มีเรื่องที่รับความรู้จากงานสัมมนา เลยขอนำมาแบ่งปันกัน

เรื่องมีอยู่ว่า ในช่วงหลายปีมานี้ มีหลายคนได้ร้องเรียนว่าที่ดินที่ตัวเองเป็นเจ้าของ มีโฉนดที่ดิน
ทั้งที่ได้มาโดยการซื้อบ้าง รับมรดกจากบรรพบุรุษบ้าง ไม่สามารถแบ่งแยกที่ดินได้
แต่สามารถทำการซื้อขายได้ตามปกตินะ

ทีนี้ ผู้บรรยายก็เล่าว่า ปัจจุบันเนี่ยภาครัฐมีความพยายามที่จะให้ทุกหน่วยงานใช้แผนที่ฉบับเดียวกัน
เนื่องจากฉบับปัจจุบันเนี่ย มีพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลของรัฐมากถึง 500 ล้านไร่
ทั้งที่พื้นที่ดินประเทศไทยมีเพียง 320 ล้านไร่ นั่นหมายความว่ามีที่ดินที่ทับซ้อนกันอีกจำนวนมาก

โดยเมื่อมีการรวบรวมข้อมูลเพื่อที่จะทำแผนที่ฉบับเดียวแล้วเนี่ย จากการตรวจสอบเบื้องต้น
ย้ำว่าเบื้องต้นนะ พบว่ามีพื้นที่ที่ประชาชนครอบครอง และมีการออกเอกสารสิทธิ์ ทั้งโฉนดที่ดิน น.ส.3
อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าไม้ถาวร และอื่นๆเนี่ย มากถึงหลักหลายล้านไร่ คิดเป็นแปลงเบื้องต้นก็หลายแสนแปลง หรืออาจพึ่งสูงถึงล้านแปลง (แต่ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าออกโดยชอบหรือไม่)

ตอนนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็พอจะรู้ข้อมูลในส่วนนี้บ้าง เพราะตรวจสอบแล้วว่ามันอยู่ในเขตป่าไม้
ทำให้ไม่สามารถแบ่งแยกให้ได้ และแนะนำให้เจ้าของที่ดินยกเลิกเรื่อง ไม่อย่างงั้น จะเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ หรือโฉนดที่ดินนั้น (กรณีที่ออกเอกสารสิทธิ์ภายหลังประกาศเขตป่านะ)

สรุปคือ เป็นโฉนดที่ดินที่อยู่ในเขตป่าไม้ ถ้าตรวจสอบแล้วออกโดยไม่ชอบ ก็แบ่งแยกไม่ได้ แต่ซื้อขายได้ แต่ก็อาจจะจำนองไม่ได้ เพราะธนาคารบางแห่งมีนโยบายไม่รับที่ดินประเภทนี้

ถือว่าเป็นปัญหาใต้พรมที่เริ่มซุกไม่ค่อยอยู่แล้ว รอวันที่จะปะทุอย่างเดียว วันไหนแค่นั้นแหละ

เหอๆ

ตัวอย่าง ที่เห็นว่ามีวัด มีโรงเรียน ในพื้นที่สีแดงๆลายจุด เขตป่าไม้ทั้งนั้นนะนั่น
(แต่หลายพื้นที่ก็ยกให้ สปก.ดูแลแล้ว)

ผมว่าฝั่งเหนือน่าจะเยอะนะ เห็นประกาศขายเป็นที่ดินนส.3 แต่ราคาถูกแปลกๆเหมือนกัน ดูจากแผนที่แล้วก็อยู่ใกล้กับเขตอุทยาน ไอ้ที่ดินอยู่เชิงเขา บนภูนี่ผมว่าต้องสงสัยเยอะ ซื้อมาจะมีปัญหาทีหลังรึเปล่าไม่รู้

หลายพื้นที่เป็นที่ราบปกติเลยครับ มีตลาด มีเทศบาลด้วยครับ แต่เขาบอกว่าเป็นเขตป่า

ที่ดินในเขตป่า ยังไงธนาคารก็ไม่รับจำนองแล้วครับ

ใครรับก็ซวยไปครับ วันนึงโดนอายัด/เรียกคืนมา เหลือแต่หนี้ให้ตามเลยครับ

ที่เขากระโดง บรร นี่ก็มหากาพนะครับ

เรื่องนี้ผมว่าผิดกันหลายฝ่ายเลยครับ บางทีตกลงกันได้ แต่ผิดกฎหมาย

พูดถึงที่ดินของรัฐ ป่าผืนเดียวกัน
-ป่าสงวนแห่งชาติฯ(กรมป่าไม้)
-ป่าไม้ถาวรฯ(กรมพัฒนาที่ดิน)
-ปฏิรูปที่ดินฯ(สปก.)
-ที่เอกชนที่ในเขตป่า
อื่นๆ ที่ราชพัสดุ ที่สาธารณะประโยชน์ แหล่งน้ำ/ถนน ที่อยู่ในความดูแลของรัฐ ขอบเขตอำนาจหน้าที่การดูแลก็ซ้อมทับกันไปอย่างงั้นแหละ ใครจะอยากลดขอบเขตอำนาจตัวเองกัน 555

ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ในพื้นที่เดียวกันทั้งหมด มันจะไม่เยอะได้ยังไง

แล้วเรื่องแผนที่ฉบับเดียว(onemap)ได้ยินมาตั้งนาน(น่าจะปี56-57)ยังไม่คลอดเลย คิดว่าใต้พรมมันเยอะ ถึงจะออกมาแล้วหน่วยงานของรัฐ/ประชาชนจะให้การยอมรับแค่ใหน

มาถึงเอกสารสิทธิ์ที่อยู่ในเขตป่า ถ้าจะทำจริงๆมันต้องดันขึ้นเป็นวาระแห่งชาติไปเลย(กำจัดผักตบยังทำได้แต่ก็แก้ปัญหาไม่ได้หรอก 555) เขตป่า/ที่สาธารณะประโยชน์/เขตอนุรักษ์ต่างๆ ที่รัฐประกาศก่อน/หลังจากที่ประชานชนเขาใช้พื้นที่แล้ว สุดท้ายมันต้องค่อยๆแก้กฏหมายบางตัวเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้และลดการรุกรานพื้นที่ป่าให้มาขึ้นในอนาคตได้ แล้วใครจะทำ...

พูดถึงเรื่องผักตบ ผมเห็นเป็นประเด็นสำคัญของหน่วยงานท่านเลยหรือเปล่าครับ

ว่างๆก็ไปดึงขึ้นจากน้ำ ถ่ายรูปทำข่าว/ส่งรายงาน

มันก็คงระบบเน่าแต่แรก มันถึงออกโฉนดทับซ้อน ให้กันตั้งแต่แรก

ทีนี้ถ้าอีกหน่อยคนรู้กันมากขึ้นว่า โฉนด พื้นที่ พวกนี้ เสี่ยงเพราะ ธ ไม่รับจำนอง

มูลค่าก้คงจะถูกกว่าที่ดินทั่วไปเพราะใครมันจะไปอยากซื้อ

อีกหน่อยโดนเรียกคืน ก้คงเคลียง่ายกว่า พื้นที่ทั่วๆไป

ขนาดประยุทธ์ที่เป็นนายกจากรัฐประหารยังทำไม่ได้ ก็ไม่มีวันทำได้แล้วครับ
อดีตป่า ที่รัฐไม่กล้าฟ้องร้องชาวบ้านบุกรุก จนชาวบ้านทำกินมา 40-50 ปี จนมันกลายเป็นของตัวเองไปแล้ว

บางทีก็ทำเป็น สปก. เพราะยังถือว่าเป็นของรัฐ แต่ถ้าเจ้าของที่ดินไม่ยอมเอา สปก.
ก็เป็นเหมือน อำเภอสอยดาว ที่ลุกมาประท้วง รัฐก็ทำอะไรไม่ได้ มันก็คาราคาซังมาจนปัจจุบันนี้แหละ

แล้วที่สำคัญที่สุด หน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบคือ กรมที่ดิน ที่ไม่มีรัฐบาลไหนพูดถึงการทำงานเลย
อย่างอำเภอผม ที่เคยเป็นกิ่งอำเภอ แล้วแยกมาเป็นอำเภอ เป็นเวลา 10 ปี++ แล้ว โฉนดกว่า 80% ยังเป็นเลขของอำเภอเก่าอยู่เลย ระบบพิกัดที่ดินก็ไม่สามารถเช็คจากตัวโฉนดได้ ผู้ครอบครองก็เช็คไม่ได้
ของ สปก.เช็คชื่อคนครอบครองได้ แต่ดันเช็คพิกัดไม่ได้

นี้มันปี 2022 แล้วนะ ข้อมูลทุกอย่างมันควรเป็นระบบออนไลน์ได้แล้ว เป็นหน่วยงานที่พัฒนาช้าที่สุดแล้วมั้ง

ไม่อยากจะเซดเลยครับ ล้าหลังอย่างที่บอกเลยครับ

คืองี้ครับ เขาบอกว่าพื้นที่ประกาศเขตป่า เขาใช้มาตรา 1 ต่อ 200,000
1 มิลลิเมตรในแผนที่ เท่ากับ 200 เมตร ในพื้นที่จริง มันเลยมีความคลาดเคลื่อนค่อนข้างเยอะ

เขาว่ามางี้นะครับ