สื่อและแบบเรียนสร้างให้เราเกลียดกัน
วันนี้ได้มีโอกาสยกหูโทรศัพท์หาเพื่อนชาวเมียนมาร์ที่ไม่ได้คุยกันมานาน
"โจ" หนุ่มวัย 33 ปีทำงานในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมียนมาร์ เราเจอกันโดยบังเอิญเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เมื่อตอนที่ไปกางเต้นท์ที่แม่ฮ่องสอน
บทสนทนาเกือบ 1 ชั่วโมงหมดไปกับเรื่องท่องเที่ยว การงาน สารทุกข์สุขดิบ
15 นาทีหลังจากนั้น "โจ" เริ่มพูดถึงเหตุการณ์การประท้วงที่เมียนมาร์ และเหตุการณ์ในไทยวันนี้
"โจ" พูดคำว่า Faith บ่อยมาก น้ำเสียงแสดงถึงความศรัทธาในการเปลี่ยนแปลง
เขาเชื่อว่าประเทศในอาเซียนติดกับดักเรื่องเผด็จการมานานเกินไปแล้ว เราจะก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ ถ้าการแสดงออกยังถูกปิดกั้น โจบอกว่า "Time is now"
จากนั้นโจพูดในสิ่งที่ผมคิดมาตลอด "Sadly, for decade, media, movies and school text books always tells young generation that we were enemy, we were always evil, but today, we are friend. We want the same thing, we want freedom and democracy, and we stand together and fight for that"
น่าเศร้านะ ที่สื่อ ละครโขนหนังและตำราเรียนพร่ำสอนมาตลอดหลายปีว่าเมียนมาร์คือศัตรูของไทย เราเป็นตัวร้ายในสายตาคนไทยมาตลอด แต่วันนี้เราพิสูจน์ว่าเราคือเพื่อนกัน เราต้องการประชาธิปไตยเหมือนกัน เราอยากได้สิทธิเสรีภาพเหมือนกัน วันนี้เราสู้ด้วยกันนะ
ผมก็ไม่รู้จะตอบเพื่อนของผมคนนี้ยังไงดี..เพราะมันก็จริงเสมอมา
หวังว่าเด็กๆ รุ่นหลัง หากได้เห็นภาพการต่อสู้เพื่อเสรีภาพวันนี้ พวกเขาคงจะมอง "เพื่อน" ของเราใหม่
หลังจากวางสาย "โจ" ได้ส่งภาพนี้ให้ผมในไลน์...ผมได้แต่ยิ้มแล้วก็พิมพ์ตอบกลับไปว่า
"Only innocents who call for change, and fight, and sacrifice, and lost"
ทุกยุคทุกสมัย ก็มีแต่ประชาชนธรรมดาเนี่ยแหละ ที่ออกมาเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง ออกมาสู้ เสียสละและสูญเสีย ไม่ใช่ชาติเชื้อราชาอย่างที่ตำรากล่าวไว้