ธงชัย วินิจจะกูล: ประชาชนในรัฐศักดินาใหม่ของเจ้านายเหนือหัว
ประชาไท / สัมภาษณ์ Submitted on Mon, 2021-09-13 01:27
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล และนัชชา ตันติวิทยาพิทักษ์ : สัมภาษณ์/เรียบเรียง
ธงชัย วินิจจะกูล เสนอว่ารัฐไทยปัจจุบันมีสภาพถอยหลังคล้ายกับรัฐศักดินาโบราณ เป็นเครือข่ายอุปถัมภ์ตามลำดับชั้น คุณค่าหลักของระบบนี้คือความจงรักภักดี โดยรัฐรับผิดชอบต่อเจ้านายเหนือหัว มิใช่ประชาชน ส่วนความกินดีอยู่ดีสำคัญน้อยกว่าความมั่นคงของศักดินา ประชาชนจึงทำได้แค่รอรับเมตตา
อ้างอิงจาก:
- รัฐศักดินาคือระบบมาเฟียที่พัฒนาที่สุด เป็นการปกป้องคุ้มครองคนในอาณัติ เพียงแต่เปลี่ยนอำนาจดิบให้เป็นบารมีและความกรุณา
- รัฐไทยปัจจุบันเป็นรัฐศักดินาใหม่ เจ้าขุนมูลนายเชื่อว่าตนเป็นคนดีกว่าผู้อื่นและอ้างบุญคุณจากการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม การสร้างความอยู่ดีมีสุขของประชาชนเป็นเรื่องรอง เป็นความเมตตาที่ต้องรอรับจากกษัตริย์
- ระบบศักดินาเป็นเครือข่ายระบบอุปถัมภ์แบบลำดับชั้น คุณค่าสำคัญอยู่ที่ความจงรักภักดีต่อนายเหนือหัวเป็นลำดับขึ้นไป
- รัฐศักดินาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ (Accountable) ต่อประชาชน แต่รับผิดชอบต่อเจ้านายเหนือหัว และอยู่เหนือกฎหมาย
ทั้งเครื่องด่าและการวิพากษ์วิจารณ์เดินเครื่องอย่างหนักเพื่อชี้ให้เห็นว่า การบริหารจัดการประเทศของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา มีปัญหาอย่างไร รวมถึงยื่นข้อเสนอแนะมากมาย น่าแปลกใจที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง (?) กลับนิ่งเฉย เหมือนกับว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจประชาชนหรือคะแนนเสียง
ใช่, เพราะรัฐบาลไม่จำเป็นต้องใส่ใจเสียงของประชาชน แต่ต้องพินอบพิเทาต่อเสียงของนายเหนือหัวขึ้นไปอันเป็นลักษณะของ ‘รัฐศักดินาโบราณ’
ธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน อธิบายกับ ‘ประชาไท’ ถึงลักษณะของรัฐไทยปัจจุบันที่มี “พฤติกรรมทำนองเดียวกับรัฐศักดินา” หรืออีกนัยหนึ่งคือระบบมาเฟียที่มีการพัฒนาถึงที่สุด ความอยู่ดีกินดีของประชาชนจึงมิอาจสำคัญเทียบเท่าความมั่นคงของระบบระเบียบในสังคมที่จะเอื้อให้รัฐศักดินาคงอยู่ได้
รัฐศักดินาคือระบบมาเฟียที่พัฒนาที่สุด
ธงชัยกล่าวถึงคำที่เกษียร เตชะพีระ จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรียกระบอบการปกครองของไทยปัจจุบันว่า ‘เสมือนสมบูรณาญาสิทธิราชย์’ ซึ่งตัวเขาเห็นว่ามีพฤติกรรมหลายอย่างทำนองเดียวกับรัฐศักดินาโบราณ และบางพฤติกรรมขนาดรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์สมัยรัชกาลที่ 5 ก็ยังไม่ทำ
ธงชัยอธิบายว่ารัฐศักดินาไม่ว่าที่ไหนในโลกหากเปรียบอย่างง่ายๆ ก็คือระบบมาเฟียที่พัฒนาถึงที่สุด หมายความว่าเป็นระบบอำนาจที่ผูกติดกับตัวบุคคลเฉกเช่นเดียวกับรัฐศักดินา แต่สิ่งหลังพัฒนาให้อำนาจดิบแปรเปลี่ยนเป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ เป็นอุดมการณ์ที่ทำให้เชื่อว่าอำนาจการคุ้มครองแบบดิบๆ อย่างระบบมาเฟียเป็นอำนาจที่ชอบธรรม เถลิง เฉลิมฉลอง ยกย่อง เชิดชู สรรเสริญ จนหมดสิ้นความรู้สึกว่าเป็นอำนาจดิบของคนหนึ่งคน
“ระบบมาเฟียถือว่าตัวเองให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนในท้องถิ่นหนึ่งๆ เขาเรียกว่าให้ความคุ้มครอง เวลาเรียกภาษีส่วย เขาเรียกว่าเก็บค่าคุ้มครอง รัฐศักดินาถือว่าตัวเองปกป้องคุ้มครอง แผ่บารมีคุ้มหัวราษฎรให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย ระเบียบสังคม ระเบียบศีลธรรมอันดีงาม เขาใช้คำว่าคุ้มครองเหมือนกัน พูดง่ายๆ รัฐศักดินาไม่สนใจการทำนุบำรุงความเจริญให้ก้าวหน้า คือไม่ใช่ไม่สนใจเลย อาจจะเป็นเรื่องรอง รองมากรองน้อยแล้วแต่รัชสมัย แต่หลักๆ priority สำคัญที่สุดก็คือคุ้มครองให้สังคมสงบ คุ้มครองในความเห็นของเจ้าศักดินา รัฐศักดินาทำหน้าที่ไม่ต่างกับมาเฟีย ต่างกันแต่เพียงว่าเขาไม่ได้ใช้อำนาจดิบ แต่เขาใช้บารมี ใช้มหากรุณาธิคุณ”
รัฐศักดินาไทยปัจจุบัน ความดีเท่ากับความจงรักภักดี
“รัฐปัจจุบันทำตัวเป็นศักดินาใหม่ จะเรียกว่าเจ้าขุนมูลนายก็ได้ คืออ้างบุญคุณสารพัด แต่บุญคุณสำคัญที่สุดคือรักษาความสงบ เวลามีปัญหา การทำนุบำรุงความเจริญ จัดการเรื่องโควิดเฮงซวยอย่างไรก็เป็นเรื่องรอง เรื่องหลักคือการรักษาความสงบ รัฐศักดินาเชื่อว่าตัวเองเป็นผู้มีบุญบารมี ปกครองโดยบุญบารมี จะโหดร้ายสักแค่ไหน จะจารีตนครบาลแบบไหนก็เพื่อจรรโลงการปกครองของผู้มีบุญบารมี
“รัฐเจ้าขุนมูลนายปัจจุบันเชื่อว่าตนเองเป็นคนดีที่สูงกว่าคนอื่น ต้องปกครองด้วยคนดี จำได้ไหมครับ ประโยคที่กล่าวทำนองว่าต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เป็นการปกครองของคนดี อย่าให้คนไม่ดีมามีอำนาจได้ อันนี้ศักดินาเต็มตัวเลย ไม่ว่าคนดีจะใช้วิธีการที่ป่าเถือนอย่างไร รวมทั้งเหนือกฎหมายก็ต้องทำเพื่อให้การปกครองอยู่ในมือของคนดี เปลี่ยนคำว่าคนดีเป็นผู้มีบุญบารมีแค่นั้น เหมือนรัฐศักดินาหมดเลย
“ทั้งศักดินาเก่าและใหม่เป็นรัฐที่ขึ้นกับเครือข่ายอุปถัมภ์ระหว่างบุคคลเป็นชั้นๆ จากล่างขึ้นไปถึงเจ้าของศูนย์กลาง ค่าของคน value คุณค่าของความสัมพันธ์อันนี้ที่สำคัญที่สุด ไม่ได้อยู่ตรงที่การประกอบกรรมความดี ถึงแม้เขาจะพยายามทำสิ่งที่ดี รวมทั้งจิตอาสาทั้งหลาย คุณค่าสำคัญที่สุดอยู่ที่ความจงรักภักดี เพราะฉะนั้นจิตอาสาในแบบบวกหรือจิตอาสาในแบบลบ เช่นกำจัดยาเสพติดด้วยวิธีการป่าเถื่อนก็อาจจะยอมได้ ถ้าคุณจงรักภักดีจริง ดูกันไปก็แล้วกันนะว่าจะพ้นผิดลอยนวลหรือว่าจะลงโทษอย่างเบาๆ ก็ว่ากันไป
“ความจงรักภักดีหมายถึงอะไร ความจงรักภักดีหมายถึงการทำตามคำสั่งความต้องการของนายเหนือหัวเป็นชั้นๆ ขึ้นไป รัฐราชการที่เป็นเสมือนสมบูรณาญาสิทธิ์ในปัจจุบันจึงเป็นวัฒนธรรมของระบบราชการ ผมเห็นว่าวัฒนธรรมระบบราชการปัจจุบันเปลี่ยนและต่างไปจากวัฒนธรรมระบบราชการในสมัยที่ผ่านมาอย่างมาก ผมไม่กล้าบอกว่านี่ไม่ใช่ระบบราชการ ผมว่านี่ยังเป็นรัฐราชการ เป็นระบบราชการอยู่ แต่สิ่งที่ต่างก็คือปัจจุบันเต็มไปด้วยการรอคำสั่งนาย จากล่างถึงนายก นายไม่สั่งไม่กล้าทำ นายสั่งอะไรก็ถูกหมด เป็นรัฐราชการที่มีลักษณะผูกติดกับตัวบุคคล very personal อย่างยิ่ง ยิ่งกว่ารัฐราชการยุคก่อนๆ ซึ่งระบบราชการและ technocrat มีสิทธิ์ มีเสียง มีอำนาจ มีอิทธิพล ผลักดันการเปลี่ยนแปลงมากกว่านี้ ปัจจุบันไม่ว่าใครจะเสนอ เทคโนแครตที่ไหน ลงท้ายอย่างเดียวก็คือนายกฯ ว่าอย่างไร
“และผมเชื่อว่าลำดับต่างๆ ลงไปถึงข้างล่างเหมือนกัน ข้าราชการลำดับต่างๆ ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้รับคำสั่ง ตัวอย่างที่ชัดคือตำรวจ และที่ไม่ชัดแต่ดูเหมือนเป็นอย่างนั้นคือศาล คุณเลิกเป็นตัวของตัวเองใช้หลักวิชาอะไรทั้งสิ้น นายว่าอย่างไรพยักตาม นายว่าอย่างไรส่ายหน้าตาม”
รัฐศักดินาไม่ accountable ต่อประชาชน แต่ accountable ต่อเจ้านายเหนือหัว
“รัฐศักดินาไม่ accountable ต่อประชาชน หมายถึงเขาไม่ต้องรายงาน ไม่ต้องหวั่นเกรงการรับผิดรับชอบกับประชาชน การกระทำต่างๆ ไม่ต้องแคร์ประชาชน เพราะความชอบธรรมไม่ได้มาจากประชาชน ความชอบธรรมของรัฐศักดินาแต่โบราณมาจากพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย การดูแลทุกข์สุขของราษฎรเป็นเพียงแค่พฤติกรรม คุณดูแลราษฎรได้ดีหรือไม่ดีอาจจะทำให้พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่พอใจแล้วลงโทษคุณ ลงโทษกษัตริย์ศักดินา แต่ว่าสิ่งที่กษัตริย์เขาแคร์คือพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเห็นว่าเขายังควรอยู่ในอำนาจหรือไม่ อันนี้รัฐศักดินาแต่โบราณเป็นอย่างนั้น
“เขา accountable ต่อพลังศักดิ์สิทธิ์ในสวรรค์หรือต่ออำนาจของกรรม รัฐเจ้าขุนมูลนายปัจจุบันก็ไม่ accountable ต่อประชาชน แต่ accountable ต่อเจ้านายเหนือหัว พลเอกประยุทธ์บอกเองว่าเจ้าเป็นผู้ให้อำนาจเขา ใช่ไหมครับ เขาจึงต้อง...เขาจึงแคร์ accountable ว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรต่อเขาแค่นั้นเอง ภาวะการณ์หลายอย่างปัจจุบันซึ่งมัน shameless น่าละอาย น่ารังเกียจอย่างเกินจะทนแล้ว หมายถึงการใช้อำนาจอย่างไม่แคร์กฎหมาย ไม่แคร์ความรู้สึกของประชาชน เพราะเขาแคร์อำนาจที่อยู่เหนือหัวเขาเป็นหลัก ตราบใดที่อำนาจเหนือหัวเขายังพอจะอยู่ อันนี้ถึงถึงบอกว่ามีพฤติกรรมแบบเดียวกับเจ้าศักดินาสมัยโบราณ ซึ่งแคร์พลังศักดิ์สิทธิ์เหนือขึ้นไปแค่นั้น ไม่ได้แคร์ต่อประชาชน
“ทั้งศักดินาเก่าและใหม่ในสังคมพุทธเถรวาทมีหน้าที่หลักคือการรักษาสังคมให้สงบ หมายความว่าอะไร หมายความทื่อๆ ว่าคือไม่มีการท้าทายอำนาจบารมีของกษัตริย์ หรือในปัจจุบันคือของรัฐ ปัจจุบันหมายถึงคือการไม่มีม็อบ ไม่มีการวิจารณ์ผู้นำ ไม่มีการวิจารณ์กษัตริย์ แม้กระทั่งพลเอกประยุทธ์ซึ่งเราด่าเช้าด่าเย็น คุณจะได้ยิน มีคนออกมาพูดอยู่เรื่อย มีคนออกมาอยู่เรื่อยว่าการวิจารณ์ผู้นำก็ไม่ควรทำ ประยุทธ์เริ่มจะมีคุณสมบัติบางอย่างที่ใครต่อใครทำกับพลเอกเปรม ซึ่งไม่ใช่เจ้า แต่เริ่มมีบารมีๆ มากขึ้น เพราะเป็นบารมีที่ปกแผ่และติดตัวมาจากการที่เจ้า approve เขา จึงถึงขนาดเริ่มปกป้องประยุทธ์ทำนองเดียวกับที่ปกป้องพลเอกเปรม ยังไม่ถึงขนาดนั้นนะครับ แล้วที่ปกป้องพลเอกเปรมกับพลเอกประยุทธ์ไม่เหมือนกับที่ปกป้องเจ้า อันนี้ไม่เหมือนกันแน่ แต่ว่าเป็นอาการ เป็นพฤติกรรมทำนองเดียวกัน”
ประชาชนเป็นผู้รอรับความเมตตาจากรัฐ
“ภารกิจทำนุบำรุงบ้านเมืองเป็นการเสริมบารมี ขึ้นอยู่กับเมตตาของผู้มีบุญบารมี การรับใช้ประชาชนไม่ใช่ภารกิจของรัฐ ตรงนี้ที่ผมกำลังดูอยู่ว่าจะเหมือนหรือต่างกันกับสมัยรัชกาลที่ 5 แค่ไหน เพราะคำว่าภารกิจหรือความสำนึกว่ารัฐมีหน้าที่ทำนุบำรุงความเจริญบ้านเมืองเริ่มประมาณสมัยรัชกาลที่ 4 และเต็มที่คือรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ตระหนักว่าตนเองต้องทำนุบำรุงความเจริญ ความสงบสุขของบ้านเมือง ของราษฎร
“แต่อย่างที่กล่าว ไม่ใช่เพราะเขามีหน้าที่รับใช้ แต่เพราะเขาเป็นกษัตริย์ที่ดีจึงควรจะเมตตาต่อประชาชน ภารกิจหลักยังต้องไม่ให้เกิดการท้าทาย เมื่อเกิดการท้าทายต้องทำให้เกิดความสงบ นั่นเป็นภารกิจหลัก สิทธิเสรีภาพแบบที่เราพูดกันในปัจจุบันเป็นสิ่งที่รัฐศักดินาเก่าไม่รู้จัก รัฐเจ้าขุนมูลนายในปัจจุบันรู้จัก แต่ผมคิดว่าเขาคิดไม่ตรงกับเรา พูดง่ายๆ ว่าเขาไม่รู้จัก Rights Liberty หรือ Freedom ในความหมายใหม่ด้วยว่าเป็นสิทธิอันพึงมีพึงได้ อยู่ติดกับเราทุกคนตั้งแต่เกิด เขายังคิดว่าขึ้นอยู่กับรัฐจะมีให้ รัฐจะให้มากหรือน้อย แล้วจะให้เมื่อไหร่ ผมคิดว่าเขายังคิดอย่างนั้น ซึ่งรัฐที่คิดทำนองนั้นคือรัฐศักดินา คือรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รัฐสมัยใหม่เขาไม่คิดอย่างนั้นกันแล้ว
“ทั้งศักดินาเก่าและใหม่จึงถือว่าชอบธรรมที่กษัตริย์ครอบครองสมบัติทั้งแผ่นดิน ประชาชนควรสำนึกบุญคุณที่ได้อาศัยแผ่นดินของกษัตริย์อยู่ เพราะฉะนั้นจึงมีคำพูดทำนองว่าสมบัติของกษัตริย์ จึงมีการพูดว่าการโอนสมบัติให้กษัตริย์ในปัจจุบันเป็นความชอบธรรมที่เป็นสมบัติของท่านอยู่แล้ว ความคิดแบบนี้มีได้เฉพาะรัฐศักดินา รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์เท่านั้น
“และสำคัญที่สุดที่ผมพูดไปแล้วศักดินาเก่าหรือใหม่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คืออยู่เหนือกฎหมาย จะออกกฎหมายให้ผิดเป็นถูกก็ได้ ขาวเป็นดำก็ได้ ออกกฎหมายให้ความผิดหายวับไปเลยก็ได้ ไม่ต้องแคร์หลักกฎหมายสมัยใหม่”
หมายเหตุ : 18.35 น. วันที่ 13 ก.ย.64 ประชาไทดำเนินการปรับแก้พาดหัวใหม่
https://prachatai.com/journal/2021/09/94971