พอดีมีสมาชิกตั้งกระทู้เกี่ยวกับหนังอินเดียแดง แล้วมียูสโพสว่า
เลยจะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับอินเดียแดงแบบเท่าที่รู้ให้ฟังนะครับ
ก่อนอื่นคำว่า อินเดียแดง (red indian) ในอเมริกาเค้าไม่ใช้กันแล้วเพราะเป็นคำเหยียด ในกระทู้นี้ผมขอใช้คำว่า"อินเดียน" แทนนะครับ
มาเริ่มกันเลย เริ่มจากประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์นี้ก่อน
ชาวอินเดียนโบราณคาดว่าอพยพมาจากเอเชีย มาจากแถบไซบีเรีย ผ่านอลาสก้า แล้วเข้ามาในทวีปอเมริการาวๆ 15,000 ปีก่อน
แผนที่เมื่อ 15,000-20,000 ปีก่อน แผ่นดินอเมริกาติดกับทวีปเอเชีย ยังไม่มีช่องแคบแบริ่งแบบในปัจจุบัน
ตอนนั้นอ่าวไทยก็ยังไม่ คนสามารถเดินทางเชียงใหม่ไปจนถึงเกาะชวาและฟิลิปปินส์โดยเท้าไม่เปียกน้ำเลย
ชาวอินเดียนโบราณเป็นชาติติดพันธุ์สุดท้ายที่มีการโยงย้ายถิ่นฐาน ถ้านับจากไทม์ไลน์เวลา
กลุ่มที่ 1. 60,000-70,000 ปีก่อน
มนุษย์สมัยใหม่(โฮโมเซเปี้ยน) บรรพบุรุษมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ เริ่มเดินทางออกจากแอฟริกามาตามชายฝั่งของ เยเมน,ซาอุ,อิหร่าน,อินเดีย,พม่า,ไทย,มาเลเซีย,อินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์
กลุ่มที่ 1. นี้คาดว่าเป็นบรรพบุรุษของ ชาวดาวิเดี้ยน(อินเดียผิวเข้ม) ชาวมาลายู มอญ เขมร และคนป่าในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เหล่าคนป่าต่างๆเช่น เงาะป่า ซาไก และคนป่าตามเกาะในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไม่ได้มีการผสมกับชาติพันธุ์อื่นๆ
และอากาศแถบนี้ก็คล้ายแอฟริกามาก ชนเหล่านี้จึงยังเหลืออัตลักษณ์ดั้งเดิมจากแอฟริกาอยู่
เผ่าซาไกในภาคใต้ของไทย
ชาว Sameng ในมาเลเซีย
ชนพื้นเมืองในอินโดนีเซีย
ชนพื้นเมืองในฟิลิปปินส์
กลุ่มที่2. 50,000-60,000 ปีก่อน
มนุษย์ชาติพันธุ์แบบพวกแรกที่ยังอยู่ในแอฟริกาเริ่มอพยพไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ไปออกันอยู่แถบเทือกเขาคอเคซัส และริมทะเลสาบแคสเปี้ยน
กลุ่มที่ 3. ราวๆ 40,000-45,000 ปีก่อน
พวกกลุ่มที่สองเริ่มเดินทางไปทางตะวันออกมากขึ้น
คนกลุ่มนี้จะเป็นบรรพบุรุษของชาวเอเชียกลาง ชาวจีนตอนเหนือ ขาวมองโกล ชาวเกาหลี ญี่ปุ่น ในอนาคต
กลุ่มที่ 4. ราวๆ 40,000 ปีก่อน
เป็นคนจากกลุ่มที่ 2 ที่อยู่ตามเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ข้ามทะเลไปยัง หมู่เกาะต่างๆ และ เกาะออสเตรเลีย
คนกลุ่มเหล่านี้ กลายเป็นคนพื้นเมืองตามเกาโอเชียเนีย และเป็นชนพื้นเมืองออสเตรเลีย(อะบอริจิน)
กลุ่มที่ 5. ราวๆ 25,000 ปีก่อน
คนจากกลุ่มที่สอง ที่อาศัยแถบนี้มาแล้ว 2-3 หมื่นปี สีผิวเริ่มขาว จมูกเริ่มโด่ง รูปร่างสูงใหญ่ขึ้น เนื่องจากอากาศแถบนี้ต่างจากแอฟริกามาก
พอ 25,000 ปีก่อน อากาศเริ่มอุ่นขึ้น มีบางพวกข้ามเทือกเขาคอเคซัส(ในจอร์เจียปัจจุบัน) เข้าไปในยุโรป แล้วกระจายอยู่ทั่วยุโรป
พวกนี้เป็นบรรพบุรุษของชาวยุโรปในปัจจุบัน (ที่มาของคำว่า คอเคซอย คือ พวกที่อาศัยมีถิ่นกำเนิดที่เทือกเขาคอเคซัสนี่เอง)
ส่วนพวกที่ไม่ข้ามไปก็อยู่กระจายๆแถบนี้ เป็นบรรพบุรุษของ ชาวเปอร์เซีย อาหรับ อินเดีย(ขาว) ยิว ที่เราเรียกกันว่าแขกขาวนั่นเอง
และกลุ่มสุดท้ายกลุ่มที่ 6. ของเรานั่นเอง คือชาวอินเดียนพื้นเมืองอเมริกัน เมื่อ 15,000 ปีก่อน
เป็นคนจากกลุ่ม 3. ที่อยู่แถบนี้มา 30,000 ปี พวกที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ(ไซบีเรีย) เริ่มเดินผ่านอะลาสก้าแล้วเข้าสู่อเมริกา
ชาวอินเดียนเลยถือว่าเป็นมนุษย์กลุ่มสุดท้ายที่มีการโยกย้ายถิ่นฐาน(ในทางมนุษยวิทยา) เมื่อ 15,000 ปีก่อน
แต่มีอีกทฤษฎีหนึ่งว่า อินเดียนในอเมริกาเหนือมาทางอลาสก้าชัวร์ แต่ในอเมริกาใต้น่าจะมาจากทางทะเล
เนื่องจากอัตลักษณ์ DNA คล้ายชาวโพลินีเซีย(ชนพื้นเมืองตามหมู่เกาะแปซิฟิคใต้) มากกว่า ประเด็นนี้ยังถกเถียงในเชิงวิชาการกันอยู่
โห อารัมภบทมาซะยาว พึ่งจะถึงชาวอินเดียนในทวีปอเมริกาเอง
โลกเราเมื่อ 15,000 ปีก่อนโลกเรายังอยู่ในยุคหิน(กลาง)กันอยู่ มนุษย์ยังกระจายๆกันอยู่ทั่วโลก ยกเว้นทวีปอเมริกา จนกลุ่มมนุษย์ที่มาขากไซบีเรียเข้ามา
จากนั้นอินเดียนโบราณก็ขาดการติดต่อจากมนุษย์กลุ่มอื่นๆ เพราะน้ำแข็งเริ่มละลาย ทางที่เคยเดินผ่านมาก็กลายเป็นทะเล
แล้วราวๆ 10,000 ปีก่อน มนุษย์เริ่มเข้าสู่ยุคหินใหม่ เริ่มมีการอยู่เป็นที่แล้วเริ่มอยู่กันเป็นเมืองราวๆ 6-7 พันปีก่อน
ส่วนในทวีปอเมริกาที่ชาวอินเดียนโบราณเข้าไปอยู่นั้น ไม่มีการบันทึกอารยธรรมว่าเป็นมายังไง มีพัฒนาการอย่างไร
จนปี ค.ศ.1492 ที่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสล่องเรือไปพบ แล้วเจอคนพื้นเมือง ยังคิดว่าเป็นเอเชีย คนพื้นเมืองที่เจอก็นึกว่าเป็นคนอินเดีย
ฝรั่งสมัยนั้นเลยเรียกว่า อินเดียน (คนอินเดีย) มาตลอดจนถึงปัจจุบัน ทั้งๆที่ไม่เกี่ยวอะไรกับคนอินเดียเลย
ชาวอินเดียก็ใช่ว่าจะไม่มีวัฒนธรรมอะไรเลย พวกเขามีอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่อยู่ 3 แห่ง คือ
- อาณาจักรแอซเท็ก ที่อยู่ตอนใต้ของเม็กซิโกในปัจจุบัน
- อาณาจักรอินคา ที่อยู่แถบชายทะเลแปซิฟิคใต้ ตรงกับประเทศ เอกวาดอร์ เปรู ชิลี ในปัจจุบัน
- อาณาจักรมายา แถวๆเม็กซิโก กัวเตมาลา เบลิซ ในปัจจุบัน
ซึ่งทั้ง 3 อาณาจักรโดนพิชิตโดยสเปน ช่วง ศตวรรษแรกๆที่ค้นพบทวีปอเมริกา
ก็มีสามอาณาจักรนี่ล่ะครับ มีเมืองอยู่อย่างยิ่งใหญ่ ส่วนอินเดียนเผ่าอื่นๆอยู่แบบกระจายๆกันไปทั่วทวีป
ในอเมริกาเหนือ ชาวอินเดียจะอยู่กระจายๆกันไปทั่วพื้นที่ จะอยู่เป็นหลักแหล่งก็แถบชายฝั่งตะวันออกที่ติดมหาสมุทรแอตแลนติก
ส่วนที่เข้าไปในทวีป ตอนกลาง และตะวันตก จะอยู่แบบเร่ร่อนย้ายถิ่นตามสัตว์ป่าที่ล่าเป็นอาหาร
ถ้าจะมองภาพรวมตอนนั้น อินเดียในอเมริกากลางและใต้ที่มีบ้านเมือง เป็นเหมือนประเทศจีนที่มีอารยธรรม
ส่วนอินเดียในอเมริกาเหนือเหมือนพวกมองโกล ที่ไม่มีบ้านเมือง ย้ายถิ่นฐานตามฤดูกาล
การรุกรานของชาวยุโรป เราจะคุ้นๆกับหนังคาวบอยตะวันตก แล้วคงพอรู้กันว่าพวกอเมริกาล้างบางอินเดียนกันขนาดไหน
แต่ยังเทียบไม่ได้กับสเปนครับ ของอเมริกันล้างเป็นแค่เผ่า คนตายระดับร้อยระดับพัน
แต่สเปนนั้นลางบางระดับล้านคนครับ เช่น
- สเปนล้างบางอินคาปี 1533-1572 ชาวอินคาตายมากกว่า 8,400,000 คน
- สเปนล้างบางชาวแอซเท็ก ปี 1519-1632 ชาวแอซเท็กตายมากกว่า 2,300,000 คน
- สเปนกับมายาปี 1519-1595 ฆ่าชาวมายาไปมากกว่า 1,460,000 คน
โดยเฉพาะเมืองเม็กซิโกซิตี้นั่น เคยเป็นเมืองหลวงของแอซเท็กมาก่อน หลังจากพิชิตได้ สเปนก็สร้างเมืองใหญ่ทับเลย
สรุป ชาวอินเดียตายเพราะสเปนฆ่าเพื่อแย่งพื้นที่ตาย เกิน 12 ล้านคน
ซึ่งในยุคนั้นประการกรทั้งโลกมีแค่ 554 ล้านคน ในปี 1600
บ้าไปแล้ว คนทั้งโลกมี 500 กว่าล้าน สเปนฆ่าอินเดียนไป 10 กว่าล้าน
(ในปี 1600 สยามตอนนั้นหากรวมลานนาด้วย มีประชากรอยู่แค่ 2,236,000 คนเอง)
(สเปนมีประชากรตอนนั้น 7 ล้านคน)
จบเรื่องอินเดียนในอเมริกากลาง-ใต้ มาเข้าเรื่องอินเดียนในอเมริกาเหนือ
ในสหรัฐนั้นแรกๆไม่มีชาวยุโรปเข้ามาตั้งรกราก ในปีที่โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกาในปี 1492 นั้น
กว่าจะมีเมืองแรกที่ตั้งถิ่นฐานในสหรัฐก็ปี 1565 คืออีก 72 ปีต่อมา คือเมือง เซ็นส์ ออกัสติน ในรัฐฟลอริด้า
แต่ตั้งถิ่นฐานโดยชาวสเปนตอนนั้นยังเป็นอาณานิคมของสเปน ไม่มีการบันทึกว่าพบชาวอินเดียนหรือไม่
จนอีก 42 ปีต่อมา ชาวอังกฤษได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในสหรัฐในดินแดนที่เรียกว่าว่า เวอร์จิเนีย ที่ตั้งเพื่อเป็นเกียรติให้ ควีนอลิซาเบธ(เวอร์จิ้นควีน)
แล้วตั้งชื่อเมืองว่า เจมส์ทาวน์ ตามชื่อกษัตริย์อังกฤษตอนนั้น พระเจ้าเจมส์ที่ 1
แล้วชาวอังกฤษผู้ตั้งรกรากใหม่ได้เจอชาวอินเดียน แรกๆก็เป็นศัตรูกัน แต่ภายหลังก็ปรองดอง
จอห์น รอล์ฟ หนึ่งในผู็บุกเบิกที่เข้ามาทำไร่ยาสูบ ได้แต่งงานกับลูกสาวหัวหน้าเผ่าอินเดียนในพื้นที่
ลูกสาวหัวหน้าเผ่าชื่อ โพคาฮอนทัส ใช่ครับ โพคาฮอนทัส ที่ดีสนีย์ทำเป็นหนังอนิเมชั่นออกมา
เรื่องจริงนั้น โพคาฮอนทัส แต่งงานกับ จอห์น รอล์ฟ ที่ประสบความสำเร็จในการปลูกต้นยาสูบแล้วร่ำรวย
อินเดียนในสหรัฐไม่เหมือนในเม็กซิโกนะครับ คืออยู่กระจาย เผ่าใครเผ่ามัน ไม่ได้อยู่เป็นเมือง ต่างคนต่างอยู่ มีรบราฆ่าฟันกันเองบ้าง
หลังจาก จอห์น รอล์ฟร่ำรวย แถมมีเมียสวยแล้วดังในอังกฤษอย่าง โพคาฮอนทัส ทำให้คนอังกฤษอยากมาแสวงหาความร่ำรวยในโลกใหม่บ้าง
จากนั้นคนอังกฤษ(รวมทั้งไอริช สก๊อต) ก็ทยอยเข้ามาตั้งรกรากในสหรัฐ
จนปี
1620 เรือเมล์ฟาวเวอร์จากอังกฤษก็มาส่งผู้อพยพชาวอังกฤษขึ้นฝั่งทางตอนเหนือของเวอร์จิเนียขึ้นไป ที่ปัจจุบันคือรัฐแมสซาชูเซตส์ ห่างจากบอสตันในปัจจุบันราวๆ 60 กม.
ผู้อพยพชุดนี้มาเพื่อแสวงหาโอกาสในการนับถือศาสนาเพราะช่วงนั้นอังกฤษแตกเป็นสองนิกายคือ คาธอลิคและเชิร์ชออฟอิงแลนด์
พวกเขานั้นนับถือนิกายแบ๊ปทีสต์ และพวกนี้ไม่ใช่ชาวไร่ที่เก่ง ไม่ใช่นักล่าสัตว์ที่เก่ง เป็นคนคนมีศรัทธาในสิ่งที่เชื่อ
ฤดูหนาวแรก พวกเขาอดอยากและหนาวตายไปกว่าครึ่ง เพราะการเพาะปลูกปีแรกไม่ได้ผล ดินที่นี่ไม่เหมือนที่อังกฤษ
ปีต่อมาผู้รอดตายได้เจอชาวอินเดียนเข้ามาทักเป็นภาษายุโรป สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ตั้งรกราก จนได้รู้ความจริงว่า
เขาเคยโดนลักพาตัวโดยชาวสเปนให้ไปเป็นทาสที่มาลาก้าสเปน จนได้รับความช่วยเหลือจากชาวอังกฤษและหัดพูดภาษาอังกฤษ
หลังจากนั้นทั้งผู้ตั้งรกรากกับชาวอินเดียนก็เป็นมิตรต่อกัน ชาวอินเดียนสอนวิธีเพาะปลูกในพื้นที่ให้ ส่วนชาวอังกฤษก็ให้สิ่งของอาวุธแก่ชาวอินเดียน
จนฤดูเก็บเกี่ยวครั้งแรก พืชผลงอกงามมาก ชาวอังกฤษไม่ต้องอดตายในฤดูหนาวอีกแล้ว หลังจากเก็บเกี่ยวได้มีการฉลอง
การฉลองครั้งนั้น เป็นที่มาของ วัน ขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ที่มีเฉพาะฝรั่งชาวสหรัฐและแคนาดาเท่านั้นที่ฉลอง ที่ยุโรปไม่มีการฉลอง
(เหมือนที่เราดูหนังฮอลิวูดล่ะ วันขอบคุณพระเจ้ากินไก่งวง)
นี่เป็นความสัมพันธ์อันดีของชาวอังกฤษกับอินเดียน อ่อ เมืองนี้ชื่อเมือง พลีมัธ ตั้งตามเมืองในอังกฤษที่ผู้ตั้งรกรากจากมา
แล้ว ชาวสหรัฐราว 10% (30 ล้านคน) สืบเชื้อสายมาจากผู้ตั้งรกรากจากเมืองพลีมัธนี่เอง (เริ่มต้นร้อยกว่าคน)
ยุคนี้ยังเป็นช่วงปี 1600 นะครับ ยังเป็นอาณานิคมอังกฤษ กว่าจะตั้งประเทศแบบในปัจจุบันก็ปี 1776 โน่นเลยครับ
อีกไม่กี่ปีต่อมา ในปี
1624 ชาวดัตช์ ร่องเรือจากฮอลแลนด์มาโลกใหม่ ล่องจากทะเลเข้าแม่น้ำ เจอเกาะที่อยู่กลางระหว่างแม่น้ำสองสายมาบรรจบกัน
ก็เลยขึ้นฝั่งแล้วตั้งรกราก ทำจุดนี้เป็นท่าเรือ ตั้งชื่อตามเมืองท่าในบ้านเกิดว่า "นิว อัมเตอร์ดัม"
สร้างท่าเรือ สร้างป้อม ตั้งเป็นทีทำการของ บ.ดัตช์เวสต์อินเดีย และเป็นอาณานิคมของดัตช์ในโลกใหม่
แล้วอีกสองปีต่อมา ผู้ว่าการชาวดัตช์ ปีเตอร์ มินูอิต ได้ขอซื้อเกาะนี้ทั้งเกาะให้ถูกต้องจาก อินเดียนเจ้าของพื้นที่
เกาะนี้ชาวอินเดียนเรียกว่า มันฮาโต ซื้อเพราะต้องการครอบครองทั้งเกาะและให้ชาวอินเดียนย้ายออก
ชาวดัตช์มอบเครื่องประดับ ที่มีมูลค่าแค่ 24 เหรียญให้หัวหน้าเผ่า ถือเป็นการซื้อขายกัน
เกาะนี้ชาวอินเดียนเรียกว่า มันฮาโท ซึ่งต่อมาเรียกว่า เกาะแมนฮัตตัน
ใช่แล้วครับ ที่นี่คือเกาะแมนฮัตตัน นิวยอร์ค ซึ่งแต่เดิมชื่อว่า นิวอัมเตอร์ดัม
แต่มันไม่ได้จบสวยที่การซื้อขาย ซึ่งในปี 1641 ชาวอินเดียนมีการเรียกร้องเกาะคืน แต่ชาวดัตช์ไม่ยอมเกิดสงครามกัน
ระหว่างชาวอาณานิคมดัตช์กับอินเดียน ผลจบลงที่ชาวอินเดียนแพ้และตายประมาณ 1,000 คน
จากนั้นบริเวณนี้ก็ไม่มีชาวอินเดียนอีกเลย ในปี 1664 มีประชากรชาวยุโรปอยู่ประมาณ 9,000 คนอาศัยอยู่
และปีนั้นเองที่อังกฤษได้ยึดดินแดนแถบนี้เป็นของตัวเอง แล้วตั้งชื่อใหม่เป็น นิวยอร์ค
(เพราะสงครามอังกฤษ-ดัตช์ในยุโรป ที่อังกฤษชนะ)
จากนั้นจนถึงปี 1700 ชาวอังกฤษก็มาตั้งรกรากที่โลกใหม่เยอะขึ้น มีเมืองใหม่ๆของคนอังกฤษเกิดมากในช่วงนี้
แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ติดทะเลด้านมหาสมุทรแอตแลนติคตามภาพ
ที่เล่ามายาวๆนี่ยังไม่เป็นประเทศสหรัฐอเมริกาเลยนะครับ ยังไม่มีภาพคาวบอยกับอินเดียแดงแบบในหนังเลย ยังอีกเกือบสองร้อยปีกว่าจะถึงยุคนั้น
จากนั้นอังกฤษก็มี 13 อาณานิคมอังกฤษในอเมริกา
พื้นที่ที่เหลือส่วนใหญ่ก็จะเป็นของสเปนและฝรั่งเศส แล้วพื้นที่ที่เหลือนี่ไร้การสำรวจยังเป็นอะไรที่ลึกลับกันอยู่
ช่วงเวลานี้ชาวอินเดียนพื้นเมืองที่เป็นเจ้าของพื้นที่เดิมใน 13 อาณานิคมที่ตั้งใหม่ บ้างก็ย้ายเข้าไปลึกในพื้นทวีป
บ้างก็อาศัยอยู่บริเวณเดิมแต่มีการขายที่ให้ผู้มาใหม่ แลกกับสิ่งของเครื่องใช้ที่ไม่เคยเจอ
และ บ้างก็ตายเพราะโรคที่ชาวยุโรปเอามา คือโรคติดต่อคนยุโรปมีภูมิคุ้มกันกันอยู่แล้ว เพราะยุโรปผ่านช่วงโรคระบาดมาเยอะ
พวกที่รอดๆนี่ก็ถ่ายทอดยีนส์คุ้มกันสู้รุ่นลูกรุ่นหลาน แต่กับชาวอินเดียนที่ไม่เคยเจอเชื้อโรคสายพันธุ์จากยุโรปเลย ก็ล้มตายเพราะโรคระบาดกันเยอะ
ยิ่งกับอเมริกากลางนี่ อินเดียนบางเผ่าตายถึง 90% ของจำนวนประชากรเลย
สงครามใหญ่ครั้งแรกของอินเดียน
ช่วงกลางยุ 1700 ฝรั่งเศสและอังกฤษมีความขัดแย้งกัน เป็นศัตรูกันอย่างชัดเจนทั้งในยุโรปและอาณานิคม
แล้วในปี 1754 อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ทำสงครามกันในแผ่นดินโลกใหม่ (พวกบ้าสงคราม ไปไหนก็ทำแต่สงคราม)
ตามรูปเลยครับ อาณานิคมฝรั่งเศสกับอาณานิคมอังกฤษทำสงครามกัน ฝรั่งเศสคนน้อยกว่าเลยขอความช่วยเหลือจากอนเดียนเผ่าต่างๆเช่น เผ่าชอนี่,เผ่าปอนเทียค
อังกฤษก็ไม่น้อยหน้าชวนอินเดียนเผ่าต่างๆมาเป็นพวกเช่น เผ่าเชอโรกี,เผ่ามิงโก้
และเผ่าเล็กเผ่าน้อยก็ร่วมกับทั้งสองฝ่าย ทำให้อินเดียนเริ่มมีอาวุธ จากยุคก่อนมีแค่ธนูกับค้อน ตอนนี้มีปืนแล้ว
หลังจากสงครามอินเดียนฝรั่งเศสเริ่มได้ 2 ปี ฝรั่งเศสกับอังกฤษก็ทำสงครามกันในทีอื่นๆอีกทั่วโลก ทั้งในยุโรป อินเดีย แอฟริกา ฟิลิปปินส์ ทะเลแคริเบี้ยน
เรียกว่าสงครามเจ็ดปี นักวิชาการบางคนเรียกว่า สงครามโลกครั้งที่ 0 เพราะทำสงครามกันเกือบทุกทวีป มีคู่สงครามหลายประเทศ
ประเทศที่เข้าฝ่ายกับอังกฤษก็มี ปรัสเซีย(เยอรมันเบอร์ลิน),โปรตุเกส,รัฐต่างๆในเยอรมัน
ส่วนประเทศที่เข้ากับฝ่ายฝรั่งเศสก็มี ออสเตรีย,รัสเซีย,สวีเดน,สเปนและอาณานิคม,บางรัฐของเยอรมัน,บางรัฐของอิตาลี,จักรวรรดิ์โมกุลแห่งอินเดีย
ตอนนั้นกษัติรย์ของอังกฤษคือ พระเจ้าจอร์จที่ 2 / ของฝรั่งเศสคือพระเจ้าหลุยส์ที่ 15
สงครามจบลงในปี 1763 ฝรั่งเศสแพ้ทั้งสองสงคราม ทำให้อำนาจของฝรั่งเศสอ่อนลงไปมาก เงินที่ไม่ค่อยจะมีหลังจากยุคพระเจ้าหลุนส์ที่ 14 ยิ่งน้อยลงไป
พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แพ้ครั้งนี้ ฝรั่งเศสหมดความเป็นมหาอำนาจใหญ่ในยุโรป อังกฤษกลายเป็นมหาอำนาจใหญ่สุดในตอนนั้น
นั่นคือสงครามที่ชาวยุโรปยัดเยียดให้ชาวอินเดียนเข้าร่วม ชาวอินเดียนตายมากกว่าชาวยุโรปด้วยซ้ำไป ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นตัวต้นเรื่อง
ในหนังเรื่อง The Last of the Mohicans เป็นหนังที่ถ่ายทอดยุคสงครามอินเดียนฝรั่งเศส
หนังเป็นช่วงปี 1757 ช่วงสงครามอินเดียนฝรั่งเศส ในหนังชาวอินเดียนต่างเผ่าต่างช่วยคนละฝรั่ง ฆ่ากันเอง
เป็นหนังที่รุนแรงสมจริง ผกก. ไมเคิล มานน์ ขึ้นชื่ออยู่แล้วในการทำฉากแอ็คชั่นสมจริงสมจัง เช่นเรื่อง Heat ที่ปล้นธนาคารยิงกันสนั่นเมือง
ช่วงนั้นยังใช้ปืนคาบศิลากันอยู่ คือเทดินปืนลูกปืนทางปลายกระบอก กระทุ้งๆ แล้วง้างยิง ยังไม่มีปืนแบบใช้ลูกปืนแบบในหนังคาวบอย
ยุคอาณานิคมช่วงหลังนี้ชาวอินเดียนเป็นที่ยอมรับสำหรับชาวอาณานิคมตะวันตก เรียกได้ว่าอยู่ร่วมกันได้ ไม่ถึงขนาดเจอหน้าแล้วฆ่ากัน
แต่ เค้าลางความหายนะของชาวอินเดียนเริ่มจากนั้นอีก 13 ปี ในปี 1776 ชาวอาณานิคมอเมริกาได้ประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ
นำโดย จอร์จ วอชิงตัน นายพันโทของกองทัพอาณานิคมอังกฤษในสงครามอินเดียนฝรั่งเศส ที่ตอนประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ
อังกฤษถือว่า จอร์จ วอชิงตันและพรรคพวกเป็นกบฏต่อราชบัลลังค์อังกฤษ มีโทษแขวนคอ
ทำสงครามกันอยู่ตั้งแต่ปี 1775-1783 จบสงครามอังกฤษแพ้ โดยอาณานิคมชนะจากการช่วยเหลือของฝรั่งเศสในยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16
ฝรั่งเศสช่วย13 อาณานิคมที่เคยทำสงครามกันเพราะอังกฤษยังไงก็คือศัตรู ทั้งๆที่ตอนนั้นฝรั่งเศสก็ถังแตกอยู่
เหตุการณ์ช่วงนี้มีหนังเรื่อง the patriot ซึ่งเข้ากับเหตุการณ์ช่วงนั้น
ที่ตอนแรกในสงครามอินเดียนฝรั่งเศส พระเอกเป็นวีรบรุษสงครามอยู่ฝ่ายอังกฤษ และท้ายสุดในเรื่องต้องมาเป็นศัตรูอังกฤษเพื่อครอบครัว
สงครามครั้งนี้ชาวอินเดียนก็มีส่วนร่วมอยู่บ้างแต่ไม่มากเท่าสงครามครั้งก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นแนวรับจ้างกับอินเดียนที่เกลียดอังกฤษเข้าร่วม(ไม่เป็นทางการ)
แผนที่สหรัฐหลังชนะสงครามประกาศอิสรภาพ ปี 1783
จากแผนที่จะเห็นได้ว่า สีเขียวเป็น 13 อาณานิคมเดิมที่เป็นอิสรภาพแล้ว สีเหลืองเป็นพื้นที่ใหม่ที่ยังไม่ได้สำรวจหรือครอบครอง
ซึ่งที่สีเหลืองนั้นแน่นอนว่ามีอินเดียนพื้นเมืองอยู่กระจายในพื้นที่ เมื่อคนขาวรุกรานเข้าไป อินเดียก็ต้องถอยร่นไปอยู่ที่สีชมพู(หลุยเซียน่า) ของสเปน ที่ยังไม่มีคนขาวเข้าไปอยู่
เอฟเฟ็คหลังสงคราม ฝรั่งเศสที่ถังแตกอยู่แล้ว ช่วยประเทศใหม่อย่างอเมริกาก็ไม่ได้อะไร ได้แค่สะใจที่อังกฤษแพ้
แต่ประเทศตัวเองเศรษฐกิจตกต่ำหนัก จนประชาชนเห็นอเมริกาปฏิวัติได้ คนฝรั่งเศสเลยได้แรงบันดาลใจจากนั้น
มาปฏิวัติประเทศตัวเอง ล้มล้างระบอบกษัตริย์ ตั้งสาธารณรัฐซะเลย ผลก็อย่างที่รู้ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับเมีย มารีอังตัวเนต โดยกิโยตินตัดคอ
ฝรั่งเศสเป็นสาธารณรัฐที่ 1 วุ่นวายกันอยู่หลายปี ก่อนจะมีนายทหารขึ้นครองอำนาจนาม "นโปเลียน โบนาปาร์ต"
เริ่มสงสัยมั้ยครับ ทำไมกระทูดเรื่องอินเดียน ทำไมมาถึงนโปเลียนได้เนี่ย มันคนละทวีปเลย
ที่พูดถึงนโปเลียนคือ นโปเลียน ทำสงครามชนะเกือบทั้งยุโรป ดินแดนหลุยเซียน่าของสเปนในอเมริกาก็กลายเป็นของฝรั่งเศส
แล้วฝรั่งเศสก็ขายมันให้ประเทศใหม่ซะเลย ในปี 1803 (หลังสงครามประกาศอิสระภาพอเมริกา 20 ปี)
สหรัฐจ่ายเงินตอนนั้นคือ 50 ล้านฟรังก์ให้แก่นโปเลียน (เอาเงินไปเป็นทุนทำสงครามยึดยุโรปต่อ)
และยกหนี้ที่ฝรั่งเศสเป็นหนี้กับสหรัฐอยู่ 18 ล้านฟรังก์อีกด้วย
(คิเทียบมูลค่าเงินในปัจจุบันประมาณ 2,600 ล้านยูเอสดอลล่าห์ )
(ราคาปัจจุบันยังถูกกว่าราคาสโมสรเชลซีที่เสี่ยทอดด์ซื้อต่อจากเสี่ยโรมันซะอีก)
จากแผนที่จะเห็นได้ว่าสหรัฐได้พื้นที่เพิ่มมากมาย แต่พื้นที่ที่ได้มานั้นเป็นถิ่นอาศัยของชาวอินเดียนดั้งเดิมและที่โดนผลักดันออกมาเมื่อ 40-50 ปีก่อน
พอเริ่มตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาขึ้นมา ชาวอินเดียนเริ่มอยู่ยาก เริ่มโดนกระชับพื้นที่ไปเรื่อยๆ
พอได้หลุยเซียน่ามาแล้ว แต่ยังไม่พร้อมเข้าไปอยู่ต้องสำรวจเส้นทางกันก่อน
ปธน.เจฟเฟอร์สัน เลยมอบหมายให้สองนักสำรวจเดินทางสำเร็จพื้นที่ใหม่ หาจุดเชื่อมไปสู่มหาสมุทรอีกฝรั่ง
สองนักสำรวจนั่นคือ Meriwether Lewis และ William Clark aka. Lewis and Clark Expedition
คณะสำรวจมีประมาณ 30 คน เดินทางอิลลินอยจนถึงรัฐวอชิงตัน
โดยมีคนนำทางเป็นผู้หญิงชาวอินเดียนชื่อ Sacagawea
สาวอินเดียนคนนี้ถือว่าเป็นหัวใจหลักของการสำรวจเลย จนมีการสร้างอนุสรณ์ไว้ให้
การสำรวจประสบผลสำเร็จทำให้คนขาวขยายถิ่นฐานเข้าไปอยู่ในแผ่นดินลึกเข้าไป ยิ่งเข้าไปลึกยิ่งไปเบียดเบียนที่อยู่เดิมของชาวอินเดียน
หลังสงครามกลางเมืองสหรัฐ สหรัฐเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เริ่มมีการให้ประชาชน go west กันมากขึ้น
หมายถึงบุกเบิกไปทางตะวันตกเริ่มมีชาวยุโร-อเมริกันเข้าไปตั้งถิ่นฐานลึกเข้าไปมากขึ้น เริ่มจากแถบมิดเวส ไปจนถึงแคลิฟอร์เนีย
ในรูปเป็นปี 1870 หลังสงครามกลางเมืองได้ 5 ปี
-สีแดง คือพื้นที่ที่เป็นรัฐเรียบร้อยแล้ว
- สีฟ้าอ่อน เป็นอาณาเขตที่ยังไม่ได้เป็นรัฐ
- สีเขียว กลางประเทศส่วนนั้นเป็นพื้นที่ของชาวอินเดียน(ในตอนนั้น) ที่เหลือให้อยู่แค่นั้น
ในพื้นที่ที่เขียนว่า territory นี่ล่ะที่ช่วงนั้นเป็นพื้นที่ที่มีชาวอินเดียนอาศัยอยู่ จากที่เคยอยู่เต็มประเทศ
แล้วจากปี 1870 ไปก็เริ่มสู้ยุค ตะวันตก หรือ คาวบอยที่เราคุ้นเคยในหนัง จะห่ำหั่นกันอยู่ในพื้นที่ที่ผมว่านี่ล่ะ
ชาวอินเดียนในยุคนั้นบางคนก็เข้ากับวัฒนธรรมตะวันตกอยู่ร่วมกับสังคมเมืองใหม่ได้
บางกลุ่มก็เลือกวิถีชีวิตดั้งเดิม อาศัยอยู่ในถิ่นเดิม
แต่ที่ไม่ดั้งเดิมคือ ปืนจากชาวยุโรป ม้าจากชาวยุโรป
เราอาจจะติดตาอินเดียนขี่ม้าล่าสัตว์ ยิงสู้กับทหารม้า สู้กับคาวบอย
ปืน อ่ะรู้ๆกันอยู่แล้วว่าคนอินเดียนผลิตเองไม่ได้ ต้องได้มากจากคนขาว ไม่ซื้อก็ปล้นมาล่ะ
ในหนังคาวบอยคือยุคที่ปืนมีกระสุนแบบทันสมัยแล้ว ไม่ใช่ปืนแบบกระทุ้งลำกล้องยิงแบบในสงครามนโปเลียนหรือสงครามกลางเมืองอเมริกา
ปืนแบบนี้เริ่มมีใช้นิยมใช้ปี 1870 คือหลัง ปธน.ลินคอล์นตายล่ะ (ลินคอล์นก็โดนยิงโดนปืนแบบกระทู้ดินปืนใส่ลูกทางปลายลำกล้อง)
ยุคคาวบอยในหนังไม่ได้เป็นยุคที่เก่าหรือนานมากนะเทียบประเทศไทยก็ยุค ร.5 ได้
เป็นยุคเดียวกันครับ คาร์ล เบนซ์ ผลิตรถยนต์คันแรกออกมาที่เยอรมัน
ภาพยุคคาวบอย แถบมิดเวสต์ของสหรัฐ ช่วงปี 1880 ช่วงยุคคาวบอย
เทียบกับนิวยอร์คในช่วงปีเดียวกัน
และอีกอย่างที่เป็นสัญลักษณ์ของอินเดียนคือขี่ม้า
ในทวีปอเมริกาไม่มีม้าแบบสมัยใหม่ขี่ มีแต่ม้าโบราณที่สูญพันธุ์ไปเมื่อหมื่นปีก่อน
เพราะฉะนั้นชาวอินเดียนไม่เคยเจอม้ามาก่อน ม้าเป็นสัตว์พาหนะนำเข้าจากยุโรป ชาวอินเดียนพึ่งจะมาหัดขี่ม้าหลังชาวยุโรป
ส่วนม้าป่ามัสแตง ดั้งเดิมคือม้าไอบีเรียจากสเปนที่ชาวยุโรปนำเข้ามา แล้วบางตัวก็หลุดออกไป ไม่มีเจ้าของจนกลายเป็นม้าป่าในที่สุด
ในหนังคาวบอยที่มีทหารไล่ฆ่าชาวอินเดียนนั้น ในความเป็นจริงคือการไล่ที่หรือปราบปราม
ไล่ที่คือ บางครั้งนายทุนต้องการที่ดินเพื่อปศุสัตว์ก็หาทางไล่โดยจ้างทหารนักการเมือง เพราะถูกกว่าไปซื้อที่ทั้งหมด หรืออาจะไม่ขาย
วิธีแบบนี้ก็เหมือนพวกคนเลวทั่วโลกทำกัน คือ โลกมันหมุนด้วยเงิน คนมีเงินคือมีอำนาจ สมัยก่อนกฏหมายก็เข้าไม่ถึง
แม้แต่ประเทศไทยเมื่อ50-60 ปี ยังมีนายทุนไล่ที่ชาวบ้าน ซื้อที่ชาวบ้านราคาถูก ใครไม่ขายใครไม่ไปก็เก็บ
ส่วนปราบปรามก็คือ อินเดียนก็คนเหมือนกันมีทั้งดีทั้งเลว บางพวกที่ดักปล้นคนขาวที่เดินทางผ่านจะไปตะวันตก คนพวกนี้ทางการก็ส่งทหารมาจัดการ
ในศวรรษที่ 19 ถือว่าหนักหนาสาหัสที่สุดของชาวอินเดียนในสหรัฐ ตั้งแต่ปี 1800-1899 ชาวอินเดียนสูญเสียถิ่นที่อยู่ไปมาก
เคยมีสงครามระหว่างชาวอินเดียนกับรัฐบาลสหรัฐครั้งใหญ่ชื่อ สงครามซู ในปี 1876-77
สมรภูมิอยู่ที่เขตรัฐมอนทานา ดาโกต้า ไวโอมิง ทางเหนือติดแคนาดาล่ะ
สงครามครั้งนี้ดัง โดยเฉพาะยุทการลิตเติ้ลบิ๊กฮอร์น ที่ผู้พันคัสเตอร์มีทหารแค่ 200 คน โดนอินเดียนมากกว่าพันคนล้อม และพันคัสเตอร์สู้จนตัวตายคาสนามรบ
สงครามซูมันมีรายละเอียดเยอะมาก สรุปง่ายๆ ฝ่ายสหรัฐชนะแต่ตายมากกว่า (ตาย300+ / อินเดียนตาย 265 คน)
สนใจศึกษาต่อได้ที่
https://en.wikipedia.org/wiki/Great_Sioux_War_of_1876
ยุคคาวบอยนั้นถือว่าบ้านป่าเมืองเถื่อน เพราะเมืองพึ่งจะขยายไปถึง คนขาวฆ่ากันเองก็เยอะ คนขาวฆ่าอินเดียน คนอินเดียนฆ่าคนขาว
สมัยนั้นขโมยม้าโทษที่ศาลตัดสินคือแขวนคอ แรงขนาดนั้นเลย
ฆ่าคนตายแขวนคอ ปล้นแขวนคอ ข่มขืนแขวนคอ สมัยนั้นมือกฏหมายทำงานกันไม่ไหว เลยมีพวกนักล่าค่าหัวไง
wanted dead or alive เหมือนใบสั่งตายแบบถูกกฏหมาย ถ้าดวลปืน สมัครใจกันทั้งคู่ ยิงกันตายไม่มีความผิด
หนังคาวบอยที่สะท้อนยุคนั้นได้ออกมาดีมากๆก็มีอยู่เยอะเช่น
wyatt earp 1994
หนังแสดงให้เห็นพระเอกที่เป็นผู้รักษากฏหมายสมัยนั้นเป็นยังไง
unforgiven
หนังเกี่ยวกับเมื่อผู้รักษากฏหมายเป็นตัวร้าย มือปืนรับจ้าง(แก่ๆ)เป็นตัวดี
หรือหนังที่เกี่ยวกับอินเดียนโดยตรงก็ dances with wolves
หนังเกี่ยวกับนายทหารกับการใช้ชีวิตแบบอินเดียน
หรือหนังแอ็คชั่นคอมเมดี้ maverick
ที่มีฉากให้เห็นชีวิตอินเดียนเพื่อนพระเอก (แบบอารมณ์ดี)
ในศวรรษที่ 20 ชาวอินเดียนเหมือนเป็นประชาชนชั้นสองในแผ่นดินของตัวเอง โดนเลือกปฏิบัติ ซึ่งในยุคนั้นมันก็โดนกันหมดทั้ง
- อินเดียน
- คนแอฟริกัน-อเมริกัน
- คนยิว
- คนฮีสเปนนิค
- ชาวญี่ปุ่น(สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2)
- ชาวเอเชียผิวเหลือง
แต่มีเพียงชาวอินเดียนเท่านั้นที่เป็นคนที่มาอยู่คนชาวยุโรป ส่วนพวกที่เหลือมาทีหลังเหมือนชาวยุโรป
แต่ในศตวรรษที่ 21 ดีขึ้นมาก ปัญหาความเหลื่อมล้ำ สิทธิไม่เท่าเทียมต่างๆจากคนยุคก่อน โดนสางให้ดีขึ้น
ตอนนี้ ในสหรัฐอเมริกามีประมาณ 300 เขตสงวนซึ่งบางเผ่าอาจจะมีอยู่ภายในหลายเขตสงวน โดยมี 9 เขตสงวนที่ใหญ่กว่า 5,000 กม² และ 12 เขตสงวนที่มีขนาดใหญ่กว่า 3,000 กม²
คือคนอินเดียนสามารถอยู่นอกเขตสงวนได้ ออกมาเรียนมาทำงานมาซื้อบ้านนอกเขตสงวนได้
แต่คนขาวหรือคนอื่นๆที่ไม่ใช่อินเดียนไม่สามารถเข้าไปทำอะไรได้ในพื้นที่สงวนนะ ตามชื่อล่ะ สงวนไว้สำหรับ native american เท่านั้น
ตอนนี้รัฐบาลกลางสหรัฐผ่านกฏหมายสามารถให้ในเขตสงวนเป็นคาสิโนได้เพิ่มเป็นรายได้ให้คนในชุมชน
คนอเมริกันยุคก่อนสร้างตราบาปเรื่องอินเดียนไว้เยอะ คนอเมริกันยุคนี้ต้องลบล้างภาพจำเหล่านั้นให้ได้
ปัจจุบันคนอินเดียนเป็นนักการเมืองเข้าสภากันมากขึ้น(เหมือนคนอเมริกันเชื้อชาติอื่นๆ)
อเมริกาเรียนรู้ปวศ.แล้วพร้อมที่ปรับปรุงตัว เราเคยเห็น ปธน.ผิวดำมาแล้ว
คนอินเดียนก็ได้เป็นรัฐมนตรีกิจการภายใน(กระทวงมหาดไทยของสหรัฐ) คนปัจจุบัน
เด็บ ฮาแลนด์ เชื้อสายอินเดียนจากรัฐนิวเม็กซิโก
ประวัติศาสตร์มีไว้ให้เรียนรู้ สิ่งใดคนยุคก่อนทำไม่ถูกทำไม่ได้ คนรุ่นหลังก็ศึกษาไว้แล้วเอาเป็นบทเรียนอย่าเอาอย่างที่ไม่ดี
ขอบคุณที่่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ ว่าจะไม่ยาวก็ยาวอีกจนได้ / ขอบคุณครับ ^^