ชายวิศวกรคนหนึ่งในเมืองกอร์ริทซ์
หลงไหลบทเพลงลูกหนังอย่างคนเยอรมันทั่วไป
เขาลงเล่นในดิวิชั่นสองของลีคบ้านเกิดเป็นอีกอาชีพ
และนั่นคือ ปฐมบทของตำนานลูกหนังเมืองเบียร์
วันที่ 26 กันยายน ปี 1976
ภรรยาของวิศวกรหนุ่มได้ให้กำเนิดบุตรชาย
และพวกเขาพร้อมใจกันเรียกลูกน้อยว่า "มิชาเอล"
พวกเขาย้ายมาทางตะวันออกของบ้านเกิด
ณ เมืองเค็มนิทซ์ ที่เต็มไปด้วยงานศิลปะร่วมสมัย
และคุณพ่อก็เป็นแรงบันดาลใจของเขา
มิชาเอลได้เริ่มต้นเล่นฟุตบอลกับ 'เค็มนิทเซอร์'
เกร็ดความรู้ที่น่าสนใจคือ
ฟรานซ์ 'ไกเซอร์' เบ็คเค่นบาวเออร์
เป็นหนึ่งในนักเตะเยอรมันที่เก่งที่สุดตลอดกาล
และไกเซอร์ก็มีความหมายว่า "จักรพรรดิ"
เมื่อปี 1995 ในวัย 19 ปี
วันที่มิชาเอลได้รับสัญญาอาชีพครั้งแรก
เขาก็ถูกเรียกว่า 'ไกเซอร์น้อย' ไปเสียแล้ว
ด้วยตำแหน่งกองกลางและแววตาเด็ดเดี่ยวดุจราชันย์
แม้เขาไม่อาจช่วยต้นสังกัดผ่านเข้ามาในลีกา 1 ได้
แต่ฝีเท้าของเขาก็ไปเข้าตายอดกุนซือจอมแท็คติค
"อ็อตโต้ เรห์ฮาเกล"
นอกจากพากรีซเป็นแชมป์ยูโรปี 2004 แล้ว
เขายังพร่ำสอนว่าที่สตาร์เยอรมันคนใหม่มากมาย
ทั้งเจ้าหนูโคลเซ่, โอลาฟ มาร์แซล ฯลฯ
แล้วถ้าถามว่าความสำเร็จร่วมกับบัลลัคล่ะ?
โค้ชหนุ่มก็แค่ถูกเฉดหัวออกมาจากบาเยิร์น มิวนิค
แล้วพา 'ไกเซอร์สเลาเทิร์น' ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา
กระซวกไส้ 'เสือใต้' ปาดหน้าคว้าแชมป์ไปครอง!!
มิชาเอล บัลลัค ย้ายมาร่วมทัพสร้างชื่อให้เขา
ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ด้วยค่าตัว 4.1 ล้านยูโร
ภายใต้การนำทีมของโค้ชคริสตอฟ ดอม
ดอมประทับใจความสามารถของเขา
แล้วเล็งเห็นในสิ่งที่แตกต่างออกไป
เขาผลักดันให้บัลลัคยืนสูงขึ้นรับบทบาทจอมทัพ
เบ็ดเสร็จตลอดช่วงเวลา
บัลลัคลงสนามไป 110 นัด ยิง 37 ประตู
พาทีม'ห้างยา'เป็นดับเบิ้ลรองแชมป์ในปี 2001-02
ตรงนี้แหละครับ
ที่บัลลัคถูกยกให้เป็นโคตรแข้งอาภัพ
เพราะในศึกนัดชิงเจ้ายุโรปกับเรอัล มาดริด
เลเวอร์คูเซ่นก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด
เยอรมันได้เข้าชิงแชมป์ฟุตบอลโลก 2002
แต่เจ้าตัวก็ดันสะสมใบเหลืองครบจนชวดช่วยทีม
และก็พ่ายไปตามระเบียบต่อ '3R'
4 รองแชมป์ใหญ่ในปีเดียว มีใครให้มากกว่านี้อีกไหม
หลังจากนั้น
เขากับทีมชาติก็เป็นได้ไม่สวยนัก
ทั้งอาการบาดเจ็บจนชวดเล่นฟุตบอลโลก 2010
และมีปัญหาผิดใจกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่น
"มีนักเตะบางคนที่ยังไงคุณก็หามาแทนไม่ได้
หนึ่งในนั้นก็คือ มิชาเอล บัลลัค"
รูดี้ โวลเลอร์ ให้กำลังใจรุ่นน้องร่วมชาติ
ในส่วนของความสัมพันธ์ในแคมป์อินทรีเหล็ก
เขาไม่ค่อยพอใจฟิลิปป์ ลาห์ม นักเรื่องปลอกแขนกัปตัน
เพราะลาห์มให้สัมภาษณ์เชิงกดดันตัวรุ่นพี่คนนี้
"ผมได้เห็นอีกด้านหนึ่งของลาห์ม
คนหนึ่งเข้ามาสวมปลอกแขนแทนกัปตัน
และไม่คืนให้เมื่อกัปตันได้กลับมา"
"ผมไม่มีโอกาสได้แก้ไขอะไรเลย"
ปี 2002 เขาได้เข้าร่วมทัพเสือใต้
พาทีมคว้าแชมป์ในประเทศไป 7 ถ้วย
ก่อนย้ายเข้าสู่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ทีมที่ทำให้มิชาเอล บัลลัค รู้สึกเจอบ้านที่แท้จริง
การเข้ามาของกัปตันทีมชาติจอมอาภัพ
สร้างกระแสฮือฮาไม่น้อยในสมัยนั้น
ทุกหนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวถึงเชลซี
"พวกเขาจะครองพรีเมียร์ลีคอังกฤษไปอีกนาน
ร่วมกับมิชาเอล บัลลัค และอันเดร เชฟเชนโก้!"
เขานับเป็นแข้งเยอรมันคนแรก
ที่เข้าร่วมเล่นในถิ่นแสตมฟอร์ด บริดจ์
บัลลัคเป็นแรงบันดาลใจที่แสนวิเศษ
ของเด็กๆเมืองเบียร์รุ่นต่อไป
อันเดร ชูร์เล่ ในวัย 12 ปี
กำลังนั่งดูบอลโลกปี 2002 อย่างใจจดใจจ่อ
แน่นอนว่าฮีโร่ของเด็กในยุคนั้นต้องเป็นบัลลัคอย่างไม่ต้องสงสัย
"มิชาเอล บัลลัค คือแบบอย่างของผม
เขามอบทุกอย่างให้กับทีม เป็นรอยเท้าที่ผมก้าวตาม"
"สปิริตของเขามันน่าหลงไหนเอามากๆ"
แม้ว่าหลายคนจะตราหน้าว่าเขาคือพระรอง
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคตกต่ำของเยอรมันนั้น
มิชาเอล บัลลัค แบกภาระไว้บนบ่าของตัวเอง
ถึงเป็นพระรอง ก็เป็นพระรองที่คนรัก
ด้วยตำแหน่งที่ทัพกันกับแฟรงค์ แลมพาร์ด
บัลลัคยอมถอยออกมาบัญชาเกมด้านหลังแทน
จุดที่ลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบ
เชลซีกลับมาเอาชนะแมนฯ ยูไนเต็ด
ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีค ปี 2009-10
ยิงคู่แข่งกระจุยถึง 103 ประตู
สิ้นสุดฤดูกาลนั้น
มิชาเอล บัลลัค ที่สัญญากำลังจะหมดลง
ต้องการเพิ่มทรายลงนาฬิกาสีน้ำเงินอีก 2 ปี
แต่ทางผู้บริหารเชลซีปฏิเสธและปล่อยตัวเขาไป
บัลลัคผู้มองโลกในแง่ดีมาตลอด
เขายืนยันว่าไม่เคยเสียใจที่ปฏิเสธเฟอร์กูสัน
แม้ว่ายูไนเต็ดจะคว้าแชมป์มาประดับบารมีมากมาย
โลกมันก็เป็นแบบนี้ เขาเลือกสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
ลอนดอน คือ เมืองที่เหมาะกับครอบครัวเขาที่สุด
และเขาก็รักเชลซีสุดก้นบึ้งหัวใจ
การจากลาก็เป็นไม่กี่เรื่องที่เขายอมเป็นฝ่ายผิด
"วันนี้ผมว่าผมคิดผิด อย่างน้อยผมควรอยู่ต่อ...อีกสักปีก็ยังดี"
มีนักข่าวไปถามเฮียแกครับว่า
ทีมนอกประเทศทีมไหนที่แกตามดูบ่อยที่สุด
คำตอบก็รู้ๆกันอยู่ ไม่ใช่อาร์เซน่อลจะเป็นทีมไหนล่ะ
ล้อเล่นครับ...ก็ต้องเชลซีสิ
จะว่าไปบัลลัคเองก็โผล่มาให้เห็นอยู่บ่อยๆ
ทั้งในสนามซ้อม วันแข่งหรือแม้กระทั่งไลฟ์สด
เข้าตำรา 'Once Blues, Always Blues' จริงๆ
กับตัวโค้ชคนปัจจุบันอย่างแลมพาร์ดเอง
ก็ถือเป็นเพื่อนซี้ที่บัลลัคให้ความเคารพมาก
เขาพูดมาเสมอว่า เพื่อนคนนี้ขยันเกินเหตุ
ฉะนั้น แฟนเชลซีหายห่วงได้เลยครับ
เพราะเป็นศิษย์โจเซ่ มูรินโญ่ เหมือนกัน
ทั้งคู่จึงต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ห้ามถอย
ซึ่งเขาก็หลงรักวิธีนี้เพราะมันท้าทายและตื่นเต้น
"ผมบอกไม่ได้หรอกว่าเขาทดสอบผู้เล่นอยู่ไหม
แต่คนอย่างเขาทำอะไรมีเหตุผลอยู่เสมอแหละครับ
โดยเฉพาะการวิจารณ์ผู้เล่นออกสื่อน่ะ มันปกติที่ไหน"
คุณเชื่อไหม
ระหว่างที่ผมเขียนบทความนี้อยู่
ผมไม่รู้จะจับคำพูดอะไรของบัลลัคมาเขียนได้หมด
พี่แกเล่นโผล่ไปแทบทุกที่
ตามติดสโมสรแทบทุกสถานการณ์
แต่ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คงเป็นอันต่อไปนี้แหละ
ในปี 2012 เชลซีกำลังจะพบกับบาร์ซ่า
ขณะที่บาเยิร์น มิวนิค จะปะทะกับราชันชุดขาว
นักข่าวก็เข้าไปถามทรรศนะต่างๆกับตัวเขา
"ผมหวังว่าทีมของผมจะผ่านเข้ารอบได้นะ"
"บาเยิร์นน่ะเหรอครับ?"
"เปล่า เชลซีต่างหาก"
จักรพรรดิหนุ่มผู้รักทุกอย่างที่เป็นเชลซี
มันน่าเหลือเชื่อที่เขาอยู่กับทีมมาได้ไม่นาน
แต่กลับผูกพันธ์กับแฟนบอลที่เคยโห่ใส่เขา
วันแรกที่เขาก้าวเข้ามาสู่ทีม
สิ่งแรกเลยที่เขาหวังคือแชมป์ยุโรป
เชลซีที่เสริมแกร่งด้วยผู้เล่นระดับโลกมากมาย
ตรงกับจุดประสงค์เดียวกันกับเขา
แม้ไม่ได้เกียรติยศอย่างที่ฝัน
เขากลับได้พบกับมิตรภาพเพื่อนพ้องที่ดี
บัลลัคสวมปลอกแขนกัปตันทีมแทนเทอร์รี่
ซัดประตูชัยพาทีมบุกไปเชือดฟูแล่มคาถิ่น 1-2
ตลอดระยะเวลา 17 ปี ที่ค้าแข้ง
บัลลัคภูมิใจที่ตัวเองเล่นในระดับสูงมาตลอด
และยังคงเชื่อว่าตัวเขาเองนั้นก็ไม่ได้แย่นักหรอก
ก็คว้าแชมป์ไปตั้ง 13 ถ้วยนี่นา
แถมผู้เล่นแห่งปีของเยอรมันก็ได้อีกตั้ง 3 ครั้ง
"ผมมีโชคในด้านชีวิตนะ"