ธนาธร : แทงม้าตัวเดียวทำไมไม่ขอโทษ?
[ คำขอโทษจากรัฐบาลกรณีวัคซีน: ไม่ครบ ไม่จริงใจ และสายเกินไปแล้ว ]
(สรุปประเด็นจากการสัมภาษณ์โดยเพจ The Standard วันที่ 22 ก.ค.64 “แทงม้าตัวเดียว ทำไมไม่ขอโทษ?" )
คำขอโทษจาก นพ.นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ จากกรณีการจัดหาวัคซีนล่าช้า มีความหมายอะไรบ้างหรือไม่ ในวันที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 บานปลายมาถึงขนาดนี้
สำหรับธนาธรแล้ว แม้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่นี่คือการขอโทษที่ไม่ครบถ้วน เพราะยังไม่มีการขอโทษในความผิดพลาดจากการ “แทงม้าตัวเดียว” ที่ธนาธรเฝ้าเตือนมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
และยังไม่จริงใจ เพราะสิ่งที่รัฐไม่เคยบอกกับประชาชน คือตัว นพ.นคร เอง มีอำนาจในการเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียด ถึงการดำเนินการของสยามไบโอไซเอนซ์ ว่าเหตุใดการผลิตวัคซีนจึงมีปัญหาล่าช้า จนส่งผลต่อการควบคุมการแพร่ระบาดทั้งระบบ เพราะในสัญญาให้ทุนที่รัฐบาลมอบให้เป็นเงินสนับสนุนการปรับปรุงสยามไบโอไซเอนซ์ 600 ล้านบาท ระบุว่าสถาบันวัคซีนแห่งชาติมีอำนาจในการเข้าไปตรวจสอบกระบวนการผลิตวัคซีนของบริษัท
และยังสายเกินไปแล้ว เพราะด้วยการบริหารผิดพลาดทั้งหมดที่ผ่านมา กำลังจะทำให้ประเทศไทยตกขบวนรถไฟการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และโอกาสที่คนไทยจะได้กลับมามีชีวิตปกติอีกครั้ง
ฟังการสัมภาษณ์ย้อนหลังได้ที่นี่ https://www.facebook.com/1683658098593742/videos/994940697989568
เนื้อหาเต็ม
Spoil
*** ผอ.สถาบันวัคซีนมีอำนาจตรวจสอบสยามไบโอไซแอนซ์แต่กลับนิ่งเฉย ***
ผมคิดว่ากรณีที่ นพ.นคร เปรมศรี ออกมาขอโทษประชาชนที่จัดหาวัคซีนได้ล่าช้า เป็นสัญญาณที่ดีที่มีการตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเอง ผมเชื่อว่าถ้ารัฐบาลทำอย่างนี้ตั้งแต่ 4-5 เดือนที่แล้ว ความไม่พอใจของประชาชนคงไม่มาถึงจุดนี้
เราเข้าใจว่าสถานการณ์มีความซับซ้อนในการตัดสินใจ ไม่ว่าระเบียบการจัดซื้อทางราชการหรืออะไรก็แล้วแต่ มีข้อจำกัดเยอะ แต่ถ้าผิดแล้วถ้าออกมาแถลงกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ผมคิดว่าประชาชนเข้าใจได้
แต่สิ่งที่รัฐบาลทำมาตลอดหลายเดือนเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก ทั้งที่การเข้าร่วมกับ covax ควรจะต้องตัดสินใจตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2563 วันนี้ผ่านมา 1 ปีถึงจะมาแสดงความรับผิดชอบ ว่าตัดสินใจผิดไปแล้ว มาขอโทษประชาชน และที่สำคัญขอโทษในประเด็นเดียวคือประเด็น covax ส่วนประเด็นเรื่องการฝากความหวังวัคซีนในประเทศไว้กับสยามไบโอไซเอนซ์ กลับไม่ออกมาขอโทษ
เรื่องนี้ยังไม่ได้มีการออกมาพูดกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งผมต้องยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าต้นตอที่สำคัญมากที่สุดของเรื่องนี้ คือสยามไบโอไซเอนซ์ผลิตวัคซีนไม่ได้ตามเป้า ทำให้การฉีดวัคซีนวันนี้ล่าช้า
แล้วคุณนครควรจะต้องพูดด้วย ว่าในฐานะ ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ตัวเองมีอำนาจอย่างหนึ่งที่ประชาชนไม่รู้ คือในสัญญาระหว่างสถาบันวัคซีนแห่งชาติและสยามไบโอไซเอนซ์ การสนับสนุนให้ทุนพัฒนาวัคซีน 600 ล้านบาท ข้อ 8.6 บอกว่าสถาบันวัคซีนแห่งชาติสามารถส่งตัวแทนเข้าไปตรวจสอบสยามไบโอไซเอนซ์ได้
เรื่องนี้สำคัญ เพราะว่าวันนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2564 ประเทศไทยมีวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าเข้าประเทศเพียง 2.7 ล้านโดส
แล้ว 2.7 ล้านโดสที่ส่งมอบนี้ รวมแอสตร้าเซเนก้าที่ได้จากญี่ปุ่นด้วย 1 ล้านกว่าโดส เหตุที่การลงทะเบียนวัคซีนมันยุ่งยากกันไปหมด คนถูกเทวัคซีนเต็มไปหมด ต้องขอนำสูตรซิโนแว็คผสมแอสตร้าเซเนก้ามาใช้ ต้นตอของปัญหามาจากการไม่มีวัคซีนเพียงพอที่จะฉีดในจำนวนมาก
รัฐบาลบอกว่าจะฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ แต่วันเดียวที่เราฉีดได้ตามเป้า 5 แสนโดสคือวันเริ่มฉีดอย่างเป็นทางการวันแรก หลังจากนั้นปริมาณการฉีดวัคซีนของประเทศไทยอยู่ในระดับ 2 แสนกว่าในวันธรรมดา และในวันเสาร์อาทิตย์ตกลงมาเหลือ 7-8 หมื่นโดส
ปัญหาคือ แม้กระทั่งในอัตราการฉีดที่ 250,000 โดสทุกวัน เราต้องมีวัคซีนที่ส่งถึงรัฐบาลไทย 7.5 ล้านโดสทุกเดือนเป็นอย่างต่ำ ถ้าคุณหาไม่ครบเมื่อไหร่คือหายนะ เพราะไม่ว่าจะเป็นไฟเซอร์ โมเดอร์นา ฯลฯ ที่สั่งมาเพิ่ม จะได้ในไตรมาส 4 และต้นปีหน้า หมายความว่าเดือนกรกฎาคมนี้ไปจนถึงสิ้นปี คุณจะต้องพึ่งแต่วัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตโดยสยามไบโอไซเอนซ์
นี่คือเหตุที่รัฐบาลจะต้องสั่งซื้อวัคซีนเพิ่มจากซิโนแว็คอีก 10.9 ล้านโดส เพื่อเอามาชดเชยที่แอสตร้าเซเนก้าส่งไม่ได้หรือเปล่า? เพราะทุกเดือนจะต้องมี 7.5 ล้านโดสที่มาจากแอสตร้าเซเนก้า เพื่อทำให้การฉีด 2.5 แสนโดสต่อวันสามารถทำได้ แต่เมื่อแอสตร้าเซเนก้าก็ไม่มีส่งให้ ไฟเซอร์ โมเดอร์นา ฯลฯ ก็จะยังมาไม่ถึงจนกว่าจะพฤศจิกายนหรือธันวาคม 2-3 เดือนข้างหน้าผมถึงมองเห็นแต่วิกฤต
ถ้าเดินหน้าต่อไปแบบนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อต่อวันเกิน 15,000-20,000 คนแน่ๆ ถ้าจะแก้ไขปัญหานี้ได้คุณต้องมีวัคซีนมากพอ ไม่เช่นนั้นคุณก็ต้องล็อคดาวน์ไปเรื่อยๆ การเยียวยาหนึ่งรอบอย่างต่ำต้องใช้ 4-5 หมื่นล้านบาท และถ้าเป็นการเยียวยาขนาดใหญ่และนาน รอบหนึ่งก็อาจตกถึงแสนล้านบาท แล้วต่อให้คุณล็อกดาวน์ได้ 1 เดือน หรือ 2 อาทิตย์ เดี๋ยวมันก็จะกลับมาอีก เป็นอย่างนี้ไม่รู้จบ ตราบใดที่คุณไม่สามารถฉีดวัคซีนให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้
ดังนั้น ผมยืนยันอีกครั้งว่าวัคซีนที่ดี แพงเท่าไรก็ถูกกว่าการเยียวยาประชาชนในแต่ละรอบแน่นอน
สยามไบโอไซเอนซ์กำลังประสบปัญหาการผลิตอย่างหนัก คุณนครในฐานะที่เป็น ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ที่เป็นคนมอบเงินอุดหนุนให้กับสยามไบโอไซเอนซ์ 600 ล้านบาท คุณมีอำนาจที่จะตรวจสอบสยามไบโอไซเอนซ์ตามสัญญา
ถ้าผมเป็นคุณนคร เปรมศรี ผมจะเข้าไปตรวจสอบสยามไบโอไซเอนซ์พรุ่งนี้เลย ว่ากำลังการผลิตของของสยามไบโอไซเอนซ์เป็นอย่างไร จะส่งมอบให้แต่ละเดือนเท่าไหร่ แถลงข่าวบอกประชาชนให้รับทราบ ให้ทุกคนรู้สถานการณ์ตั้งแต่วันนี้
นี่ต่างหาก ถึงจะเป็นการยอมรับผิด สำนึกผิดอย่างจริงจัง คือการเปิดเผยข้อมูลให้กับประชาชน และยอมรับว่าบริหารผิดพลาดไปแล้ว จะแก้ไขต่อไปอย่างไร พูดให้ประชาชนเห็นภาพว่าอนาคตพวกเขาจะเจออะไรกันบ้าง เพื่อที่ประชาชนจะได้ไม่ตื่นตระหนก ไม่โกรธแค้น นี่ต่างหากที่เป็นพื้นฐานระหว่างความเชื่อใจกันระหว่างประชาชนกับรัฐบาล
ถ้าคุณนครรู้สึกผิดจริงๆ ทำสิ่งที่ผมพูดมาพรุ่งนี้เลย ไปตรวจโรงงานสยามไบโอไซเอนซ์พรุ่งนี้เลย
เนื้อหาเต็ม
Spoil
*** วัคซีนไม่มา การระบาดยิ่งรุนแรง เศรษฐกิจอาจถึงขั้นติดลบ ***
วันนี้ประเทศไทยฉีดวัคซีนไปแล้วอยู่ที่ 15.3 ล้านโดส (21 ก.ค.64) จะฉีดให้ครบ 100 ล้านโดสต้องฉีดอีก 85 ล้านโดส ในจำนวนวันที่เหลืออยู่ 165 วัน ตกแล้ว 5 แสนโดสต่อวัน โดยที่ต้องมีวัคซีนอยู่ที่สิบล้านโดสต่อเดือน โจทย์คือคุณจะหาวัคซีนจากไหน?
เรามีศักยภาพที่เคยฉีดได้ถึง 5 แสนโดสมาแล้ว ถ้าบี้กันจริงๆ รณรงค์กันจริงๆ เราทำได้ แต่ปัญหาคือวัคซีนไม่มา ดังนั้น wave นี้จะเป็น wave ที่หนักที่สุด สถานการณ์การล็อกดาวน์อาจจะล่วงเลยไปจนถึงกลางเดือนสิงหาคมด้วยซ้ำ
และที่สำคัญประชาชนไม่เชื่อใจรัฐบาลแล้วในการล็อคดาวน์ รัฐบาลออกมาตรการอะไรมาประชาชนก็ไม่ทำ คุณออกไปข้างนอกวันนี้รถยังวิ่ง คนยังเดินทางกันเหมือนเป็นปกติ ประชาชนทำตามมาตรการไม่ได้เพราะจะอดตาย
รัฐบาลควรต้องออกมาตรการทางสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคมไปพร้อมๆ กันอย่างได้สัดส่วน เราจึงจะสามารถควบคุมโรคได้อย่างเข้มงวดจริงๆ คุณต้องเยียวยาประชาชนให้สมเหตุสมผล เหมาะสมกับความหนักหนาสาหัสของการล็อกดาวน์ ประชาชนจึงจะเชื่อใจและยอมทำตาม
ทุกวันนี้ประชาชนไม่มีจะกินอยู่แล้ว เงินออมใช้หมดไปแล้วในรอบปีกว่า ใครจะยอมทำตามมาตรการทางสาธารณสุข? พอไม่ทำตามคุณอาจจะต้องล็อกดาวน์ยาวถึงกลางเดือนสิงหาคม นี่คือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น ผู้ป่วยอาจจะสูงขึ้นมากกว่านี้
คุณไม่มีทางรู้เลย เพราะไม่ว่าผู้ป่วยติดเชื้อรายวันที่เกิดใหม่จะเป็นเท่าไหร่ รัฐบาลก็ตรวจหาผู้ติดเชื้ออยู่แค่ 7 หมื่นคนทุกวัน ถ้าคุณไม่เพิ่มการตรวจหาเชื้อก็ไม่เจอเพิ่ม ไม่เจอเพิ่มก็ไม่คัดแยก โอกาสที่เชื้อจะระบาดก็เพิ่มขึ้น
นี่คือสิ่งที่ทุกคนพูดเหมือนกันหมด ว่าการตรวจหาเชื้อและการแยกผู้ป่วยออกจากผู้ไม่ป่วยเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก แต่รัฐบาลทำสิ่งนี้ช้าไปมาก มีใครไม่รู้บ้างว่าทำไมรัฐบาลถึงทำแบบนี้? ผมนึกออกเหตุผลเดียว คือเพราะรัฐบาลกลัวเสียความนิยมทางการเมืองหากเจอผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ ตัวเลขจริงอาจจะเยอะกว่านี้ไปแล้วก็ได้ แต่ที่แน่ๆ คือล็อกดาวน์อาจจะยาวเพราะเอาไม่อยู่ ความเสียหายทางเศรษฐกิจก็จะตามมา
ในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) พยากรณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะโต 2.5% พอมาถึงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ก็เปลี่ยนตัวเลขลงอยู่ที่ 1.3% ของจีดีพี เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเปลี่ยนตัวเลขลงอีกแล้ว เหลือประมาณ 0.7% ของจีดีพี ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมผลกระทบจากการล็อกดาวน์ในรอบล่าสุด
ดังนั้นถ้าใส่ปัจจัยเรื่องการล็อกดาวน์เข้มรอบนี้เข้าไปอีก จีดีพีปีนี้อาจจะโตเพียง 0% หรืออาจจะติดลบก็เป็นได้ สถานการณ์สาหัสมาก พูดง่ายๆคือเรากำลังตกขบวนรถไฟของโลกในการฟื้นตัวด้านเศรษฐกิจ
จีดีพี ปี 2019 ก่อนเกิดโควิด เราก็ตกรถไฟอยู่แล้ว โลกโต 2.8%, ประเทศใหญ่ที่สุดในอาเซียน 5 ประเทศ โต 4.8%, ประเทศไทยโตแค่ 2.3%
ปี 2020 เป็นปีที่โควิดกระทบโลกอย่างจริงจังปีแรก เศรษฐกิจโลกติดลบ 3.3%, อาเซียน 5 ลดลง 3.4%, ประเทศไทยลดลง 6.1%
ปี 2021 คือปีนี้ ทั่วโลกคาดว่าจะเกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เรากำลังพูดถึงเศรษฐกิจโลกที่เติบโตอาจจะถึงประมาณ 6%, อาเซียน 5 เรากำลังพูดถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจประมาณ 4.8%, ส่วนของประเทศไทย จะเป็น 0% หรือติดลบ
หมายความว่าก่อนโควิดก็โตช้ากว่าเขาอยู่แล้ว มาเจอระลอกนี้ก็จะติดหล่มลึกลงอีก เมื่อต่างประเทศเศรษฐกิจเริ่มกลับมาขยายตัว เราก็กำลังจะตกขบวนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น
เนื้อหาเต็ม
Spoil
*** รัฐบาลไทยยืนอยู่ฝั่งใคร? ประชาชน หรือ แอสตร้าเซเนก้า? ***
เรื่องที่ผมอยากจะเน้นย้ำอีกครั้ง คือคำว่าขอโทษของคุณนครเป็นสัญญาณที่ดี แล้วผมอยากจะให้มันเกิดกับทุกหน่วยงาน ซึ่งต้องเริ่มที่การเปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริง
มันมีเว็บไซต์หนึ่งของกระทรวงอุดมศึกษาฯ เปิดเผยว่าวัคซีนรับมาเท่าไหร่ ชื้อไปเท่าไหร่แล้ว แต่ละยี่ห้อเหลือเท่าไหร่ ฉีดไปที่ไหนแล้วบ้าง ให้กับจังหวัดไหนบ้าง หน่วยงานไหนบ้าง แต่ปัจจุบันเว็บไซต์นี้ปิดไปแล้ว ข้อมูลที่เราใช้ดูตัวเลขในแต่ละวันอย่างละเอียด ว่าวัคซีนเหลือเท่าไหร่บ้าง ที่ไหนบ้าง ไม่มีอีกแล้ว ไม่รู้จะหาข้อมูลจากที่ไหนได้อีกแล้ว
ข้อมูลทั้งหมดถูกเก็บเงียบเป็นความลับ ทั้งๆ ที่นี่คือเรื่องความเป็นความตายของประเทศชาติ นี่คือความเป็นความตายของประชาชน ถ้ารัฐยังรู้สึกผิด ถ้าอยากจะกลับลำมาสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างรัฐกับประชาชนขึ้นมาใหม่ ต้องเริ่มที่การพูดความจริงกับประชาชน เริ่มที่การเปิดเผยข้อมูล ซึ่งวันนี้ไม่มีความโปร่งใสอะไรเลยในการบริหารวัคซีน
ตกลงในอีก 5 วันข้างหน้าจะมีวัคซีนฉีดหรือไม่ คุณแถลงหน่อยได้ไหม? ตกลงยี่ห้ออะไรจะเข้ามาเมื่อไหร่ คุณให้สัญญากับประชาชนได้หรือไม่?
ยกตัวอย่างแอสตร้าเซเนก้า เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก หากยังจำกันได้สหภาพยุโรปเคยฟ้องแอสตร้าเซเนก้า ว่าส่งมอบวัคซีนไม่ทัน คำถามคือทำไมผู้นำของประเทศเราไม่เป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชนเรา ไปบีบแอสตร้าเซเนก้าให้ส่งวัคซีนเพิ่มแบบนี้บ้าง เราเห็นผู้นำของเรากดดันสยามไบโอไซเอนซ์และแอสตร้าเซเนก้าอย่างจริงจังหรือไม่? ตกลงผู้นำของเรายืนฝั่งใคร? คุณเป็นปากเสียงให้กับประชาชนหรือเปล่า? คุณต้องเริ่มจากเรื่องพวกนี้
พอแอสตร้าเซเนก้ามาไม่ทัน ทำไมผู้นำในประเทศต่างๆถึงบีบแอสตร้าเซเนก้า ฟ้องร้องเป็นคดีกัน? ก็เพราะเขาไม่ต้องการรับความโกรธแค้นของประชาชน ดังนั้น ต้องยืนฝั่งประชาชน เป็นปากเสียงให้กับประชาชนในการกดดันแอสตร้าเซเนก้า ฟ้องผู้ผลิตวัคซีน
แต่สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย
เรื่องพวกนี้คุณต้องทำความจริงให้ปรากฏ อธิบายกับประชาชน ยอมรับผิด ทำทุกอย่างให้โปร่งใส แต่นี่ก็ช้าไปหมดแล้ว นี่คือสิ่งที่ควรทำตั้งแต่เมื่อวาน ไม่ใช่วันนี้
เครดิต : https://www.facebook.com/ThanathornOfficial