นี่น่าจะเป็นการเขียนที่ยาวที่สุดของเราตั้งแต่เล่นมา จริงๆตั้งใจจะเขียนตั้งแต่กลับถึงบ้านเมื่อคืนนี้ แต่แล้วการเขียนไปหาภาพประกอบไป เช็คข้อมูลเพื่อความไม่ผิดพลาดอีกทีก็ทำให้พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว นอนก่อนเถอะค่อยตื่นขึ้นมาเขียนใหม่
ย้อนกลับไป 11 ปีที่แล้วในฤดูกาล 2006/07 ลูกทีมของราฟา เบนิเตซสามารถเข้ารอบชิง UCL ได้อีกครั้งพร้อมความหวังในการเป็น
แชมป์ 2 สมัย ใน 3 ฤดูกาล แต่แล้วผลการแข่งขันก็ไม่เป็นใจเมื่อเราแพ้ไป 2-1 จากการยิงของพี่กุ้งอินซากี้ โดยเราได้ประตูตีไข่แตกปลอบใจจากเดิร์ค เคาท์
หลังจากนั้นมาลิเวอร์พูลก็ยังคงยึดพื้นที่ใน UCL ได้เสมอ แต่ก็มาตกรอบรองกับเชลซีในปีถัดมา และหนึ่งปีหลังจากนั้นก็ยังคงแพ้เชลซีเช่นเดิมในรอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งในปี 2008/09 นี้เองก็เป็นปีที่ลิเวอร์พูลมีโอกาส
ได้ลุ้นแชมป์ลีคกับเค้าบ้าง แต่สุดท้ายเราก็ได้แค่รองแชมป์โดยแพ้ลูกทีมของเซอร์ อเล็ค เฟอร์กูสันไป 4 คะแนน
ซึ่งผมมั่นใจเลยนะว่าแฟนลิเวอร์พูลจริงๆมีความถวิลหาถ้วยพรีเมียร์มากกว่าถ้วยหูโตอีกด้วยซ็ำ เพราะเหมือนเป็นถ้วยที่เรายังไม่สามารถปลดล้อคได้จริงๆ เมื่อฤดูกาล 2008/09 ได้รองแชมป์ จึงไม่แปลกเลยที่แฟนหงส์จะขอตั้งความหวังในฤดูกาลถัดมาที่จะได้สัมผัสถ้วยนี้สักครั้ง
แต่จากปัญหาภายในระหว่างเอลบอสกับเจ้าของสโมสรในตอนนั้นเรียกได้ว่าเป็นจดเริ่มต้นการออกทะเลสู่มหาสมุทรจริงๆ เมื่อลิเวอร์พูลตกรอบแบ่งกลุ่มเป็นครั้งแรกในยุคของราฟาเบนิเตซ ก่อนที่จะไปพ่ายให้กับแอทเลติโก้มาดริดในรอบรองถ้วยยูฟ่าคัพหรือยูโรป้าคัพในปัจจุบัน และอันดับในลีคจากที่ฤดูกาลก่อนเรามีความหวังจบถึงอันดับ 2 แต่ปีนี้
อันดับเรารูดตกลงมาอยู่อันดับ 7 พร้อมกับการที่ราฟาถูกปลดในที่สุด
จากผลงานของราฟาตลอดการคุมทีมให้ลิเวอร์พูล แต่ฤดูกาลสุดท้ายกลับไปไม่เป็นทรงเลย สาเหตุหลักๆน่าจะมาจากการเสียอลองโซ่ให้กับมาดริด และตัวที่มาแทนอย่างอาควิลานี่ก็ไม่สามารถทดแทนได้ ทำให้ตอนนั้นกองเชียร์ลิเวอร์พูลเองส่วนใหญ่ก็แบ่งเป็นสองฝ่ายระหว่างสนับสนุนและขับไล่เลยก็ว่าได้ แต่สุดท้ายก็ต้องไปจริงๆด้วยเหตุผลเรื่องความบาดหมาง ถ้าเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันผมว่าตอนนั้นราฟาทะเลาะกับสองปลิงมะกันมากกว่าคอนเต้กับบอร์ดตอนนี้อีกนะ
สถานการณ์ของลิเวอร์พูลตอนนั้นจากลุ้นแชมป์อยู่ดีๆกลายเป็นช่วงเลวร้ายสุดๆ ภายในเวลาฤดูกาลเดียว มีข่าวนอกสนามของสโมสรออกมาทางลบมากมาย ทั้งเรื่องการสร้างสนามใหม่ที่สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงแค่โครงการลมๆแล้งๆขายฝัน(โดยส่วนตัวไม่อยากให้ย้าย เอาที่มีอยู่นี่แหละขยายได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ก็พอ) ตอนนั้นเท่าที่จำได้ข่าวมีไปถึงขั้นที่ตัวเลขของสโมสรติดลบ จนถึงขั้นที่ว่ามีโอกาสโดนปรับแต้ม
หรือแม้กระทั่งต้องเอาสโมสรไปรีไฟแนนซ์ ซึ่งถ้าไม่ผ่านอาจถึงขั้นไม่ได้เล่นในพรีเมียร์ต่อหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก็ผ่านมาได้แบบกระท่อนกระแท่น
และเมื่อราฟาออกไปก็ต้องมีคนใหม่เข้ามาแทน นั่นก็คือรอย ฮอดสัน ซึ่งทำผลงานได้ดีกับฟูแล่ม ตอนนั้นได้แต่อุทานแบบบ้าไปแล้วเลย คือจริงอยู่ว่าฮอดสันทำผลงานกับฟูแล่มได้ดี คือไม่ได้ดูถูกฟูแล่มนะ แต่นั่นคือฟูแล่มไง แล้วแฟนบอลอย่างเราจะทำอะไรได้ล่ะ มาแล้วยังไงก็ต้องเชียร์ ผลงานนี่เรียกได้ว่าอีกนิดจะไปอยู่กับทีมหนีตกชั้นแล้วก็ว่าได้
แต่ก็ยังมีนิมิตรหมายอันดีเมื่ออย่างน้อยสองปลิงมะกันก็ได้ออกไป โดยเป็นเศรษฐีมะกันเจ้าใหม่เข้ามาคือกลุ่ม FSG ซึ่งแน่นอนแฟนหงส์ไม่มีใครอุ่นใจเลย พูดง่ายๆคือขยาดกับเจ้าของที่เป็นอเมริกันไปแล้ว แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา FSG ก็แสดงให้เห็นถึงความจริงจังกับการสนับสนุนให้สโมสรก้าวหน้านะ
การมาของ FSG เพียงแปปเดียวก็เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนผู้จัดการทีมก่อนเลย โดยแต่งตั้งตำนานของทีมอย่างเคนนี่ ดัลกลิชกลับมาคุมทีมอีกครั้ง ตอนนั้นเรียกได้ว่าบรรยากาศดูดีขึ้นมากเลยทีเดียว แต่ก็น่าเสียดายที่เราต้องเสียสตาร์ในทีมอย่างเฟอนันโดตอเรสไปให้กับเชลซี สุดท้ายเราจบฤดูกาลในตำแหน่งที่ 6 ในลีค
เข้าสู่ฤดูกาล 2011/12 ผลงานในลีคออกทะเลอีกครั้งเมื่อจบถึงอันดับ 8 แต่ก็ยังพอมีเรื่องดีๆอยู่บ้างเมื่อสามารถคว้า
แชมป์ลีคคัพมาได้ และแอบได้ลุ้นดับเบิ้ลแชมป์เมื่อเข้าสู่รอบชิง FA Cup แต่ก็พลาดท่าให้กับเชลซีอย่างน่าเสียดาย
ถึงแม้ว่าจะมีถ้วยติดไม้ติดมืออย่างไร แต่ผลงานในลีคที่ย่ำแย่ก็ถึงเวลาของการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดยในครั้งนี้เป็นกุนซือหนุ่มจากสวอนซีนาม Brendan Rodgers
การมาของรอดเจอร์นั้นเรียกได้ว่าลิเวอร์พูลมีรูปแบบการเล่นที่เปลี่ยนไปเลยก็ว่าได้ เห็นได้ชัดจากการเล่นบอลบนพื้นมากขึ้น ถึงแม้จะตะกุกตะกักไปหน่อยก็เถอะ ผลงานในปีแรกก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้นเท่าไหร่ เมื่อจบอันดับ 7 พร้อมกับข่าวลือหนาหูกับการจะโดนดูดสตาร์อีกครั้งเมื่อหลุย ซัวเรส ตกเป็นข่าวกับอาร์เซน่อล
แต่ก็ยังเป็นโชคดีของลิเวอร์พูลเมื่อสามารถรั้งซัวเรสไว้ได้ แม้ว่าในช่วงเปิดฤดูกาล 2013/14 จะไม่มีศูนย์หน้ารายนี้จากการโดนแบนหลังจากไปกัดแขนอิวาโนวิชในเกมส์กับเชลซีในฤดูกาลก่อนก็ตาม
และในฤดูกาลนี้เองเป็นปีที่ลิเวอร์พูลได้เชียร์บอลกันสนุกอีกครั้งพร้อมกับประโยคเด็ด
"ยิงมา ยิงกลับ ไม่โกง" เป็นการได้ลุ้นแชมป์ลีตแบบมีลุ้นที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะสถานการณ์ 3 เกมส์สุดท้ายนั้นเรียกได้ว่าเรากุมความได้เปรียบไว้แล้ว แต่นั่นแหละอะไรๆมันไม่เป็นอย่างหวัง
ทั้งความผิดพลาดในเกมส์กับเชลซีที่ไม่รู้ว่าอดีตกัปตันลิเวอร์พูลจะนอนฝันร้ายถึงวันนั้นไปอีกนานเท่าไหร่ และการพลาดโดนตีเสมอในเกมส์กับคริสตัล พาเหรด
จบฤดูกาลลิเวอร์พูลเสียสตาร์อีกครั้งเมื่อซัวเรสได้ย้ายสู่บาร์เซโลน่า และเหล่านักเตะที่ซื้อมาทดแทนก็เรียกได้ว่า ไม่สามารถทดแทนการจากไปของซัวเรสได้เลย แต่ที่น่าใจหายที่สุดหลังจบฤดูกาล 2014/15 ก็คือการที่
Mr.Liverpool Steven Gerrard เดินออกจากรั้วแอนฟิลด์ ผมยังคงจำคำพูดของเจอราร์ดในวันอำลาสโมสรได้คร่าวๆว่า การได้ลงเกมส์แรกกับลิเวอร์พูลนั้นเป็นความภูมิใจที่สุด และหลังจากนั้นคือโบนัส
การสวมปลอกแขนกว่า 1 ทศวรรษ การที่ใครสักคนจะขึ้นมาแทนนั้นเรียกได้ว่ากดดันมากๆ แล้วยิ่งสุดท้ายกลายเป็นผู้เล่นตำแหน่งเดียวกัน สัญชาติเดียวกัน อย่างจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ยิ่งต้องรับความกดดันไปเต็มๆ ส่วนตัวผมว่ายังไงนาทีนั้นเฮนโด้ก็เหมาะสุด เพราะที่ซีเนียร์กว่าก็เป็นสเคอเทล กับลูตัส ซึ่งลงบ้างไม่ลงบ้าง ที่สำคัญเฮนโด้ยังพิสูจน์ตัวเองจากนักเตะถูกโละ มากลายเป็นตัวหลักได้ และตอนนี้จะมาเปลี่ยนกลางคันก็ดูจะไม่เหมาะสม
จบเรื่องเฮนโด้กลับมาที่ผลงานในฤดูกาลถัดมากันต่อ ผลงานของลิเวอร์พูลยังคงออกทะเลต่อเนื่องจนการเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นกลางฤดูกาลอีกครั้ง เมื่อกุนซือคนใหม่นี้เป็นคนที่แฟนๆลิเวอร์พูลอยากได้มากที่สุด และถึงตอนนี้ก็ไม่อยากให้จากไปไหน
Jurgen Klopp
Klopp เข้ามาปีแรกพร้อมกับการให้โอกาสนักเตะทุกคน โดยไม่เสริมตัวเลยก็ว่าได้ เพราะมีเพียงแค่การยืม Caulker มาแต่ก็แทบจะไม่ได้ลง ออกแนวซื้อเซนเตอร์มาเล่นกองหน้ายามจำเป็นมากกว่าด้วยซ้ำ แต่แล้วปีนี้แหละที่ทำให้แฟนๆหงส์เกือบได้เฮกันอีกครั้งแต่สุดท้ายเราก็ได้เป็นแค่ Double รองแชมป์ จากการพ่ายดวลจุดโทษต่อแมนซิตี้ และแพ้ให้กับเซบิย่า 3-1 ในรอบชิงยูโรป้าคัพ
จากการที่ฤดูกาลก่อนจบที่ 8 ในลีค และไม่ได้บอลถ้วยใดๆทำให้ฤดูกาล 2016/17 เป็นอีกครั้งที่ได้เล่นแค่ในประเทศ การมาของมาเน่นั้นทำให้เกมส์รุกของลิเวอร์พูลดุดันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เกมส์รับของทีมก็เรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤตเช่นกัน แต่ก็ยังดีที่เราสามารถประคองตัวจบอันดับ 4 มาเล่นในถ้วย UCL ได้
เขียนมาตั้งยาวตอนนี้ถึงฤดูกาลปัจจุบันที่พึ่งจบไปสักที ฤดูกาล 2017/18 นั้นส่วนตัวผมรู้สึกเหมือนฤดูกาลปิดลงก่อนที่มันจะเริ่มด้วยซ้ำ อารมณ์มันไม่ต่างจากยุคก่อนๆหน้านี้เลย การที่กำลังจะเสียคูตินโญ่ ซุปเปอร์สตาร์ในทีมอีกครั้ง, การพลาดเป้าหมายหลักตอนซัมเมอร์อย่าง ฟานไดจ์และนาบี้เกอิต้า การได้ตัวนักเตะเข้ามาอย่างโรเบิร์ตสันแบคซ้ายทีมตกชั้น โมซาล่าปีกที่ล้มเหลวจากการเคยเล่นในอังกฤษ ออคเลท แชมเบอร์เลน ที่วูบวาบมาเป็นพักๆกับอาร์เซน่อล คือหลายๆสิ่งนี่เรียกได้ว่าดูไม่เป้นใจตั้งแต่เปิดฤดูกาลเลย
ยังไม่รวมถึงการโดนซิตี้และสเปอร์ยิงไปสะพรุนในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก
แต่ฟอร์มอันสุดยอดของโมซาล่าและการได้ฟานไดจ์เข้ามาช่วงตลาดหน้าหนาวบวกกับนักเตะหลายๆคนที่ปีนี้ถือว่าทำได้ดีมากๆ ก็ทำให้ทีมยังรักษาท้อปโฟร์เอาไว้ได้ และการผ่านเข้ามาสู่รอบชิงชนะเลิศ
Uefa Champion League อีกครั้งในรอบ 11 ปี
ก่อนเกมส์จะเริ่ม 1 สัปดาห์เชื่อว่าแฟนลิเวอร์พูลหลายๆคนต่างกระอักกระอ่วน อยากให้เกมส์มาถึงเร็วๆ จะได้จบๆกันเสียที ความรู้สึกตื่นเต้นแบบนี้เชื่อว่าไม่ได้มีแค่แฟนบอล เพราะหากพูดถึงกันในเรื่องของ
ประสบการณ์นักเตะ นักเตะที่บอกว่ายังเป็นดาวรุ่งอยู่อย่างเช่นอาเซนซิโอ้ ยังมีประสบการณ์การเล่น UCL มากกว่านักเตะที่อายุเยอะสุดในสนามของลิเวอร์พูลอย่างเจมส์ มิลเนอร์ซะอีก
ในส่วนของรูปเกมส์และความผิดพลาดส่วนบุคคลนั้นน่าจะมีหลายๆท่านได้พูดไปแล้ว ยอมรับเลยว่าเป็นครั้งที่เสียใจที่สุดตั้งแต่ชิงมาเลยก็ว่าได้ ไม่เคยคิดว่าครั้งนึงในชีวิตจะได้ไปร้องไห้หน้าห้างจนเพื่อนต้องได้มาดึงลุกกลับบ้าน ระหว่างเดินก็ยังร้องอยู่ไม่ได้ต่างจากซาล่าในตอนที่เดินออกจากสนามเลย มันจุกอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ เมื่อเราทำได้ดีแล้ว แต่มันยังดีไม่มากพอสำหรับคำว่าแชมป์ ขอแสดงความยินดีกับเรียลมาดริดด้วย เกมส์นี้ขอชมโมดริชเป็นพิเศษเลย คือเล่นดีมาก ดีจนรู้สึกว่าถ้ากองกลางแบบนี้หงส์จะไปหาได้จากไหนบ้าง
สุดท้ายนี้ก็คงได้แต่บอกว่าสู้กันต่อไป ฤดูกาลหน้ายังมีให้พวกเราต้องสู่ใหม่ การอกหักจากที่เอเธนสู่เคียฟในเวลา 11 ปีกับบทบาทรองแชมป์ถึง 7 ครั้ง โดยได้ถ้วยมาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
วันนี้ถ้าจะเลือกเสื้อตัวไหนในการออกไปเดินนอกบ้านผมจะยังคงใส่เสื้อลิเวอร์พูล และถ้ามีใครถามว่าไม่อายหรอ ผมจะตอบเขาไปว่า
"การได้เชียร์ลิเวอร์พูลคือสิ่งภูมิใจมากที่สุด ที่เหลือจากนั้นถือเป็นโบนัส และผมคงอายตัวเองมากกว่าที่ไม่ออกมาสนับสนุนทีมตัวเองในวันที่ทีมแพ้"
ขอบคุณที่อ่านกันมาถึงตรงนี้ และหากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับผม You'll Never Walk Alone