ฤดูกาล 2004-2005 ลิเวอร์พูลมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมจาก Gerard Houllier กุนซือชาวฝรั่งเศสที่เคยคุมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยมากมายในช่วงต้นของยุค 2000 สู่กุนซือชาวสเปน Rafael Benitez ซึ่งเคยพา Valencia คว้าแชมป์ La Liga รวมถึง Uefa Cup(Europa League ในปัจจุบัน) มาแล้วก่อนจะย้ายมายัง Liverpool พร้อมกับความหวังมากมายที่ต้องแบกเอาไว้
เราเปิดฤดูกาล 2004-2005 ด้วยการเสียซุปเปอร์สตาร์หมายเลขหนึ่งของทีมหรือจะเรียกว่าเดอะแบกในเวลานั้นอย่าง Michael Owen ที่เป็นส่วนสำคัญในการคว้าแชมป์ช่วงต้นยุค 2000 จนได้รางวัลบัลลงดอร์ไปครอบครองให้กับเรียลมาดริดด้วยราคาเพีัยงแค่ 8 ล้านปอนด์ + ปีกขวาโนเนมที่แฟนลิเวอร์พูลบ่นได้ทุกครั้งที่ลงสนาม Antonio Núñez แต่ก็ยังมีเรื่องให้น่าชืิ่นใจอยู่บ้าง เมื่อลิเวอร์พูลสามารถคว้ากองหน้าชาวฝรั่งเศส Djibril Cissé ซึ่งเซ็นสัญญาล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว และ Milan Baros ศูนย์หน้าตัวสำรองในขณะนั้นที่สามารถคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุดจากทัวร์นาเมนต์ยูโร 2004 กับทีมชาติเชคมาได้ แต่สองคนนี้ก็แทบจะไม่ได้เล่นด้วยกันเนื่องจากหลายเหตุผลไม่ว่าจะเป็นการที่ซิสเซ่เจ็บยาวตั้งแต่ช่วงเปิดฤดูกาลและการที่ทีมใช้ระบบ 4-5-1 เป็นแผนหลัก
และการมาของราฟาก็ทำให้มีนักเตะจากสเปนตบเท้าเข้ามาเป็นจำนวนมากโดยการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดก็หนีไม่พ้น Xabi Alonso และ Luis Garcia ซึ่งในฤดูกาลนั้นยังมีนักเตะสเปนย้ายเข้ามาอีกคือ Josemi แบคขวาที่สุดท้ายแล้วไม่สามารถแย่งตำแหน่งตัังจริงของ Steve Finnan ได้ และ Fernando Morientes ที่ย้ายเข้ามาช่วงมกราคม
เกมไฮไลท์แรกของฤดูกาลนั้นคือนัดสุดท้ายในรอบแบ่งกลุ่มที่ลิเวอร์พูลเปิดแอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ Olympiakos เงื่อนไขของลิเวอร์พูลในนัดนั้นคือต้องชนะ 1-0 เพื่อเฮดทูเฮดที่เท่ากันและเข้ารอบไปได้ด้วยประตูได้เสียที่มากกว่า แต่สถานการณ์ในครึ่งแรกก็ไม่เป็นใจเมื่อตำนานนักเตะชาวบราซิลอย่าง Rivaldo ยิงฟรีคิกทะลุกำแพงเข้าไปแล้ว Chris Kirkland ได้แต่ยืนดู เงื่อนไขในขณะนั้นคือลิเวอร์พูลต้องชนะ 3-1 เท่านั้นเพราะถ้าชนะ 2-1 จะตกรอบด้วยกฎ Away Goal
เริ่มครึ่งหลัง Sinama Pongolle ยิงประตูตีตื้นเข้าไป นับว่าเป็นการจุดประกายที่ดี และเป็นฝั่งลิเวอร์พูลที่เล่นดีกว่ามากในครึ่งหลังแต่ก็ยังไม่ได้ประตูที่ 2 สักทีจนช่วงนาทีที่ 80 Neil Mellor ได้ซ้ำจ่อๆเข้าไป ลิเวอร์พูลขาดอีกเพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้นในการจะเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายถ้วย Uefa Champion League และผู้ที่ทำให้ความฝันนั้นเป็นจริงก็คือกัปตันทีมวัย 24 ปีในขณะนั้น Steven Gerard ที่ยิงประตูสุดสวยจากนอกกรอบผ่านมือของ Antonios Nikopolidis ผู้รักษาประตูทีมชาติกรีซดีกรีแชมป์ยูโร 2004 เข้าไป
ก่อนจะกลับมาพูดถึงผลงานในถ้วย Uefa Champion League กันต่อขออนุญาตวกกลับเข้ามาที่สถานการณ์ภายในอังกฤษของฤดูกาลนั้น ถ้วย FA Cup สารภาพตามตรงว่าลืมครับ น่าจะตกรอบแต่หัววัน ก่อนที่ฤดูกาลถัดมาจะคว้าแชมป์แบบใจหายใจคว่ำเช่นกัน ส่วนถ้วย League Cup ก็มาได้ถึงรอบชิงชนะเลิศกับเชลซีโดยขึ้นนำก่อนตั้งแต่ต้นเกมจากประตูสุดสวยของ John Arne Riise แต่ก่อนจะหมดเวลาแค่ไม่กี่นาทีก็เป็นกัปตันทีมของเราเองโหม่งสกัดเข้าประตูตัวเองไป ก่อนที่จะแพ้ให้กับเชลซีในช่วงต่อเวลาไป 3-2 (เชลซีเป็นทีมที่ทำเอากัปตันในตำนานของเราเกิดการ Human Error จนส่งผลถึงประตูสำคัญหลายประตูจริงๆ TT) เกร็ดเพิ่มเติมแฟนลิเวอร์พูลส่วนใหญ่เริ่มไม่ชอบมูริญโญ่จากจังหวะดีใจด้วยท่าจุ๊ปากกับจังหวะตีเสมอในเกมนั้น
ส่วนสถานการณ์ในลีคปีนั้นก็เรียกว่าไม่สู้ดีเอาซะเลย ทั้งฤดูกาลไม่น่าจะมีจังหวะได้ขึ้นไปสัมผัสพื้นที่ Top 4 เลยด้วยซ้ำ ซึ่งทีมที่มายึดที่ 4 ไปในปีนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเพื่อนบ้านของเรา Everton ภายใต้การคุมทีมของ David Moyes ซึ่งทำผลงานได้เหนือความคาดหมายมากๆจนระหว่างฤดูกาลแฟนบอลลิเวอร์พูลบางคนยังแทบจะอดทนกับผลงานของราฟาไม่ไหวเพราะว่าตอนเปลี่ยนจากอุลลิเย่ร์มาเป็นราฟาเนื่องจากเป้าหมายหลักคือพรีเมียร์ลีค แต่แล้วกลับกลายเป็นว่านอกจากจะสู้แมนยูฯไม่ได้แล้วยังสู้ไม่ได้แม้แต่เอฟเวอร์ตันอีกด้วย
สถานการณ์ของลิเวอร์พูลในการจะได้ไป UCL ในตอนนั้นมีทางเดียวคือต้องได้แชมป์UCLเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วตอนนั้นเองยังไม่มีกฎด้วยว่าแชมป์เก่าได้ไปโดยอัตโนมัติเนื่องจากทางยูฟ่าคงคิดไม่ถึงว่าทีมที่ได้แชมป์ UCL จะไม่สามารถจบ Top 4 ได้ ซึ่งระหว่างเส้นทางการลุ้นแชมป์ทางยูฟ่าก็ยังปฏิเสธการตอบคำถามมาโดยตลอดจนกระทั่งลิเวอร์พูลได้แชมป์ฤดูกาลถัดมายังต้องไปเตะรอบคัดเลือกตั้งแต่รอบแรก
ผมสารภาพตามตรงว่าในรอบที่ต้องเจอกับยูเว่และเชลซีนี่ไม่มั่นใจเลยแม้แต่นิดเดียว แต่การที่พลิ๊กล๊อคชนะสองทีมนี้มาได้ทำให้ในรอบชิงกับ AC Milan นั้นมั่นใจมากๆว่าเราจะสามารถคว้าแชมป์ได้ และถ้วยนี้ก็สำคัญมากๆเพราะว่าถ้าพลาดแพ้ขึ้นมานอกจากเราจะไม่ได้แชมป์แล้วในปีต่อไปเรายังไม่มีโอกาสมาแก้ตัวด้วย และจบครึ่งแรกไปด้วยการโดนนำที่สกอร์ 3-0
ลิเวอร์พูลแก้เกมด้วยการเปลี่ยนมิดฟิลด์มากประสบการณ์ Dietma Hamann ลงแทน Steve Finnan ที่มีอาการบาดเจ็บพร้อมปรับแผนจาก 4-5-1 มาเป็น 3-6-1 เพื่อสู้กับเกมตรงกลางของ AC Milan และไม่ถึง 10 นาทีในครึ่งหลังประตูของความหวังก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อ Steven Gerrard โหม่งบอลสบัดเข้าเสาสองไปได้ พร้อมกับความหวังเล็กๆก่อนที่ Vladimir Smicer จะมากดประตูที่สองเข้าไป ซึ่งถึงตรงนี้มันเต็มไปด้วยทั้งความหวังที่จะตีเสมอให้ได้หรือว่าถ้าจบลงตรงนี้ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว แต่อีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้น Xabi Alonso ก็ยิงซ้ำลูกจุดโทษเข้าไปตีเสมอเป็น 3-3
ลิเวอร์พูลใช้เวลาเพียงแค่ 6 นาทีตีเสมอเอซี มิลานได้ ซึ่งน่าจะเป็นแค่ 6 นาทีใน 120 นาทีที่ลิเวอร์พูลทำได้ดีกว่าในคืนนั้น ยิ่งช่วงท้ายของการต่อเวลาที่ Jersey Dudek ดับเบิ้ลเซฟลูกโหม่งและลูกซ้ำระยะจ่อๆของ Andriy Shevchenko ไว้ได้อย่างเหลือเชื่อจนผมเองมั่นใจเลยว่าถ้าลูกแบบนี้เรายังไม่เสียประตูเกมคืนนี้เราจะชนะ และช่วงบีบหัวใจที่สุดก็มาถึงในการดวลจุดโทษและนี่คงไม่ใช่วันของยอดศูนย์หน้าชาวยูเครนจริงๆเมื่อเขาไม่สามารถยิงผ่านมือ Dudek ในการยิงเป็นคนสุดท้ายของ AC Milan ทำให้ Liverpool คว้าแชมป์ Uefa Champion League กับสุดยอดปาฏิหารย์ในปี 2005 ณ กรุงอิสตันบูลไปได้ในที่สุด
นับเป็นเวลากว่า 14 ปีในการได้เฉลิมฉลองถ้วยหูโตใบใหญ่สัญลักษณ์ของการได้เป็นเจ้ายุโรปอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อเลยว่ารูปที่มุมภาพ บรรยากาศแทบจะเหมือนกันทุกประการกับใช้เวลาห่างกันกว่าทศวรรษ จากนี้ก็เหลืออีกแค่ถ้วยเดียวแล้วที่เรายังไม่เคยได้สัมผัส ที่ฤดูกาลนี้เราแพ้แชมป์ไปแค่แต้มเดียวเท่านั้น หวังว่าช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2020 ผมจะได้มีโอกาสมาตั้งกระทู้ "30 ปีที่รอคอย" เป็นกระทู้ยาวๆแบบนี้บ้างนะ เชียร์ไปด้วยกันครับผม You'll Never Walk Alone