้สะสมกะโหลกมังกรจำนวน 19 ชิ้นซึ่งมีขนาดและอายุที่หลากหลาย โดยพวกมันถูกจัดวางไว้บนกำแพงของท้องพระโรงในปราสาทหลวง Red Keep มีกะโหลกบางชิ้นที่มีอายุเก่าแก่กว่าหลายปีด้วย
(Arya amongst old dragon skulls underneath the Red Keep)
หลังจากที่มังกรสูญพันธ์ สิ่งที่ยังเหลือของมังกรก็คือกะโหลกของพวกมันรวมถึงไข่ ซึ่งไข่บางส่วนก็กลายเป็นหิน ไข่มังกรมีมูลค่าสูงมากเนื่องจากมีความงดงามและเป็นของหายากที่มาจากต่างแดน ตามคำบอกเล่าของ Ser Arlan แห่งเมือง Pennytree เขากล่าวว่าหลังจากมังกรตัวสุดท้ายตายลง ฤดูร้อนก็กินเวลาสั้นลงและฤดูหนาวก็กินเวลานานขึ้นและโหดร้ายมากขึ้น
มีความพยายามอันไร้ประโยชน์หลายต่อหลายครั้งในการฟักมังกรจากไข่มังกรที่เหลืออยู่ กษัตริย์ Aegon III Targaryen หรือที่รู้จักกันในนามของ “หายนะมังกร (Dragonbane)” ได้เชิญให้นักเวทย์จำนวน 9 คนจากดินแดนข้ามทะเลแคบมายัง Westeros เพื่อพยายามฟักไข่มังกรโดยใช้พลังเวทย์ของพวกเขา กษัตริย์ผู้เคร่งศาสนา Baelor I Targaryen เขาพยายามฟักไข่ด้วยการสวดอ้อนวอนต่อทวยเทพ ในเหตุการณ์โศกนาฏกรรม ณ ปราสาท Summerhall เป็นผลมาจากความพยายามของกษัตริย์ Aegon V Targaryen (หรือ Egg) ในการฟักไข่มังกร ศาสตร์การทำให้มังกรเชื่องรวมถึงการสั่งการมังกรได้สาบสูญไป มีเพียงหนังสือหายากจำนวนเพียงไม่กี่เล่มที่ถูกทิ้งเอาไว้
(The Remnant of Dragons Remaining, after the Dance)
ในท้ายที่สุด Daenerys Targaryen ก็สามารถฟักไข่มังกรออกมาได้สามตัวจากเพลิงเผาศพของสามีเธอ ตอนที่เธอเดินก้าวเข้าไปในกองไฟพร้อมกับไข่มังกร ด้วยการแลกเปลี่ยนชีวิตต่อชีวิตของ Daenerys ทำให้มังกรสามตัวแรกได้ถือกำเนิดขึ้นมาหลังจากที่สูญพันธุ์ไปได้ร้อยกว่าปี
ตามตำนานที่เล่าขาน มังกรอาจสามารถถูกทำให้เชื่องด้วยแตรมังกร ซึ่งตอนนี้ถูกครอบครองโดย Victarion Greyjoy
(Daenerys Targaryen, the Unburnt)
Dragonhorn
แตรมังกรหรือ Dragonhorn เป็นแตรที่มีอาคมซึ่งถูกนำไว้ใช้ในการควบคุมมังกร แตรมังกรมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ที่ดินแดน Valyria ก่อนถึงวันแห่งการพิพากษา ผู้ปกครองแห่ง Valyria หรือ Dragonlord ก็ใช้แตรในการควบคุมมังกรจนถึงวันพิพากษาที่กลืนกลินพวกเขาไปจนหมดสิ้น
ยังไม่เป็นที่ทราบจนถึงตอนนี้ว่าแตรมังกรหนึ่งตัวสามารถควบคุมมังกรได้มากกว่าหนึ่งหรือมีมังกรจำนวนกี่ตัวที่แตรสามารถควบคุมได้ ในเรื่องแตรมังกรยังไม่เคยถูกกล่าวถึงในรัชสมัยของราชวงศ์ Targaryen ส่วนกระดูกมังกรถูกเก็บไว้ในปราสาท Red Keep และยังไม่มีการพูดถึงการสร้างแตรมังกรใน Westeros แต่จนถึงตอนนี้แตรมังกรถูกพบอยู่หนึ่งตัว นั่นคือ "Dragonbider"
Dragonbider เป็นแตรมังกรขนาดใหญ่ที่มีรูปแกะสลัก Valyrian อยู่บนแตร Euron Greyjoy อ้างว่าเขาพบมันในซากปรักหักฟังที่ดินแดน Valyria ซึ่ง Victarion Greyjoy ตั้งชื่อให้มันว่า "แตรนรก"
แตรตัวนี้มีขนาดที่ยาวถึง 6 ฟุต ทำมาจากเขามังกรขนาดยักษ์ ผิวของแตร Dragonbider มีสีดำส่องประกาย ถูกผูกรัดด้วยทองคำสีแดงและเหล็กกล้า Valyrian เมื่อสัมผัสผิวของแตรจะรู้สึกว่าอุ่นและเรียบ พื้นผิวของมันมีความมันเงาและสะท้อนแสง สายที่ผูกรัดแตรมังกรถูกปกคลุมไปด้วยตัวอักษรประหลาด นักบวชเทพแห่งแสง Moqorro อ้างว่านั่นเป็นตัวอักษรที่ถูกแกะสลักด้วยภาษา Valyrian เมื่อแตรถูกเป่า มันจะเปล่งแสงด้วยความร้อนเป็นสีแดงจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีขาว Moqorro ยังกล่าวอีกด้วยว่าผู้ใดก็ตามที่เป่าแตรอันนี้ จะต้องมีอันเป็นไป แต่มังกรเหล่านั้นก็จะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าของแตร
(Euron Greyjoy and his dragon horn)
Historical Dragons
ต่อไปจะเป็นรายชื่อของมังกรพร้อมคนขี่นะครับ ผมพยายามจะลงภาพมังกรเท่าที่หาได้นะครับ จะได้เห็นกันชัดๆ อิอิ
Spoil
Arrax
ขี่โดยเจ้าชาย Lucerys Velaryon มังกรตัวนี้เกิดหลังจากสงครามการพิชิต ตายลงในปี 129 AC ที่อ่าว Shipbreaker จากเหตุการณ์การสู้กันเองระหว่างเจ้าชาย Lucerys กับลูกพี่ลูกน้องคู่อาฆาต เจ้าชาย Aemond Targaryen เพราะทั้งสองเคยทะเลาะกันจนทำให้เจ้าชาย Aemond ตาบอด และในระหว่างที่ทั้งสองเดินทางกันไปยัง Storm's End เพื่อแย่งขอกำลังเสริมจากตระกูล Baratheon แต่ต่อมาที่ทั้งคู่ออกจากปราสาทก็เกิดการต่อสู้กันจนเกิดผลลัพธ์อย่างที่เห็น ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมือง Dance of the Dragons
(Fighting each other, between Prince Lucerys with Arrax, and Prince Aemond with Vhagar)
Balerion
เป็นที่รู้จักกันในนามว่า Black Dread ขี่โดยกษัตริย์ Aegon I Targaryen กษัตริย์ Maegor I Targaryen และกษัตริย์ Viserys I Targaryen เกิดในปีก่อนการพิชิตเมื่อ 114 ที่แล้ว และตายลงในปี 94AC เป็นมังกรที่ตัวใหญ่ที่สุดและมีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นหนึ่งในมังกรที่พิชิต Westeros จนสำเร็จ
Caraxes
เป็นที่รู้จักกันในนามว่า Blood Wyrm ขี่โดยเจ้าชาย Daemon Targaryen เกิดหลังจากสงครามการพิชิต ตายลงในปี 130AC ในช่วงสงคราม Dance of the Dragons
เจ้าชาย Daemon ที่อยู่บนตัวของมังกร เขาท้าสู้กับเจ้าชายตาบอด Aemond Targaryen ที่ปราสาท Harrenhal โดย Aemond ขี่มังกร Vhagar พวกเขาและมังกรรวมเป็นสี่ต่างเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ในการต่อสู้ช่วงท้าย Vhagar ล็อคตัว Caraxes และพวกมันทั้งสองก็ตกลงดิ่งในทะเลสาบ Gods Eye โดยเล็บของ Vhagar ได้เจาะฉีกท้องของ Caraxes และมันก็ใช้ฟันกัดตรงแขนปีกจนขาด ส่วน Caraxes ก็งับท้องของมันด้วยฟันจนฉีกขาดออกมาก Vhagar จึงไม่รอดชีวิตจากการที่ตกลงสูทะเลสาบ อย่างไรก็ตาม Caraxes ก็รอดชีวิตพอที่จะดึงตัวเองขึ้นมาจากบนน้ำและพักอยู่บนฝั่ง จากนั้นมันก็ตายลงตรงหน้ากำแพงของปราสาท Harrenhal ในเวลาต่อมา
Dreamfyre
ขี่โดยเจ้าหญิง Rhaena Targaryen และต่อมาโดยเจ้าหญิง Helaena Targaryen เกิดหลังจากสงครามการพิชิตและตายลงจากสงคราม Dance of the Dragons ในปี 130AC ในช่วงการจลาจลที่เมืองหลวง King's Landing.
ในช่วงท้ายของสงครามกลางเมือง Dance of the Dragons พวกม็อบได้กรูทลายกันเข้ามายังโดมที่ใช้เลี้ยงมังกร (dragonpit) ภายในโดมมีมังกร 4 ตัวถูกล่ามโซ๋เอาไว้อยู่ มีเพียง Dreamfyre ที่สามารถพังโซ่และหนีออกไปได้ เธอบนเวียนอยู่ภายในโดมและโจมตีพวกคนที่อยู่เบื้องล่าง เธอสังหารจำนวนคนได้มากกว่ามังกรที่เหลือรวมกัน ส่วนพวกม็อบก็ยันการโจมตีของเธอและทำให้เธออยู่ในระยะวิสัยการโจมตีของพลธนูและพลศร พวกเขากระหน่ำยิงธนูเข้าใส่จนทำให้เธอต้องบินหนีออกจากโดม ตาของเธอบอดไปข้างหนึ่งจากลูกธนู ด้วยความคลั่งแค้นทำให้ Dreamfyre บินลงบนเหนือโดม แต่ด้วยสภาพของโดมที่พร้อมจะพังเสมอ ได้ทลายลงมาครึ่งหนึ่งจนทำให้ทั้งเธอและพวกม็อบถูกเศษหินจำนวนคณานับทับจนตาย
(Storming of the Dragonpit, during the Dance of the Dragons)
Meleys
เป็นที่รู้จักในอีกนามว่า Red Queen ขี่โดยเจ้าหญิง Rhaenys Targaryen เกิดหลังจากสงครามการพิชิต ตายลงในปี 129AC ในช่วงสงคราม Dance of the Dragons
ในช่วงสงครามกลางเมือง เจ้าหญิง Rhaenys ขี่มังกร Meleys เธอต่อสู้กับมังกร Vhagar และมังกร Sunfyre ในการต่อสู้ ณ Rook's Rest แม้ว่าจะตัวไม่ใหญ่เท่า Vhagar แต่เธอก็สามารถต่อสู้ได้เพียงลำพังและเธอก็อาจมีโอกาสเอาชนะได้ แต่ Meleys ก็ถูกฆ่าตายในที่สุด และหัวของเธอก็อยู่บนรถเข็นที่เข็นไปตามพื้นของเมืองหลวง ซึ่งทำให้พวกชาวบ้านต่างตกใจและยืนกันเงียบกริบ
Meraxes
ขี่โดยเจ้าหญิง Rhaenys Targaryen เกิดที่เกาะ Dragonstone ในช่วงก่อนสงครามการพิชิต ตายลงในช่วงรัชสมัยของกษัตริย์ Aegon I ในดินแดน Dorne
Meraxes เป็นหนึ่งในมังกรที่พิชิต Westeros แต่ในรัชสมัยของกษัตริย์ Aegon I มังกร Meraxes และเจ้าหญิง Rhaenys Targaryen ทั้งคู่จบชีวิตลงในสงครามกับชาว Dornish ที่ปราสาท Hellholt หลังจากที่ปลายศรเหล็กปักเข้าที่ตาของมัน กะโหลกของของเธอต่อมาถูกนำไปให้กับ Aegon เพื่อเจรจาสันติกับตระกูล Martell
(The Death of Meraxes)
Quicksilver
เป็นมังกรของกษัตริย์ Aenys I Targaryen และต่อมาเป็นของลูกชายเขา เจ้าชาย Aegon
หลังจากที่กษัตริย์ Aenys I ทรงสิ้นพระชนม์ มังกร Quicksilver ก็ตกเป็นของลูกชายคนโตสุด เจ้าชาย Aegon ส่วนน้องชาย (คนละแม่) ของกษัตริย์ Aenys หรือ Maegor เขาได้ช่วงชิงบัลลังก์เป็นของตัวเองและเริ่มกำจัดพวกกองกำลังศาสนา Faith Militant จนเกิดสงครามศาสนาขึ้นมา เขาใช้มังกี Balerion จัดการฝ่ายตรงข้ามอย่างอำมหิตมากจนทางเจ้าชาย Aegon ต้องก่อปฏิวัติขึ้นมาโดยใช้มังกรของเขา Quicksilver พวกเขาทั้งสองพร้อมมังกรต่อสู้กันเหนือทะเลสาบ God's Eye แต่ด้วยความที่มังกร Quicksilver ยังมีอายุน้อยอยู่ (ประมาณ 20 ปี) ทำให้เขาไม่สามารถต่อสู้กับมังกรยักษ์ Balerion ที่มีอายุเกินร้อยปีได้เลย ทำให้ทั้ง Quicksilver และเจ้าชายถูกฆ่าตายลงในปี 43 AC
(Aegon Targaryen and Quicksilver are killed in the Battle Beneath the Gods Eye)
Silverwing
ขี่โดยเจ้าหญิง Alysanne Targaryen และต่อมาโดย Ulf the White เกิดหลังจากสงครามการพิชิต
เมื่อราชินี Alysanne Targaryen ไปเยือน Winterfell พร้อมกับพระสวามีของเธอ กษัตริย์ Jaehaerys I Targaryen เธอเกิดเบื่อขึ้นมา จึงขี่หลังมังกรของเธอ Silverwing บินขึ้นเหนือไปยังกำแพง และหยุดพักที่หมู่บ้าน Queenscrown ในระหว่างทาง ส่วน Jaehaerys ได้ตามเธอมาทีหลังพร้อมมังกรของเขาเอง Vermithor
Silverwing เป็นหนึ่งในสี่มังกรที่รอดชีวิตจากสงครามกลางเมือง Dance of the Dragons แม้ว่าอีกสามตัวที่เหลือทั้ง Sheepstealer และ Cannibal จะหายตัวไป รวมถึง Morning ที่เพิ่งฟักออกมาได้ไม่กี่เดือนก่อนสงครามจบลง แม้กระนั้นก็ตาม Silverwing ก็ยังคงดุร้ายพร้อมกับความเสียใจต่อการจากไปของมังกร Vermithor หลังจากนั้นเธอก็บินไปทางตะวันตกและพักแวะบนเกาะในทะเลสาบแดง (ทางตะวันตกเฉียงเหนือของ The Reach) และเธอก็ถูกไล่ล่าและโดนฆ่าตายตามที่เธอปรารถนา
(Queen Alysanne and Silverwing at Queenscrown)
Sunfyre
เป็นที่รู้จักกันในนามว่า Golden ขี่โดยกษัตริย์ Aegon II Targaryen เกิดหลังจากสงครามการพิชิต คาดว่าเกิดในรัชสมัยของกษัตริย์ Viserys I Targaryen ตายลงในช่วงสงคราม Dance of the Dragons ในปี 130AC ที่เกาะ Dragonstone
ในช่วงสงครามกลางเมือง Dance of the Dragons มังกร Sunfyre ร่วมต่อสู้กับกษัตริย์ Aegon II (ผู้นำทัพฝ่ายเขียว) ในช่วงการสู้รบ ณ ปราสาท Rook's Rest หรือหนึ่งในการต่อสู้ครั้งใหญ่ครั้งแรกของสงคราม ณ ปี 129 AC ทางทัพฝ่ายเขียว (นำโดยกษัตริย์ Aegon II) โจมตีปราการ Rook's Rest เพื่อล่อฝ่ายดำให้เข้ามาติดกับ คนของ Rook's Resy จึงขอร้องให้ราชินี Rhaenyra Targaryen (ผู้นำทัพฝ่ายดำ) ช่วยพวกเขาด้วย และเจ้าหญิง Rhaenys Targaryen ก็ตอบรับคำขอพร้อมกับขี่มังกร Meleys มาหา ทั้ง Aegon II บนหลัง Sunfyre และน้องชาย Aemond Taragryen บนหลัง Vhagar ต่างกำลังคอยให้คนของฝ่ายเขียวซักคนโผล่มาเพื่อจะได้ปรากฏตัว แม้ว่ามังกร Meleys จะมีโอกาสที่จะได้สู้กับ Vhagar ตามลำพัง การผสานกำลังกันระหว่างมังกรทั้งสองก็ทำให้ Meleys เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ในขณะที่ Vhagar กับ Sunfyre เป็นฝ่ายชนะก็จริง แต่ Sunfyre ได้รับบาดเจ็บหนักมากในระหว่างการต่อสู้จนบินไม่ได้ เพราะปีกข้างหนึ่งของเขาเกือบขาด
เนื่องจาก Sunfyre ที่มีอาการบาดเจ็บหนัก มันจึงยังคงพักรักษาตัวอยู่ใกล้ๆกับ Rook's Rest มันไม่สามารถบินได้ดีเหมือนแต่ก่อน และในที่สุดปราการ Rook's Rest ก็ถูกพิชิตได้โดยฝ่ายดำ และลอร์ด Walys Mooton ก็พยายามสังหารมังกรที่บาดเจ็บตัวนี้ แต่ Sunfyre ก็เผาเป็นตอตะโกและก็หายตัวไปโดยไม่มีใครรู้ว่ามันหายไปที่ไหน
ด้วยเหตุผลที่ไม่ทราบแน่ชัด Sunfyre ก็บินกลับมายัง Dragonstone หรือบ้านเกิดของตัวเอง ที่นั่น Sunfyre ได้สังหารมังกรจอมดุร้าย Grey Ghost และเขาก็ได้รับบาดเจ็บไปตามหลัง ท้อง และคอ และเหลือตาเพียงข้างเดียว โดยซากของมังกร Grey Ghost ที่ถูกพบ ทหารฝ่ายดำสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นฝีมือของมังกร Cannibal ซึ่งเป็นมังกรดุร้ายอีกตัวที่อยู่บนเกาะนี้ และการมาอยู่ชั่วคราวของ Sunfyre บน Dragonstone ก็เป็นความลับได้ซักพักหนึ่ง
Sunfyre ฟื้นจากอาการบาดเจ็บได้บางส่วน เหล่าคณะของ Aegon II สามารถทวงปราสาท Dragonstone คืนจากฝ่ายดำได้ เมื่อ Aegon ขี่ Sunfyre ลงบนลานกว้างของปราสาทเพื่อประกาศชัยชนะ พวกเขาก็พบกับเลดี้ Baela Targaryen และมังกรของเธอ Moondancer
แม้ว่า Moondancer จะมีอายุอ่อนกว่าและตัวเล็กกว่า แต่เธอก็มีความว่องไวกว่า และอาการบาดเจ็บของ Sunfyre ก็ยังคงอยู่ มังกรทั้งสองต่างต่อสู้กัน และ Moondancer ก็สามารถทำให้ Sunfyre บาดเจ็บเพิ่มขึ้น และทั้งสองก็ต่อสู้กันจนตกร่วงลงบนพื้นทั้งคู่ Moondancer ไม่รอดชีวิต ส่วน Sunfyre ก็ยิ่งบาดเจ็บหนักกว่าเดิมจนบินไม่ได้ในที่สุด
หลังจากสงครามการต่อสู้ทั้งหมดกำลังจะจบลง Sunfyre ก็ยังคงพำนักอยูาในลานกว้างของ Dragonstone และเขาก็ได้กินเนื้อแกะที่ทหารจะขนกันมาให้ เมื่อราชินี Rhaenyra Targaryen ถูกจับตัวได้ เธอก็กลายเป็นอาหารของ Sunfyre ในวันที่ 22 ของปี 130 AC และลูกชายของเขาหรือกษัตริย์ Aegon III ในเวลาต่อมา ก็ต้องยืนดูแม่ตัวเองโดนมังกรกินทั้งเป็นจนทำให้เขาเป็นโรคซึมเศร้า
Sunfyre ตายลงจากอาการบาดเจ็บในอีก 6 สัปดาห์ต่อมา ทำให้ Aegon II เสียใจต่อการจากไปของเขามาก
(Rhaenyra fed to half-brother Aegon's Dragon, Sunfyre)
Syrax
เป็นมังกรเพศเมีย ขี่โดยเจ้าหญิง Rhaenyra Targaryen เกิดในรัชสมัยของกษัตริย์ Jaehaerys I Targaryen ตายลงในช่วงการจลาจลที่เมืองหลวง King's Landing ปี 130AC
Rhaenyra ได้ครองมังกร Syrax เมื่อปี 104 AC โดยตอนนั้นเจ้าหญิงอายุได้ 7 ขวบ เธอตั้งชื่อตามเทพธิดาของชาว Valyrian มังกร Syrax วางไข่จำนวนหลายใบในช่วงรัชสมัยของกษัตริย์ Viserys I หรือพ่อของเธอเอง การวางไข่ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นก่อนที่สงครามกลางเมืองจะบังเกิด
ในช่วงเริ่มต้นของสงคราม Rhaenyra พร้อมกับมังกร Syrax รวมถึงเหล่าผู้ขี่มังกรคนอื่นๆบินมุ่งหน้าไปยัง King's Landing และยืดเมืองหลวงได้ โดยมีฝ่ายต่อต้านน้อยมาก
ใน King's Landing มังกร Syrax อยู่พำนักภายในคอกม้าในกำแพงของปราสาทหลวง เธอถูกล่ามโซ่เอาไว้แต่โซ่ยาวมากจนสามารถเคลื่อนไหวไปมาในลานกล้างได้แต่ก็ไม่สามารถบินได้เลย ส่วนมังกรของฝ่ายดำอีกสามตัวรวมถึงมังกรของฝ่ายเขียวอีกตัว Dreamfyre ถูกล่ามและโดนขังอยู่ในโดมมังกรในเมืองหลวง
Syrax ถูกสังหารจากควันหลงของเหตุการณ์การบุกโจมตีโดมมังกรของพวกชาวบ้าน เจ้าชาย Joffrey พยายามขี่เธอเพื่อไปช่วยมังกรตัวอื่นๆในโดมมังกร แต่มังกรก็ไม่ใช่ม้าและมังกรก็ยอมรับเจ้าของเพียงคนเดียว ทำให้เขาตกลงจากหลังมังกรจนเสียชีวิต เมื่อพวกม็อบกรูบุกโจมตีกันเข้ามายังโดมมังกร แทนที่ Syrax จะโจมตีด้วยเปลวเพลิงจากที่สูง แต่เธอกลับโจมตีบนพื้นราบซึ่งทำให้พวกม็อบตายมากมายจากฟันและกรงเล็บของเธอ แต่ในที่สุด Syrax ก็ต้องเสียชีวิตจากเหตุจลาจลในครั้งนี้โดยโดนพวกชาวบ้านรุมโจมตี
Vhagar
เป็นมังกรเพศเมีย ขี่โดยราชินี Visenya Targaryen จนกระทั่งเธอเสียชีวิตลง ต่อมาโดยท่านหญิง Laena Velaryon และต่อมาถูกเคลมโดยเจ้าชาย Aemond Targaryen Vhagar เกิดในปี 51BC และตายลงในปี 130AC ในช่วงสงคราม Dance of the Dragons
Vhagar เป็นหนึ่งในมังกรที่ถูกใช้พิชิต Westeros จนมาถึงในปี 129 AC มังกร Vhagar ก็มีขนาดใหญ่เกือบเท่ากับ Balerion ในตอนนี้เธอจึงเป็นมังกรที่ตัวใหญ่ที่สุด ซึ่งเจ้าชาย Aemond ได้ครอบครอง Vhagar และเขาก็พามันไปยัง Storm's End เพื่อที่เขาจะได้รับการสนับสนุนจากทางลอร์ด Borros Baratheon ที่นั่น Aemond ได้พบกับเจ้าชาย Lucerys Velaryon Aemond ถูกห้ามไม่ให้ทำร้าย Lucerys ในระหว่างที่อยู่ในปราสาทของ Borros แต่ถ้าด้านนอกก็ไม่มีปัญหา ดังนั้นเมื่อ Lucerys ขี่มังกรของเขา Arrax ขึ้นบนท้องฟ้า Aemond จึงขี่มังกรของเขาตามหลังไป มังกรทั้งสองต่างต่อสู้กันท่ามกลางดงพายุเหนืออ่าว Shipbreaker และ Vhagar ก็เอาชนะ Arrax ได้ ซึ่งทั้งมังกรและศพของเจ้าชาย Lucerys ก็ถูกพบในอีกไม่กี่วันต่อมา
Aemond ยังคงใช้ Vhagar ในการสู้รบในสงครามกลางเมือง ในระหว่างการต่อสู้ ณ Rook' Rest มังกร Vhagar กับมังกร Sunfyre ซุ่มโจมตีมังกร Meleys และคนขี่ของเธอเจ้าหญิง Rhaenys Targaryen และฝ่ายเจ้าหญิงก็เสียชีวิต มีเพียง Vhagar เพียงตัวเดียวที่รอดโดยไม่ได้รับบาดเจ็บเลย
การต่อสู้กับ Meleys ทำให้ทั้งกษัตริย์ Aegon II รวมถึงมังกร Sunfyre ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจนไม่สามารถปกครองบ้านเมืองได้ เจ้าชาย Aemond จึงถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการในระหว่างที่ Aegon ยังพักรักษาตัว เจ้าชาย Aemond ตัดสินใจที่จะก่อสงครามกับกองทัพฝ่ายดำอีกกองที่นำโดยเจ้าชาย Daemon Targaryen (อาและสามีของเจ้าหญิง Rhaenyra) ซึ่งอีกฝั่งตั้งทัพกันอยู่ที่ Harrenhal เจ้าชาย Aemond นำ Vhagar และกองทัพฝ่ายเขียวของเขาจาก King's Landing เพื่อโจมตี Harrenhal ที่อยู่ทางเหนือ ทำให้ King's Landing มีการป้องกันต่ำมาก เมื่อ Aemond กับ vhagar มาถึง Harrenhal พวกเขาก็พบว่าปราสาทถูกทิ้งร้าง เพราะ Daemon หนีออกกันไปก่อนหน้านี้เพื่อโจมตี King's Landing หลังจากที่เขาล่อ Aemond กับ Vhagar ให้มาติดกับที่ Harrenhal
ที่นี่ เจ้าชาย Aemond กับพระหัตถ์ของเขา Ser Criston Cole นึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรก็ตาม Aemond จึงพา Vhagar ไปแก้แค้นเพียงลำพัง พวกเขาเผาที่ราบในดินแดน Riverlands เริ่มจากสิ่งก่อสร้างที่ทำจากไม้ใน Harrenhal Vhagar สร้างความเสียหายได้มากกว่ากองทัพทั้งหมดรวมกัน จนทำให้กำลังสนับสนุนของราชินี Rhaenyra ได้รับบาดเจ็บกันอย่างหนัก การตัดสินใจในการทิ้งกองทัพของ Aemond ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นกลยุทธ์ที่ผิดพลาด เมือไม่มี Vhagar คอยปกป้อง กองทัพของ Cole ทางตะวันออกก็ถูกรุมล้อมและโดนทำลายลงในสนามรบ ณ stoney ridge ทำให้ทางตะวันออกเปิดทางสะดวกให้กับกองกำลังของ Rhaenyra
Aemond และ Vhagar ยังคงทำลาย Riverlands และพวกเขาก็เริ่มกลายเป็นอสูรกายแห่งแม่น้ำ Trident เจ้าชาย Daemon Targaryen และมังกรของเขา Meraxes รวมถึง Nettles ที่อยู่บนหลังของมังกร Sheepstealer ถูกส่งไปล่าตัว Aemond พวกเขาถูกยอมให้ใช้เมือง Maidenpool เป็นฐาน เพราะลอร์ด Mooton กลัวโดน Vhagar โจมตี Daemon และ Nettles ยังคงตามล่า Vhagar ทุกวัน แต่ Vhagar ก็ยังคงทำลายล้าง Riverlands และไม่มีใครพบตัว
หลังจากการต่อสู้ที่ Tumbleton ครั้งแรก เจ้าชาย Daemon Targaryen ก็บอกลากับลอร์ด Mooton และ Nettles เขาบอกว่าจะคอย Aemond ที่ Harrenhal กับ Meraxes เพียงลำพัง อีก 13 วันต่อมา Vhagar ปรากฏบนท้องฟ้าพร้อมกับ Aemond รวมถึงคนรักของเขา Alys Rivers ที่อยู่บนหลัง การต่อสู้ระหว่างมังกรได้เริ่มขึ้น ซึ่งจบลงด้วยการเสียชีวิตของ Aemond โดยฝีมือของเจ้าชาย Daemond ที่ใช้ดาบ Dark Sister ของเขาเสียบเข้าที่ตา มังกรทั้งสองตายจากการต่อสู้ในครั้งนี้
(Fighting each other, between Prince Lucerys with Arrax, and Prince Aemond with Vhagar)
ส่วนที่เหลือคือรายชื่อมังกรครับ ผมจะไม่ลงประวัติให้ เพราะข้างบนผมลงไว้ครอบคลุมหมดแล้ว
- Grey Ghost มังกรที่ดุร้าย ตายลงในปี 130AC เนื่องจากถูกโจมตีโดยมังกร Sunfyre
- Moondancer ขี่โดยท่านหญิง Baela Targaryen เป็นมังกรเพศเมีย เกิดหลังจากสงครามการพิชิต ตายลงในปี 130AC.
- Morghul มีเจ้าของคือเจ้าหญิง Jaehaera Targaryen เกิดหลังจากสงครามการพิชิต คาดว่าเกิดในรัชสมัยของกษัตริย์ Viserys I Targaryen
และตายลงในช่วงการจลาจลที่เมืองหลวง King's Landing ปี 130AC
- Seasmoke ขี่โดย Ser Laenor Velaryon และต่อมาโดย Addam Velaryon เกิดหลังจากสงครามการพิชิต ตายลงในปี 130AC
- Sheepstealer มังกรอันดุร้าย ขี่โดยเด็กสาวนามว่า Nettles เกิดหลังจากสงครามการพิชิต
- Shrykos มีเจ้าของคือเจ้าชาย Jaehaerys Targaryen. Born after the Conquest เกิดหลังจากสงครามการพิชิต คาดว่าเกิดในรัชสมัยของ
กษัตริย์ Viserys I Targaryen ตายลงในช่วงการจลาจลที่เมืองหลวง King's Landing ปี 130AC
- Stormcloud มีเจ้าของคือเจ้าชาย Aegon the Younger เกิดหลังจากสงครามการพิชิต ถูกขี่แค่ครั้งเดียวในปี 129AC และตายลงในไม่กี่ชั่วโมง
ต่อมา
- Tessarion เป็นที่รู้จักกันในนามว่า Blue Queen ขี่โดยเจ้าชาย Daeron Targaryen เป็นมังกรเพศเมีย เกิดหลังจากสงครามการพิชิต ตายลง
ในช่วงสงคราม Dance of the Dragons ปี 130AC.
- Tyraxes ขี่โดยเจ้าชาย Joffrey Velaryon เกิดหลังจากสงครามการพิชิต ตายลงในปี 130AC ในช่วงการจลาจลที่เมืองหลวง King's Landing
- Vermax ขี่โดยเจ้าชาย Jacaerys Velaryon เกิดหลังจากสงครามการพิชิต ตายลงในปี 130AC
- Vermithor เป็นที่รู้จักกันในอีกนามว่า Bronze Fury ขี่โดยกษัตริย์ Jaehaerys I Targaryen และต่อมาโดย Hugh Hammer เกิดหลังจาก
สงครามการพิชิต ตายลงในปี 130AC ในช่วงสงคราม Dance of the Dragons ที่ Tumbleton
Daenerys Targaryen's Dragons
Spoil
Drogon
Drogon เป็นหนึ่งในมังกรที่เกิดในที่ราบ Dothraki sea ผู้ควบคุมคือ Daenerys Targaryen มันถูกตั้งชื่อตามสามีของ Dany ที่เสียชีวิตไป หรือ Drogo
Drogon ถูกเชื่อว่าเป็นมังกร Balerion ที่กลับชาติมาเกิด แต่ Daenerys ตัดสินใจที่จะตั้งชื่อใหม่สำหรับชีวิตใหม่ของมัน Drogon เป็นมังกรที่ตัวใหญ่ที่สุดและก้าวร้าวที่สุดในบรรดามังกรสามตัวของ Dany ทำให้เธอมีปัญหาในการควบคุมมัน
ผิวของ Drogon มีสีดำ เขาและอกของมันมีสีแดงเหมือนเลือด และดวงตาของมันก็เหมือนไฟสีแดงที่คุกรุ่น เปลวเพลิงของมันมีสีดำพร้อมกับสีแดงที่สามารถปล่อยได้ไกลถึง 30 ฟุต ปีกของมันกระพือมีเสียงเหมือนกับฟ้าร้อง เลือดของมันมีสีดำ
ในท้ายเล่ม 5 ปีกของ Drogon สามารถยืดออกได้ถึง 20 ฟุตจากจุดปลายสุด และมีสีดำเหมือนกับแร่เจ็ต
(Daenerys and her dragon, Drogon, in the Daznak's Pit)
Rhaegal
Rhaegal เป็นหนึ่งในมังกรที่เกิดในที่ราบ Dothraki sea ผู้ควบคุมคือ Daenerys Targaryen มันถูกตั้งชื่อตามพี่ชายของ Dany ที่เสียชีวิตไป หรือ เจ้าชาย Rhaegar Targaryen
Rhaegal มีผิวสีเขียวและสีทองดแดง ส่วนผิวที่เป็นสีเขียวมีสีเขียวเข้มที่เหมือนกับมอสในป่าลึกยามอัสดง และส่องประกายเหมือนสีเขียวหยก ฟันและเล็บมีสีดำ ตาของมันมีสีทองแดงซึ่งมันวาวกว่าโล่ที่ถูกขัดสีมาอย่างดี ไฟของมันมีสีส้ม-เหลือง
Viserion
Viserion เป็นหนึ่งในมังกรที่เกิดในที่ราบ Dothraki sea ผู้ควบคุมคือ Daenerys Targaryen มันถูกตั้งชื่อตามพี่ชายของ Dany ที่เสียชีวิตไป หรือ เจ้าชาย Viserys Targaryen
ผิวของมันตามตัวส่วนใหญ่เป็นสีครีม แต่เขา กระดูกตรงปีก และอกเป็นสีทอง ฟันของมันส่องประกอยเป็นสีดำ ตาของมันเป็นเหมือนทองคำเปลวและไฟของมันเป็นสีทองซีดโดยลำของเปลวเพลิงเป็นสีแดงกับส้ม Viserys มีเสียงคำรามที่สามารถร้องจนทำให้พวกสิงโตนับร้อยวิ่งหนีได้ แม้ว่าตัวมันจะมีสีครีม แต่มันมักถูกเรียกว่าเป็นมังกรขาว โดยมันจำชื่อของตัวเองได้
Dragon Egg
Spoil
ไข่มังกร (dragon egg) เป็นไข่ที่มังกรเป็นคนวางไข่เพื่อสืบดำรงเชื้อสายพันธุ์ของพวกมัน มังกรสามารถวางไข่ได้อย่างน้อยที่สุด 5 ใบ ไม่ว่าไข่จะต้องถูกผสมพันธุ์โดยมังกรเพศผู้หรือไม่ ก็ยังไม่มีใครทราบกัน มังกรอาจจะฟักไข่ได้เอง ชาว Targaryen อาจรู้สึกถึงความร้อนจากไข่มังกร แต่คนทั่วไปก็อาจจะรู้สึกถึงเพียงความเย็นเท่านั้น
ไข่มังกรมีหลากหลายสี ซึ่งสังเกตได้จาดสีของเปลือกไข่มังกรของ Daenerys และสีเหล่านี้ก็บ่งชี้ถึงสีผิวของตัวมังกรที่อยู่ภายใน
ไข่มังกรที่กลายเป็นฟอสซิลคุ้มค่าแก่การเสี่ยงโชคชะตา ก่อนที่จะจุดไฟเผาศพของ Drogo Ser Jorah บอก Dany ว่าหนึ่งในไข่มังกรของเธออาจสามารถซื้อเรือเพื่อพาเธอกลับไปยังเมืองอิสระได้ และถ้าขายทิ้งทั้งสามใบ เธอก็อาจกลายเป็นสตรีที่ร่ำรวยไปเลยก็ได้
มังกรของพวก Targaryen ตัวสุดท้ายวางไข่ออกมา 5 ใบ แต่ไม่มีใครทราบถึงไข่มังกรทั้งห้าใบนั้นว่าเป็นอย่างไร และก็ไม่มีใครทราบเลยว่ายังมีไข่มังกรหลงเหลืออยู่ในซากปรักหักพังของดินแดน Valyria ที่มีควันพวยพุ่งหรือเปล่า
Attempts to hatch dragon's eggs
หลังจากการสูญพันธุ์ของมังกร ราชวงศ์ Targaryen ก็พยายามหลายต่อหลายครั้งในการฟักไข่มังกรที่เหลืออยู่ Baelor I Targaryen พยายามสวดอ้อนวอนเพื่อฟักไข่ออกมา ชาว Targaryen คนอื่นๆก็แสวงหาวิธีการฟักไข่ด้วยเวทมนต์ สิ่งที่ได้รับการตอบแทนกลับคืนมาก็คือ เรื่องขบขันเอย โศกนาฏกรรมเอย ความตายเอย ภัยพิบัติเอย และความอับสูเอย มีเพียง Daenerys Targaryen เท่านั้นที่สามารถฟักไข่มังกรทั้งสามใบได้สำเร็จหลังจากการตายของมังกรตัวสุดท้ายในรัชสมัยของกษัตริย์ Aegon III Targaryen
กษัตริย์ Aegon V Targaryen (Egg) พยายามฟักไข่มังกรหลายต่อหลายครั้งด้วยการเชิญนักเวทย์ หมอผีมาทำพิธีฟักไข่ โดยใช้ wildfire เป็นตัวกระตุ้นในการฟักไข่มังกร แต่ผลสุดท้ายก็ได้ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมต่อทั้งกษัตริย์และลูกๆของพวกเขา นั่นคือ พระราชวัง Summerhall ที่พวกเขาพำนักอยู่ เกิดลุกไหม้เผาวอดวายทั้งตัววังจนเป็นจุล
(Tragedy at Summerhall, caused the death of King Aegon V Targaryen and his sons)
Daenerys' dragon eggs
Daenerys Targaryen ได้รับไข่มังกรฟอสซิลจำนวนสามใบจาก Illyrio Mpatis เป็นของขวัญวันแต่งงาน Illyrio บอกว่าไข่มังกรทั้งสามใบ เขาได้มาจากดินแดนเงาเหนือเมือง Asshai แต่ด้วยระยะเวลาที่ไข่ถูกฟักออกมานานเกินไปทำให้พวกมันกลายสภาพเป็นหิน
แต่ข้อเท็จจริงสำคัญๆหลายประการเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไข่มังกรยังไม่มีใครทราบเลย
1. Illyrio ไปได้ไข่มาจากที่ไหนและอย่างไร
2. เขามีไข่เก็ยเอาไว้อีกหรือเปล่าหรือสามารถหาเพิ่มได้อีกหรือเปล่า
3. มีใครเคยพยายามฟักไข่ก่อน Dany หรือเปล่า
4. ไข่ทั้งสามใบมาจากแหล่งเดียวกันหรือเปล่า
ไข่มังกรของ Dany ทั้งใหย๋และมีความงดงามมากที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา พวกมันอุดมไปด้วยสีสันและเดิมทีเธอเคยคิดว่าไข่เหล่านี้ถูกคลุมไปด้วยอัญมณีเลยด้วยซ้ำ และไข่มังกรก็มีขนาดใหญ่จนต้องถือสองมือ
เมื่อ Dany ยกไข่ใบนึงขึ้นมา เธอคิดว่ามันจะต้องทำมาจากเครื่องลายครามชั้นดีหรือเครื่องเคลือบอันประณีต แต่ไข่มันหนักกว่าที่คิด ราวกับว่าไข่ทั้งใบคือหิน ผิวของเปลือกไข่ ไข่มันส่องประกายเหมือนกับโลหะที่ถูกขัดมาอย่างดีและกระทบกับแสงตะวัน
ไข่มีสีสันที่งดงาม ไข่ใบแรกมีสีเขียวเข้ม มีจุดเงาสีทองแดงแว้บไปมาตามแต่สายตาของเธอที่ขยับมองมันไปมา อีกใบมีสีครีมและมีริ้วลายเป็นสีทอง ใบสุดท้ายมีสีดำราวกับท้องทะเลยามเที่ยงคืน แต่ตามผิวของไข่ก็มีระลอกและมีเส้นที่บิดหมุนเป็นสีแดงสด
(Daenerys Targaryen places her dragon eggs on Drogo's funeral pyre)
The Failure of Hatching Dragon Eggs
ในรัชสมัยของกษัตริย์วิกลจริต Aerys Ii Targaryen เขาพยายามฟักไข่มังกรที่ถูกพบอยู่ใต้ดินลึกลงไปของปราสาท Dragonstone ไข่ที่ถูกพบบางส่วนมีความเก่ามาก พวกมันกลายเป็นหินไปแล้ว และความพยายามในการฟักไข่ของเขาก็สูญเปล่า
(The Mad King on the Iron Throne)
ก็หมดลงเพียงเท่านี้แล้วครับ คิดว่ากระทู้มังกรน่าจะสมบูรณ์แบบสุดๆแล้วแหละ คิดว่าเพื่อนๆน่าจะชอบกันนะครับ
จริงๆสงครามกลางเมือง Dance of the Dragons เป็นอะไรที่โคดสนุกและมันที่สุดเลย หลายๆเหตุการณ์มันกว่าเหตุการณ์ปัจจุบันเลยด้วยซ้ำ
แต่เสียดายที่เพื่อนแทบไม่ค่อยรู้จักกัน ถ้าเรื่องนี้แพร่หลายกว่านี้ ผมก็อาจจะแปลให้อ่านแล้วนะ เสียดาย แต่เพื่อนๆที่สนใจก็หาโหลดอ่านไฟล์ที่ชื่อว่า The Rogue Knight กับ Princess and the Queen (Dangerous Women) ได้ครับ เป็นนวนิยาย side story ของก่อนสงครามกับสงครามที่เกิดขึ้นจนจบ เป็นผลงานที่ลุงมาร์ตินเคยเขียนไว้นานแล้ว
และครั้งหน้าก็มาเจอกันกับกระทู้สงครามห้ากษัตริย์ตอนจบ (War of the Five Kings) กันได้นะครับ ผมจะลงจนจบเล่ม 5 เลย และเนื้อหาจะอ้างอิงตามหนังสือทั้งหมด ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ สวัสดีครับ
CREDIT