สวัสดีเพื่อนๆ ชาว SS ทุกคนคร้าบบ..
วันนี้ผมมีภาพและเรื่องราวมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันหลังจากกระทู้ที่ผมไปเที่ยวรัสเซียมาครับ ทริปนี้กระผมขอฝอยยาวๆหน่อยแล้วกันนะครับ (ใครนั่งอึอยู่ก็อ่านกันเพลินๆไปเลย)
แต่ทริปนี้ผมได้เลือกไปเที่ยวเซิ่นเจิ้นเป็นเวลา 6 วัน 5 คืนครับ (20-25 dec 2017)
ซึ่งผมได้วางแผนไปเองกับแฟน 2คน (เนื่องจากค่อนข้างมั่นใจเพราะไปเมืองนี้ประมาณ 3 รอบได้แล้ว ไปเอง 2 รอบ ไปกับทัวร์อีก 1 รอบ เอาวะไม่น่าจะพาหลง
)
ซึ่งผมขอบอกไว้ก่อนเลยว่า นี่แทบจะเป็นการเจาะลึกเมืองเซิ่นเจิ้นเลยก็ว่าได้ เพราะอะไรที่ ทัวร์พาไปดู ผมไม่ไป แต่เราจะไปเที่ยวสไตล์ คนที่อยู่เมืองนี้เขาไปกัน
และจุดมุ่งหมายของทริปนี้ คือ!!!
1.การพาแฟนไปกินอาหารกวางตุ้งอย่างไม่หยุดยั้ง(เพราะถูกกว่าฮ่องกงแล้วรสชาติสูสีกัน)
2.การพาแฟนไปเที่ยวและช้อปปิ้งในประเทศที่แฟนกลัวเหลือเกิน ว่าจะเหมือนเกาหลีเหนือ เพราะแฟนไม่เคยไปจีนเลยครับ และได้แต่รับรู้ข่าวสารจากพวก youlike ที่ทำให้เขาคิดว่าประเทศจีนเป็นประเทศที่น่ากลัว
3.ข้อสุดท้ายคือเรื่องส่วนตัวของผมครับ คือการได้ไปหาพี่สาวที่ทำงานอยู่ที่นู่น
โดยที่ค่าใช้จ่ายมีดังนี้ครับ สำหรับการไปเซิ่นเจิ้น 6 วัน 5 คืน สำหรับ 1 คน
1.ค่าวีซ่าประเทศจีน 1,500 บาท
2.ค่าตั๋วเครื่องบิน Shenzhen airline ประมาณ 7,700 บาท
3.ค่าโรงแรม 1 ห้องคืนละ 348 rmb = 1740 บาท/คืน
นอน 5 คืน = 8,700 บาท แต่หารสองก็จะเหลือ คนละ 4,350 บาท
รวมค่าใช้จ่ายก่อนเดินทาง = ประมาณ 13,550 บาทครับ
4.ผมแลกเงินไปเพิ่มเติมประมาณ 10,000 บาท ส่วนแฟนผมแลกเพิ่มไปอีก 20,000
บาทครับ
ซึ่งความประจวบเหมาะของทริปนี้ คือ ผมทะเลาะกับแฟนก่อนไปประมาณ 1-2 วันครับ ทะเลาะกันหนักมากจนเกือบจะเลิกกัน แต่สุดท้ายเราก็ดีกันจนได้ก่อนจะถึงวันไปซึ่งคือวันที่ 20 ครับ แต่ประเด็นคือพวกผมทั้งคู่ดันจำวันขึ้นเครื่องผิดครับ
ซึ่งที่ผมกับแฟนระลึกเรื่องนี้ได้เพราะเพื่อนกวนตีนครับ ว่าเห้ยยย แน่ใจป๊าวว พวกมึงตกเครื่องแน่ 55555
ความชิบหายบังเกิดตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเครื่องครับ
ผมและแฟนจำวันขึ้นเครื่องผิด ผมกับแฟนบอกคนที่บ้านว่าไปวันที่ 20 ทั้งคู่ ซึ่งถูกต้องครับ ไปวันที่ 20 แต่พวกผมบินวันที่ 20 ตอนตี 2.45 นั่นแสดงว่าผมต้องออกจากบ้านไปสนามบินประมาณ 4 ทุ่มของวันที่ 19 แต่วันที่ 19 ตอนทุ่มกว่าๆผมกับแฟนยังนั่งเม้าท์กับเพื่อนที่ เซนทรัลพระราม 3 อยู่เลย แต่พอรู้ตัวผมก็รีบกินข้าวแล้วกลับบ้านไปจัดกระเป๋า และไปสนามบินทันทีครับ ซึ่งบอกเลยว่า เป็นวันที่หนักหน่วงมาก
เนื่องจากเราจำวันผิดและแทบไม่ได้นอนกันเลย และต้องยื้อเวลานอนให้ขึ้นเครื่องได้ให้และหลังจากลงเครื่องต้องเที่ยวทันทีครับ
เมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิทุกอย่างเป็นไปด้วยดีครับ ผมและแฟนก็เริ่มทำตามจุดประสงค์กินและช้อป ตั้งแต่สนามบินไทยกันเลยทีเดียว ผมเริ่มกิน และแฟนเริ่มช้อป
ซึ่งทำให้ความชิบหายกลับมาอีกครั้งหนึ่งครับ
คือผมปวดท้องอึมากกกกกกก...
ซึ่งทำให้ผมเกือบตกเครื่องครั้ง มีเวลา 5 นาทีสุดท้ายสำหรับการที่ ผมกับแฟนจะวิ่งจากห้องน้ำที่โคตรไกลไปที่เกต แต่ก็ยังทันครับ
เพราะผมวิ่งแซง ไปหาพนักงานก่อน 555555 บอกให้รอแฟนผมแปร้ปนึง
ความชิบหายตั้งแต่ก่อนออกจากไทย ก็มีประมาณนี้ครับ
****เกริ่นก่อนจะอ่านต่อไป ภาพจากกระทู้นี้ ผมกับแฟนใช้โทรศัพท์ถ่ายทั้งหมดนะครับ ซึ่งประกอบไปด้วย Huawei mate 8 และ Iphone 7 ครับผม****
...เริ่มต้นทริปกินและช้อป (เที่ยวนิ้ดดดนึง)
คำประกาศของแอร์โฮสเตส ภาษาจีนกำลังบอกว่า เครื่องจะลงครับ จอภาพของเครื่องบินก็ได้เปิดวีดีโอ แนะนำการผ่าน ตม. ของประเทศจีน ซึ่งผมขอบอกว่า มันเปิดวีดีโอ 20-30 ปีที่แล้วแน่นอนครับ ตม.น่ากลัวมาก ซึ่งแฟนของผมยิ่งดูแล้ว ยิ่งรู้สึกกังวลว่าไอ่ประเทศนี้เป็นเกาหลีเหนือแน่ๆ แต่เมื่อลงเครื่องก็ลงความกังวลไปครับเนื่องจาก สนามบินของเมืองเซิ่นเจิ้นเนี่ย ถูกออกแบบมาให้โมเดิร์นมากครับ บางทีผมก็รู้สึกว่ามัน โมเดิร์นเกินไป 5555555
(ภาพสนามบินครับ อาจจะไม่ชัดนะครับเนื่องจากทริปนี้ผมใช้โทรศัพท์ถ่ายเป็นส่วนมาก)
เมื่อลงเครื่องผมและแฟนก็ผ่าน ตม.ไปด้วยดีครับ แฟนก็เริ่มอุ่นใจขึ้นมาหน่อยว่า เห้ยมันไม่น่ากลัวอย่างที่คิดนะ
แต่ผมก็ยังรู้ว่าเค้าก็ยังกลัวว่าจะเข้าห้องน้ำยากหรือสกปรกอะไรอยู่รึเปล่า
พอออกมาก็มาเจอพี่สาวผมเลยครับ ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลา 6-7 โมงเช้าได้ เราก็นั่งรถไฟใต้ดิน (Shenzhen Metro) ไปยังสถานี Nanshan เพื่อจะไปโรงแรมที่อยู่ตรงข้ามบ้านพี่ของผมครับ อย่างแรกที่ผมกับแฟนต้องเรียนรู้นั่นคือ!!
การจำทางจากสถานีรถไฟฟ้าไปโรงแรมครับ
ซึ่งเดินมานิดนึงสิ่งที่ทำให้ผมจำติดตาได้นั่นก็คือ SEX SHOP ครับผม
และมันก็กลายเป็นเป้าหมายของทริปนี้ครับ ว่าผมจะต้องเข้าให้ได้
หลังจากนั้นก็ไปยังโรงแรมครับ ซึ่งโรงแรมที่ผมพักมีชื่อว่า RANZ HOTEL ครับ
ดูจากข้างนอกจะดูกลมกลืนไปกับร้านขายบุหรี่ แต่ข้างในดูดีนะเอ้ออ เป็นโรงแรมบ้านๆที่พยายามเอาความ Art มาใส่ในทุกๆจุดของโรงแรมครับ
(พี่สาวผมและความพยายาม Art ของโรงแรมครับ)
ข้อดีของโรงแรมนี้คือ
-สะอาดครับ
หรือความบ้าบอของผมที่ชอบโรงแรมนี้คือความอยากที่จะ Art ได้สุดทางครับ
ตัวอย่างเช่น
-ห้องไม่มีตู้เสื้อผ้า แต่จะเป็นไม้แขน ติดอยู่กับผนังเลย เมื่อเราเอาเสื้อไปแขวน
จะดูฮิปเตอร์มาก หรือว่าการที่แยก ซิงค์ล้างมือออกจากห้องน้ำ งงล่ะสิ คือว่าเปิดประตูห้องมาเจอซิงค์ล้างมือเฉยเลย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสีย
หลังจากเช็คอินเสร็จครับ พี่ผมก็ต้องรีบไปทำงานแล้วเนื่องจากแกต้องเข้างานประมาณ 9 โมงเช้า พี่ผมเลยบอกว่า เห้ยถ้าหิว จากโรงแรมเดินเลี้ยวซ้ายมีร้านของกิน เยอะเลย
ลองหาดู แถวๆนั้น (พี่เชื่อว่าผมจะเอาตัวรอดได้สินะ 5555555)
เมื่อเดินเลี้ยวซ้ายไปก็พบกับความช็อคครับ เมื่อแฟนผมเจอร้านนี้
(หน้าผู้พันแซนเลอร์ดูจีนขึ้นเยอะนะครับ 5555555)
แต่ผมก็ยังไม่กินร้านนี้ครับ และเมื่อเดินไปอีกสักพักหนึ่งก็เจอร้านติ่มซำที่ดูสะอาดสะอ้านและไว้ใจได้ครับ
ซึ่งเมื่อผมเดินเข้าไป ก็ต้อง งงแตกครับ เพราะเมนูที่เขาให้เราสั่งมันไม่มีรูปและเป็นภาษาจีนทั้งหมด ซึ่งผมต้องใช้ google translate ผสมกับความรู้ภาษาจีนแบบงูๆปลาๆ ในการสั่งอาหาร ซึ่งปรากฏว่า ประสบความสำเร็จครับ ฮ่าาาๆๆๆๆ
อาหารร้านนี้อร่อยมากครับ ให้ผ่านเลยล่ะ สะอาดมากๆด้วย
(ภาพร้านติ่มซำ อาหารมื้อแรกในเซิ่นเจิ้น)
(ภาพเมนูที่มีแต่ตัวเลขและภาษาจีน ส่วนภาพในเมนูนี่ไม่ได้อยากกินซ๊ากอย่าง 5555)
(ภาพอาหารกว้างๆครับ สั่งฮะเก๋า ซุปถั่วแดง แล้วก็ เสี่ยวหลงเปามากิน)
(และนี่คือเมนูขั้นเทพของร้านนี้ครับ เนื้อพริกไทยดำ
ในราคา 18 rmb)
หลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จ พี่บอกก็ได้ wechat บอกกับผมว่า เห้ยยลองไปเที่ยว Sea World สิ มันเท่ดีนะ ผมก็บอกจัดไป แต่ขอไปนอนพักที่โรงแรมก่อนเนื่องจากแทบไม่ได้นอนมาเลย สรุปว่าหลับเป็นตายไป 3 ชั่วโมง
และแล้วผมก็เดินทางไป Sea World โดยรถไฟใต้ดินครับ
Sea World ก็คือ ห้างครับแต่เป็นห้างกลางแจ้ง ถ้าเป็นบ้านเราก็เอเชียทีค ซึ่งไอ่เจ้าห้างนี่เนี่ย มันมีความพีคคือเค้าสร้างเรือจำลองขึ้นมาโต้งๆเลยครับ ไว้เป็นโรงแรม ร้านอาหาร และลานเบียร์ ซึ่งก็เท่ๆดีครับ
(ภาพ Sea World เมื่อขึ้นมาจากรถไฟใต้ดินครับ)
(มีความพยายามในการสร้างตึกแปลกๆสูงมากสำหรับเมืองนี้ 5555555)
(ภาพ Sea World แบบกว้างๆครับ)
พอผมไปถึงก็เริ่มจะหิวข้าวเที่ยงแล้วก็เลยตัดสินใจว่ามื้อนี้ขอประหยัดๆหน่อยแล้วกัน เนื่องจากเดี๋ยวมื้อเย็นน่าจะต้องจัดหนักกับพี่สาว เลยกินแมคกันครับ ซึ่งแมคที่จีนเนี่ย มันจะมีเมนูเด็ดอยู่ก็คือ เบอร์เกอร์เนื้อ 2 ชั้นและไส้กรอกอีก 2 ชิ้น พร้อมเป๊ปซี่ 1 แก้ว ในราคา 17 rmb ครับผ๊มม
(ภาพโฆษณาสุดขายฝัน โดย McDonald)
(ภาพแห่งความเป็นจริง ซึ่งอาจจะน่ากินไม่เท่า แต่รสชาตินี่โคตรแจ่มเลยครับคุณ)
(และอีกอย่างหนึ่งคือเฟรนด์ฟรายราสซอสสปาเก็ตตี้ ซึ่งรสชาติบ้านมากๆ แต่หลงซื้อเพราะรูปจากโฆษณา 5555555
)
หลังจากที่กินข้าวเที่ยงเสร็จครับ ก็เป็นเวลาของการเดินย่อย และการถ่ายรูปเล่นครับผม ซึ่ง จาก Sea World เนี่ยเดินไปเรื่อยๆ เราก็จะเจอสวนธารณะที่สวยมากๆเลยครับ ให้บรรยากาศแบบยุโรปสุดๆ แดดอ่อนๆ ทะเล และต้นปาล์ม
(ภาพบรรยากาศครับผม ที่เห็นอีกฝั่งเป็นภูเขานั่นก็คือเกาะฮ่องกงครับผม)
(นั่งจิบน้ำ และสูบบุหรี่ไปพลางๆกับบรรยากาศสุดจะชิล)
(ภาพบรรยากาศระหว่างทางไปสวนสาธารณะครับ)
(ภาพบรรยากาศระหว่างทางไปสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นตึกอะไรก็ไม่รู้)
(ตึกด้านหลัง Sea World ครับ)
ถือว่าเป็นสถานที่ที่ชิลที่สุดในเซิ่นเจิ้นแล้วครับ ซึ่งผมก็ได้คุยกับพี่ว่า Sea World ที่ไฮคลาสสุดๆ พี่ผมก็บอกว่าตามนั้นครับ เนื่องจากว่า เป็นย่านที่แพงที่สุดในเมือง และ ฝรั่งอยู่เยอะที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าอยากกินอาหารฝรั่งก็แนะนำให้มาหาร้านในย่านนี้ได้เลยครับ
และหลังจากที่ ผ่อนคลายที่สวนสาธารณะเสร็จ ผมกับแฟนก็มีความคิดที่จะกลับโรงแรมครับ แต่ก็มี ธีมคาเฟ่ร้านหนึ่ง เบรคแฟนผมเอาไว้ นั่นคือ Dollshub Cafe ครับ
ซึ่งร้านนี้มีความฟรุ้งฟริ้งระดับ 10 เต็ม 10 เลยก็ว่าได้ มีธีมคือ การคีบตุ้กตาครับ และยังมี น้ำและขนมที่หลากหลายให้เลือกซื้อครับ ซึ่งราคาน้ำแก้วหนึ่งก็ไม่แพงมากครับ เพียงร้อยกว่าบาทเท่านั้น
(ภาพบรรยากาศร้าน Dollshub ครับ)
(ระดับความฟรุ้งฟริ๊งขั้น 10 ส่วนผู้ชายเสื้อแดงนั่นผมเอง ไม่ใช่ชาวจีนที่ไหน)
(ตู้กดตุ๊กตา ในร้านครับ ซึ่งสามารถจับตุ๊กตาได้ครั้งละ 1 rmb หรือ 5 บาทครับซึ่งผมแนะนำว่า อย่าไปจับครับ เพราะโอกาสยากมากที่จะได้)
(มุมน่ารักๆ ภายในร้านครับ ผมรับรองว่าถ้าท่านพาสาวๆไปนี่ติดใจแน่นอน)
(ร้านนี่น่ารักจนผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเถื่อนๆคนนึงในร้านเลยครับ ค่อยยังชั่วมาวันธรรมดาซึ่ง ทั้งร้านมีแค่ผมกับแฟนครับ ส่วนตัวสุดๆ)
(นี่คือชานมพุดดิ้งแก้วละร้อยกว่าบาทครับ แต่รับรองว่ากินไปแก้วนึงอิ่มแน่นอน)
หลังจากที่วนเวียนในคาเฟ่ฟรุ๊งฟริ๊งอยู่นาน พอจะกลับขึ้นไปเข้าห้องน้ำที่ชั้นบนดิน ก็มืดแล้วครับ พอตอนกลางคืน ผมว่าสวยงามใช่ย่อยเลยครับที่นี่ ถือว่าเป็นลานเบียร์ชั้นดีเลยครับ
(ภาพเรือลานเบียร์ยามค่ำ)
(ร้านอาหารสายชิลต่างๆ)
(บรรยากาศคนละฟีลกับตอนกลางวันเลยครับ)
ถัดมาครับเมื่อถึงเวลานัดซึ่งผมต้องนั่งจากรถไฟใต้ดิน จากสถานี Sea World กลับไปยังโรงแรมเพื่อนัดทานชาบูแกะกับพี่สาวครับ ซึ่งร้านนี้พี่ผมได้บอกไว้ว่า แจ่มและถูกสุดๆครับ ชื่อร้าน คือ เสี่ยวเฟยหยางครับผ๊ม อยู่สถานี TaoYuan ออกประตู A ครับ ซึ่งอาหารหลักๆที่ผมสั่งก็คือ เนื้อแกะ เนื้อวัว และกุ้งสับครับ ส่วนเมนูแป้งผมขอแนะนำว่านั่งบะหมี่ของร้านมากินรับรองครับว่า ไม่ธรรมดา
(ภาพอาหารรวมๆครับ)
(เนื้อสุดอร่อยหอมนุ่มนวล ซึ่งดีต่อลิ้นเรามาก และไม่มีกลิ่นคาวกลิ่นสาบ ด้วยครับ)
ซึ่งเมื่อกินมื้อนี้ ราคาก็ตกอยู่ประมาณคนละ 270-300 บาทครับ ไม่เกินนี้ โดยที่กินกันอยู่ 5 คนครับ ซึ่งถือว่าไม่แพงเลย เนื่องจากสั่งมาเยอะม้ากกกกกก
และแล้วก็หมดวันครับ เป็นอันว่าจบวันที่ 1 ของการเดินทาง
เริ่มต้นวันที่สอง ด้วยการแพลนที่จะไปสวนสัตว์ของเมืองเซิ่นเจิ้นกับแฟน ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเยอะเหมือนกัน ซึ่งผมต้องนั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานี Xilihu ครับ หรือชื่อภาษาอังกฤษก็คือ Xili Lake ครับผม โดยที่ค่าเข้าสวนสัตว์ ตกคนละ 240 rmb ครับ หรือ 1200 บาทต่อคน ซึ่งถือว่าแพงเอาเรื่องเลยครับ 555555 แต่ก็นะ แฟนเราอยากดูหมีแพนด้า เราก็ต้องยอมแลกเลือดนิสหน่อยยย ซึ่งตอนแรกเราก็ว่ามันไม่คุ้มหรอกมาสวนสัตว์ อะไรพรรณนี้ แต่เมื่อผมเข้าไปความคิดขอผมก็ได้เปลี่ยนไปครับ
เมื่อออกจากสถานี Xilihu ก็เจอกับความประหลาดครับ เนื่องจากมีคุณป้าหลายคนพยายามที่จะขายน้ำเปล่าให้กับผม บอกตรงๆ ผมก็งงครับ ขายทำไมวะน้ำเปล่า ขวดละ 15บาท ซึ่งคำตอบก็คือ ในสวนสัตว์ราคาของมันแพงมากกกกกก ครับผม น้ำเปล่าจากคุณป้า ขาย 3 rmb ครับ แต่ในสวนสัตว์นั้นขายเรา 8 rmb ซึ่งแพงกว่าเกิน 2 เท่าครับ ซึ่งใครไปก็ อย่าลืมพกน้ำไปเองหรือซื้อน้ำของป้าเค้าก็ดีนะครับ ประหยัดไปเยอะเลยครับ
(ภาพตั๋วของสวนสัตว์นี้ครับผม)
(แผนที่ของสวนสัตว์ครับ)
เมื่อเดินไปตามแผนที่ผมก็เริ่ม ฉงนใจครับ เนื่องจากว่า นี่เรามาสวนสัตว์หรือสวนไก่สวนนกกันแน่ ซึ่งมันมีแต่สัตว์ปีกจริงๆ โซนสัตว์ดุร้ายหรือว่าสัตว์น้ำบอกเลยว่าไปอีกไกลมากครับ แต่ไหนๆเราเสียตังมาแล้วเราต้องเดินในสวนสัตว์นี้ให้คุ้มเพราะฉะนั้นผมจึงรีบเดินออกจากสวนไก่นี้ให้ไวที่สุดครับผม
และเมื่อผมเดินไปยังโซนสัตว์ดุร้าย ผมก็เจอเรื่องเซอร์ไพร้ของสวนสัตว์นี้ครับ นั่นคือการที่มีคุณลุงท่าทางเก๋ามากๆคนหนึ่งยืน ประกาศ อะไรสักอย่าง พร้อมกับรถลูกกรงคู่ใจของเขา ซึ่ง ผมลองตีความด้วยสมองอันน้อยนิดดูแล้ว มันน่าจะเป็นการนั่งรถนี้ ไปให้อาหารสัตว์แบบดิบเถื่อน ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆครับ แต่ว่าเราต้องเสียเงินเพิ่มอีกคนละ 50 rmb ก็ตกคนละ 250 บาทครับ
(ภาพรถลูกกรง ที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้ครับ)
ซึ่งเมื่อเราขึ้นรถเจ้านี่ไปเนี่ย ก็จะรู้สึกเหมือนกับเราเป็นสัตว์ที่ขังอยู่ในกรงแทนครับ ไม่ก็เราอาจจะรู้สึกโดนตำรวจจับ กำลังถูกส่งตัวไปในคุก 5555555
ซึ่ง โซนการนั่งรถคันนี้ก็จะ พบกับสัตว์ต่างๆดังนี้ครับ
1.หมี
2.สิงโต (ตัวผู้,ตัวเมีย)
3.เสือ (เสือโคร่ง,เสือขาว)
4.ไฮยีน่า
ซึ่งกฏของการนั่งรถคันนี้คือ ห้ามแหย่นิ้วออกไปครับ ซึ่งแน่นอน ผมจะไม่แหกกฏครับ
(ภาพแรกของการนั่งรถคือการได้พบกับหมี)
(ต่อมาเป็นสิงโตครับผม)
(และจากนั้นก็เป็นเสือครับ)
(ได้ให้อาหารกับมือด้วยนะเอ้อออ)
หลังจากนั้นผมก็ได้ไปโซนสัตว์น้ำ ดูแมงกระพรุน และโชว์ปลาโลมาต่อครับซึ่งก็ถือว่าซาฟารีเวิร์ลก็มีไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากมายครับ 55555555
แต่กว่าจะเดินถึงทางออกผมกับแฟนก็หิวแล้วครับ เนื่องจากไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า แล้วก็ ไม่อยากจะซื้อในสวนสัตว์กินเพราะแพงแล้วก็มันไม่ได้ดูอร่อยครับผม
แผนต่อไปของผมคือการไปยัง สถานี OCT ครับ นั่นคือ Oversea Chinese Town ครับ ซึ่งพี่ผมบอกเอาไว้ว่า ที่นี่จะมี Art District ครับผมให้ผมไปเดินเล่นหาอะไรกินไปพลางๆก่อน แล้วตอนเย็นค่อยมาเจอกัน
หลังจากที่ถึง OCT แล้ว ผมก็พยายามหา Art District ครับ แต่หายังไงก็หาไม่เจอ เพิ่มเติมคือความหิวเลยแวะเข้าร้านไก่ทอดเกาหลีไปก่อนครับ ซึ่งก็ถือว่ารสชาติไม่เลวเลยครับ
(ระหว่างหาร้านข้าวกิน ก็แวะซื้อนมในร้านขายของชำเล็กๆ กินรองท้องซะก่อน แฟนบอกนมอันนี้เห็นในรีวิว แฟนบอกอร่อยมากครับ ผมซึ่งกินไอ่เจ้ายี่ห้อนี้บ่อยแล้วจึงบอกไปว่า มันจะไม่อร่อยได้ยังไงมันเอานมข้นหวานผสมนมจืดให้เรากิน 555555 ใครอยากลอง ก็ลองซื้อดูครับ กล่องละ 5 บาท)
(ไก่ทอดชุดเซ็ทของร้านนี้ครับ ชื่อร้านคือ BBQ ครับผม ราคาประมาณ 300-400บาท)
(ไส้กรอกของร้านเกาหลีนี้ครับ รสชาติไม่เท่าไหร่สำหรับเมนูนี้ครับผม คือต้องบอกก่อนว่า รสนิยมการกินไส้กรอกที่ไทยกับจีนกินต่างกันมากครับ ไส้กรอกจีนแพงยังไงก็ไม่อร่อยครับสำหรับผม เพิ่มเติมคือน้ำช็อคโกแลตครับ อย่าริอาจสั่งครับ ไม่เคยเจอร้านอร่อยเลย)
และหลังจากที่ทานอาหารเสร็จผมก็ได้ไปยังสถานที่ต่อไปคือ Hi-Tech Park ครับ ซึ่งเป็นย่าน ออฟฟิศอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคของจีน ซึ่งมีห้างเปิดใหม่ครับ ชื่อว่า THE MIXC ครับผม ถือว่าเป็นห้างที่ค่อนข้างหรูเลยล่ะครับ
(ตึกออฟฟิศของ Skyworth ครับ ซึ่งข้างๆบริษัทนี้ก็เป็น TCL)
(ภาพบรรยากาศย่าน Hi-Tech Park ครับ บริษัท TCL ครับผม)
(ภาพบรรยากาศย่าน Hi-Tech Park ครับ ซึ่งย่านนี้มีแต่ตึกสูงๆเลยล่ะครับ)
(ระหว่างทางไปห้าง The MIXC ครับ)
และแล้วก็ถึงห้าง The MIXC ครับผม ซึ่งเป็นห้างที่ใหญ่มากๆแล้วพึ่งเปิดได้เพียงเดือนกว่าๆเองครับ ทำให้ร้านค้าภายในห้างส่วนมากยังจัดโปรลดราคาอยู่ผมเลยจัดของใน ZARA ไปจนรู้สึกว่าตัวเองเงินแทบจะหมดครับผม
(ภาพหน้าห้าง The MIXC ครับ ด้านหน้ามี Uniqlo, UR และ Under Armour ร้านใหญ่อลังการ)
(ภายในห้าง The MIXC ครับผม เว่อร์วังอลังการมาก)
และไฮไลท์ของห้างนี้สำหรับผม ซึ่งเป็นของกินอีกแล้วนั่นก็คือ ร้าน HEYTEA ครับผม นั่นก็คือ ร้านชาชีสนั่นเอง ซึ่งแฟนผมก็บอกว่ามันมีสาขาที่ไทยชื่อว่า Heek อะไรสักอย่างผมก็ไม่แน่ใจ แต่มากินของ Original ก็ถือว่าแจ่มแล้วครับ และที่ไม่ธรรมดาของสาขานี้ก็คือ สาขานี้เป็น HEYTEA PINK ครับผม ก็คือการตกแต่งร้านด้วยสีชมพูครับ (มันน่าตื่นเต้นตรงไหนวะเนี่ย)
(ภาพหน้าร้าน HEYTEA PINK ครับอยู่ติดๆกับ ZARA เลยครับผม)
(ภาพบรรยากาศภายในร้านครับ)
ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า ร้านนี้ดังมากๆๆๆๆ ในจีนครับ คือมาซื้อยังไงก็ต้องต่อคิว ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ต้องต่อคิวครับ แค่ต่อเยอะต่อน้อยเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าช่วงเวลาพีคๆ สามารถต่อคิวเป็นชั่วโมงได้ครับ ถ้าอยากไปชิมเลือกเวลาที่คนน้อยๆจะดีกว่าครับผม
(ชาชีสกับร้านสีชมพูฟรุ้งฟริ๊งครับผม ราคาอยู่ที่ประมาณ 17 rmb ครับผมตกแก้วละ 85 บาท)
** ข้อควรระวัง **
เราไม่มีทางที่จะกินไอ่เจ้าเมนูนี้โดยที่ไม่เลอะเทอะครับผม
เนื่องจากระหว่างรอคิว ผมกับแฟนได้สบประมาทผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่งไว้ว่า ดูคนนั้นสิ หน้าตาอย่างดี ทำไมกินแล้วสกปรกจังวะ
สุดท้ายพอมากินเอง สภาพเป็นอย่างที่เห็นครับ
(เลอะเทอะเละเทะครับผม)
และแล้วก็ถึงเวลานัดทานข้าวเย็นกับพี่สาวครับผม ซึ่งวันนี้ผมกับพี่จะนัดทานข้าวกันที่
COASTAL CITY ครับ ซึ่งต้องไปที่สถานี Houhai ครับผม
เมนูวันนี้คือ กินปลาครับ ซึ่งร้านที่พี่ผมชอบสุดๆในการใช้ชีวิตอยู่ที่จีนนั่นคือร้าน
TANYU ครับผม เป็นการนำปลา 1 ตัวเต็มๆ เลือกรสชาติ เลือกผักที่จะใส่และสั่งข้าวมานั่งกินครับ ซึ่งร้านนี้ก็ถือว่าเป็นร้านชื่อดังร้านหนึ่งเลยครับ ถ้าจะไปกินก็ต้องรอคิวสักพักครับผม ซึ่งพี่ผมเคยบอกว่า ต้องรอถึง 2 ชั่วโมงในบางวันครับ
(ภาพปลา ของร้าน TANYU ครับผม พี่ผมนั่งรสเผ็ดน้อย อารมณ์พริกเผาบ้านเรา แล้วใส่มันฝรั่งกับผักกาด ด้านล่างของปลาครับผม)
รสชาติของร้านนี้ถือว่า อร่อยเลยล่ะครับ ซึ่งข้าวถ้วยนึง ตก 30 บาท และปลาตัวนึงก็ 500กว่าบาทได้ครับผม เอาเป็นว่าร้านนี้ผมให้ผ่านครับ!
แต่ประเด็นคือ เมื่อกลับถึงโรงแรมครับ 3คนกับปลาที่กินไปทั้งตัว ไม่สามารถทำให้ผมและแฟนอิ่มแบบสามารถนอนหลับกันได้ พวกเราจึงตัดสินใจออกไปร้านของชำเล็กๆข้างโรงแรม ซื้อไส้กรอก และมาม่ามากินยามดึกครับผม
(มาม่าจีนมีเพียงแค่สองรสชาติที่ผมแนะนำครับ คือสีแดงรสเนื้อวัวเผ็ดนิดหน่อย ตามภาพ และสีเขียวรสไก่ไม่เผ็ดเลยครับ)
แต่การกินมาม่าไส้กรอกและนมเปรี้ยวนั้น ไม่สามารถทำให้ผมกับแฟนนั้นอิ่มได้จริงๆ แต่มันกลับทำให้เครื่องผมติด ผมจึงชวนแฟนออกไปหาร้านข้าวแบบจริงจังกินกันดีกว่า ซึ่งร้านส่วนใหญ่ 5 ทุ่มก็ปิดแล้วครับ แต่ไม่น่าเชื่อว่า ร้านติ่มซำมื้อแรกที่ผมกินที่นี่นั้นเปิด 6โมงเช้า ถึงตีสองสี่สิบห้า ซึ่งก็ทำให้ผมกับแฟน จัดเต็มกันไปอีกหนึ่งมื้อครับผม
จบวันที่ 2 ครับผมอย่างอิ่มแบบสุดๆเลยครับ ฮ่าาาๆๆๆๆ
วันที่ 3 แผนของผมก็คือ การพาแฟนไปช้อปแบบสุดติ่งเลยครับ
ซึ่งผมได้เลือกที่พาแฟนไปช้อปนั่นคือ Laojie ครับผม ซึ่งแถวนั้นจะมีย่าน Dongmen อยู่ ซึ่งมีทั้งของกิน เสื้อผ้า และอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคเล็กๆน้อยๆอยู่
ซึ่งเมื่อถึง Dongmen ผมกับแฟนก็เริ่มต้นกันด้วยอาหารเช้าเลยครับ
ก่อนอื่นต้องขอบอกทุกท่านว่า สิ่งที่ควรพึงระวังในการมาเที่ยวประเทศจีนเนี่ย
คือการสั่งอาหารครับ อาหารที่นึง แทบจะไม่มีราคาต่ำกว่า 50 บาทครับ แต่ปริมาณที่ให้เรากลับมาเนี่ย เอ้อบอกตรงๆเลยครับ ว่ากินคนเดียวนี่อิ่มเป็นมื้อๆจนแทบจะไม่กินอย่างอื่นเพิ่มได้เลยครับ
(ปลาท่องโก๋ 1 ตัวครับ ขอย้ำครับว่า 1 ตัว)
และหลังจากทานข้าวเช้าแฟนผมก็เริ่มการช้อปปิ้งอย่างหนักหน่วงครับ ผมเนื่องจากใจจริงแกอยากจะไป ธีมคาเฟ่ ซึ่งชื่อว่า Modern toilet ครับ แต่มันดั๊นปิดไปแล้ว แฟนเลย เดินดูของเล็กๆน้อยๆ แทน แต่ Dongmen ซึ่งเหมือน ประตูน้ำผสมกับตลาดนัดรถไฟที่อยู่ใต้ดิน กลับไม่ตอบโจทย์แกครับ
(ระหว่างทางเดินกลับ ผมก็จัด waffle ฮ่องกงมา 1 ชิ้นราคา 50 บาทครับ)
ผมจึงต้องเปลี่ยนสไตล์การช้อป ไปเป็น COCO PARK ซึ่งเปรียบเสมือนกับ สยามบ้านเราเลยครับ ซึ่งไอ่เจ้า Coco Park เนี่ย
อยู่ที่สถานี Shopping Center ครับผม ซึ่งไฮไลท์ของที่นี่คือ มีตึกที่สูงที่สุดของเมืองเซิ่นเจิ้นตั้งอยู่ครับ เอาเป็นว่าสูงเสียดฟ้าไปเลย น่าจะสูงกว่าตึกไบหยกครับซึ่งเมื่อมาถึง Coco park สิ่งแรกที่ผมกับแฟนทำนั่นคือ.. กินอีกแล้วครับ
(ไอติม Häagen-Dazs เอาจริงๆ ผมก็ยังสงสัยตัวเองว่าทำไมเราต้องกินเยอะขนาดนี้
)
(และนี่คือภาพตึกที่สูงที่สุดของเมืองครับผม ค่าขึ้นไปชมวิวประมาณ 1000-1500บาทต่อคน ซึ่งผมบอกเลยว่า ผมไม่ขึ้น ตังหมดแล้วจ้าาา เดี๋ยวจะไม่มีกินเอา 55555)
หลังจากที่กินเสร็จผมก็ เดินดูร้านนู้นร้านนี้รอบๆ Coco park ครับ แล้วก็พาแฟนเล่นเกม VR แบบสุดติ่ง เกมละ 150 ไม่รู้ที่ไทยราคาเท่าไหร่เหมือนกัน แต่ว่าอันนี้เป็นแบบโรงหนังน่ะครับ ไม่ได้นั่งอยู่ในไข่
(ที่นี่มี Showroom TESLA ด้วยนะเอ้ออออ อยากจะบอกว่าเมืองนี้ รถซุปเปอร์คาร์เยอะมาก คือเจอ Porsche เป็นรถธรรมดาเลยล่ะ ยังไม่นับ Jaguar Audi Benz Bentley ที่เจอตามท้องถนนได้อีกมากมายครับ)
และเมื่อเดินที่ Coco Park จนอิ่มใจแล้ว ผมจึงขอแฟนกลับไปแก้แค้นที่ OCT อีกครั้งครับ เนื่องจากผมอยากจะเจอไอ่เจ้า Art district นั่นจริงๆ และแฟนผมก็อยากที่จะซื้อของที่ Walmart ด้วย จึงเป็นอันว่าลงตัวครับ หลังจากที่ลงรถไฟและเดินไปส่งแฟนที่ Walmart ผมก็เริ่มออกตามหา Art district ครับ ซึ่งห่างจาก Walmart ประมาณ 2 กิโลครับผม
(ระหว่างการตามหา Art District ทำให้ผมได้เจอกับซานต้าครับ 55555 เป็นภาพที่น่ารักดีครับ
)
และแล้วววจากการที่เดินขาลากก็ทำให้ผมเจอกับ Art District ที่ฝันใฝ่ครับผม ก็เป็นโซนเท่ๆในเมืองล่ะนะ มีขายกาแฟ ขายข้าว ขายเฟอร์นิเจอร์ ขายเสื้อผ้านิดหน่อย
ซึ่งเอาจริงๆ ผมถูกใจร้านเสื้อร้านนึงที่นี่ แต่หน้าร้านมันดันมีป้ายแปะว่า
"อย่าเดินเข้ามา ถ้าไม่ถูกเชิญ" โอเค เราไม่ซื้อก็ได้
๋(ภาพแรกที่ผมเจอ Art District ครับ)
(ร้านอาหารเท่ๆ ในย่านนี้)
(โซนโกดัง ซึ่งมีทั้งร้านเฟอร์นิเจอร์ และร้านอาหารผสมปนเปกันไปครับ)
(ร้านอาหารโซนด้านหลังครับ ถ้าค่ำๆ มานั่งจิบเบียร์ก็คงจะไม่เลวเลยดีเดียว
)
(คาเฟ่ที่ดูน่ารักมุ้งมิ้ง ที่ตกแต่งด้วย ธีมคริสมาสตร์ครับ)
(ภาพวาดตามกำแพงที่ชวนให้นึกถึง ความหมายที่จิตรกรต้องการจะสื่อ)
หลังจากที่ผมดื่มด่ำกับย่านที่เต็มไปด้วยศิลปะ สักพักหนึ่งทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า เอ้าา เราไม่ได้มาคนเดียวนี่หว่า ทิ้งแฟนไว้อยู่ Walmart ซึ่งก็ต้องเดินกลับไปอีกประมาณ 2กิโลครับ ฮ่าาๆๆ น่องแทบแตก และเมื่อผมกลับไปแฟนผมก็ได้ซื้อของกลับมาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ผมก็บอกแฟนไปว่า เห้ยย เมื่อกี้ แวะฉี่มันมีชั้น สองไปเดินมารึยัง แฟนก็บอกเห้ย ยังไม่ได้เดินเลย ไปเดินดูอีกทีดีกว่า เราก็จัดไป แล้วก็ได้ของกลับมาอีกรอบหนึ่งครับ และแล้วก็สมควรแก่เวลา ทานอาหารเย็น
ซึ่งร้านที่ผมเลือกนั่นก็คือ Merugame Semen ครับผม ซึ่งร้านนี้หากินในไทยได้ปกติแหละครับ ที่ผมเลือกเนื่องจาก หิวไม่ไหวแล้ว แล้วก็มันอยู่ติดกับ Walmart เลยเพราะฉะนั้นก็ จัดไปครับผม
(ผมกินข้าวหน้าเนื้อ ส่วนแฟนผมกินอุด้งซุปมะเขือเทศ ฮ่าๆๆ จริงๆคือสั่งผิดนึกว่าซุปเผ็ด
เอ้อ แต่รสชาติพวกซอสของที่นี่ไม่เหมือนไทยนะ ที่นี่ไม่มีซอสเทมปุระ มีแต่ซอสเข้มๆอะไรสักอย่างแต่ก็อร่อยดีครับผม)
เมื่อกินเสร็จผมกับแฟนก็กลับโรงแรมครับ บอกได้คำเดียวว่า น็อค เนื่องจากเป็นวันที่ล้าสะสมและซื้อของเยอะมากๆ แบกของเต็มกระเป๋าเลยล่ะครับ ยังโชคดีหน่อย ที่ไม่ได้แบกกล้องไป ซึ่งขอบอกว่า ทริปนี้แทบจะไม่ได้ใช้กล้องถ่ายรูปเลย เพราะไหนจะต้องดูแผนที่ ดูทาง และเดินเยอะมากๆ เลยได้ถ่ายรูปน้อยมากๆครับ กระทู้นี้จึงขอลงแต่รูปโทรศัพท์ครับผม
(และนี่คือของที่แฟนผมซื้อมาตลอดวันครับ หุหุหุ ผมแบกไง
)
หมดวันที่ 3 ครับผม เนื่องจากวันต่อไป ผมต้องรีบตื่นแต่เช้าไป กวางโจวกับพี่สาวครับ
จึงนอนไวเป็นพิเศษบวกกับความเหนื่อยล้าแบบสุดๆ
วันที่ 4
ผมมีนัดขึ้นรถประมาณ 8 โมงเช้าที่สถานีรถไฟ Window of the world ซึ่งเป็นสถานที่เที่ยวชื่อดังของเมืองเซิ่นเจิ้น แต่ผมไม่เข้า ฮ่าๆๆๆ และเมื่อเวลา 8 โมงเป๊ะ ผมก็ขึ้นรถบัส เพื่อไปเมืองกวางโจวครับ ซึ่งค่ารถไปกวางโจวตกคนละ 25 rmb หรือ 125 บาทครับผม ซึ่งไปเมืองกวางโจว ผมไปทั้งหมด 4 คนครับ ประกอบด้วย ผม แฟน พี่สาว และเพื่อนพี่สาวครับผม และเมื่อถึงกวางโจว เป็น 5 คนครับ มีรุ่นพี่ของเพื่อนพี่สาวตามมาสมทบอีกคนหนึ่งด้วยครับ
(ภาพบนรถบัสไปเมืองกวางโจว ในราคาที่ไม่แพงครับ ซึ่งไม่มีการล็อคที่นั่งใดๆทั้งสิ้น ขึ้นก่อนเลือกก่อนนั่งก่อนครับ แต่ถือว่าโอเคในระดับหนึ่งเลยครับผม)
เมื่อถึงเมืองกวางโจวแล้วสิ่งแรกที่ผมและพี่ๆทำนั่นก็คือ กินข้าวอีกแล้วครับท่าน ซึ่งร้านนี้ พี่บอกว่าเป็นร้านชื่อดังของเมืองกวางโจวเลยล่ะ เป็นร้านติ่มซำ ที่ค่อนข้างดีครับ ชื่อร้านว่า Shang Dian ครับ ซึ่งทำเลที่ตั้งของร้านนี้ตั้งอยู่ที่ Canton Tower พอดีเลยครับ
(สั่งมาแบบคนหิวชัดๆ แต่ร้านนี้ถือว่าแจ่มเลยนะ อร่อยถูกใจเลยล่ะ ปล.ตั้งแต่เขียนมาก็อร่อยทุกร้านอะจริงๆ)
(นี่เป็นภาพ ผมและ Canton tower ครับ ใครนึกไม่ออกลองนึกถึงเกมส์กีฬาระดับ Asia ที่จีนเป็นเจ้าภาพครับ ที่เค้าจัดที่เมืองกวางโจวนี่แหละ ตึกนี้เค้าพยายามโปรโมทมากๆเลยล่ะครับ
)
เมื่อได้สัมผัสเมืองกวางโจวซึ่งถือว่าเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในมณฑลกวางตุ้งนะครับ ผมก็รู้สึกว่าเมืองนี้ มีความเป็นจีนมากกว่าเมืองเซิ่นเจิ้น และเที่ยวยากกว่าเนื่องจาก สเกลของเมืองนั้นใหญ่กว่า เซิ่นเจิ้นอีกประมาณ 2 เท่าครับ นั่นแสดงว่า ตึกก็ใหญ่กว่า ระยะทางก็ไกลกว่าครับผม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ลำบากมากสำหรับชาวไทย เลยล่ะครับ เพราะแค่เดินก็เหนื่อยแล้ว ขนาดพี่ผมที่อยู่จีน พี่ยังบอกเลยว่า ทริปนี้ขอเป็นการนั่งชมวิวและชมคนเดินไปเดินมาแล้วกัน ฮ่าๆๆๆ พี่ยังเหนื่อย
(บรรยากาศในตัวเมืองครับ มันใหญ่จริงๆนะเอ้อ)
(ภาพตึกสูงที่หาได้ทั่วไปในตัวเมืองกวางโจวครับ)
และเมื่อเดินดูตึกไปเรื่อยๆ ผมก็ต้องขอนั่งพักก่อนครับ ซึ่งเมื่อเดินไปเรื่อยๆก็จะเจอกับห้างที่อยู่ใกล้ๆ กับ Canton tower นั่นแหละครับ ซึ่งห้างก็ใหญ่ซะเหลือเกิน เอาเป็นว่าเจอร้านไหนน่านั่งก็นั่งพักก่อนแล้วกันครับ และแล้วผมก็เจอร้านนึง ซึ่งเป็นเหมือน Supermarket Import ของที่นี่ครับ ซึ่งมีที่ให้นั่งกินน้ำกินข้าว และมีของ Import ขาย ชื่อว่า ร้าน Comma ครับผม
(แวะดื่มน้ำที่ร้านนี้สักหน่อยครับ ของผมเป็นชานมชีสไข่มุก ส่วนของพี่เป็นโยเกิร์ตหลากสี)
และเมื่อนั่งๆไปแฟนผมที่อยู่นิ่งๆไม่ค่อยจะได้ ร่างกายต้องการช้อปปิ้งเหลือเกิน สิ่งของ Import ภายในร้านก็ทำให้เธออยากรู้ครับผม ว่า เถ้าแก่น้อยรส ทุเรียนจะเป็นยังไง เนื่องจากว่า คนจีนนี่คลั่งทุเรียนและผลไม้มาก เอาเป็นว่าถ้าออกสินค้าอะไรที่เป็นทุเรียนหรือเป็นผลไม้นี่เจ๊งยากเลยล่ะ และสุดท้ายก็ซื้อเถ้าแก่น้อยในราคา แพงพอตัวมาชิมครับ
(เถ้าแก่น้อยรสทุเรียน
ซึ่งแฟนชิมไปบอกว่า กลิ่นนี่เข้าขั้นแรงมาก และรสชาติก็ไม่ได้อร่อยขนาดนั้น ฮ่าๆๆ)
หลังจากนั่งพักผ่อนกันเป็นเวลานานพอตัว ก็เริ่มออกไปหาที่เดินเล่นกันครับ ซึ่งนั่นคือ ห้องสมุดของเมืองกวางโจว แต่มันไม่ใช่หอสมุดธรรมดา เพราะมันเป็นห้องสมุดที่ใหญ่มาก มีถึง 10 ชั้นเลยครับ เป็นตึกสไตล์โมเดิร์นสุดๆ และคนก็เยอะมากๆ ด้วย ตอนเข้านี่ต้องผ่านการแสกนมากมายครับ ซึ่งข้อดีของห้องสมุดนี้ คือมันจะมีตู้ทัชสกรีน ที่มีหนังสือให้เลือกมากมาย ถ้าเราอยากอ่านเล่มไหนก็เอาโทรศัพท์แสกน และเซฟลิ้งค์ไปอ่านที่บ้านได้ครับ ซึ่งมีหนังสือภาษาอังกฤษบ้าง ภาษาจีนเยอะครับ ฮ่าๆๆๆ เรื่องที่ผมอยากอ่านนี่จีนล้วนๆ เลยอดเซฟลิ้งค์มาอ่านครับ
(ภาพห้องสมุดประจำเมืองครับผม)
(คนไม่น้อยเลยครับสำหรับห้องสมุดนี้)
(ครั้งนี้ถือว่าผมมาดูความเจริญในประเทศที่ถูกสบประมาทไว้เยอะครับ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาเจริญกว่าเราเยอะมากๆครับ)
หลังจากที่ชมห้องสมุดที่ใหญ่ยักษ์อลังการไปแล้ว (เดินดูแค่ชั้นเดียวก็พอแล้ว) ก็มุ่งหน้าไปสู่พิพิธภัณฑ์ ประจำเมืองครับ ซึ่งเค้าโอ้อวดไว้ว่า เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องราวความเป็นมาของ กวางตุ้งเลยครับ ซึ่งเมื่อผมได้พบกับพิพิธภัณฑ์ ก็ถึงกับอึ้งครับ ใหญ่มาก ใหญ่มากจริงๆ ซึ่งเมื่อผมเดินๆดูแล้ว ถ้าประมาณเวลา ว่าถ้าเราอยากเดินให้ครบและดูอย่างตั้งใจ คงน่าจะต้องใช้เวลาถึง 1 วันทำการครับ ซึ่งกฏเกณฑ์การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ คือ เราต้องเตรียมพาสปอร์ตไปขอแลกกับตั๋วเข้าชมครับ ซึ่งจะไม่มีการเก็บค่าเข้าชมใดๆครับ (เข้าฟรีนั่นเอง) และพิพิธภัณฑ์นี้จะปิดทุกวันจันทร์ครับผม
(บรรยากาศแถวๆที่ต่อคิวเข้าพิพิธภัณฑ์ครับ)
(หน้าพิพิธภัณฑ์ ซึ่งใหญ่อลังการงานสร้างมากครับ)
(ส่วนนี่เป็นตั๋วของพิพิธภัณฑ์นี้ครับ อย่าลืมเอาพาสปอร์ตไปนะครับ ไม่งั้นอดเข้า)
และเมื่อเข้าไปยังพิพิธภัณฑ์ ผมและพี่ๆ มุ่งหน้าไปยังชั้น 4 เลยครับ บอกเลยครับว่า ผมเดินดูแค่ Exhibition เดียวก็หมดแรงขาแล้ว ซึ่งที่ผมไปดูคือ กวางตุ้งเนี่ยเป็นไปเป็นมายังไงครับ
(วิวเมืองจากชั้น 4 ของพิพิธภัณฑ์ครับ)
ซึ่งมีเรื่องราวพีคๆอยู่เรื่องหนึ่งขณะนั่งชมวิวที่ชั้น 4 อยู่ครับ คือพวกผมทั้ง 5 คนนั้นกำลังนั่งชมวิวอย่างเพลิดเพลินและสบายใจครับ อยู่ๆ มีลุงแก่ๆนึงคน มานั่งอยู่ด้านหลังพี่ๆผม ก็คือข้างๆผมนั่นแหละครับ เขานั่งยองๆ และหลังจากนั้นเค้าก็ถอดกางเกงครับ และพอพี่ผมหันไป ตาลุงคนนั้นก็สะดุ้งครับ และพอผมหันไปลุงก็กำลังใส่กางเกง ซึ่งปัจจุบันผมก็ยังสงสัยว่า สรุปแล้วตาลุงนั่นทำอะไร อึรึเปล่า แล้วถ้าอึ ทำไมต้องมาอึตรงที่ชมวิว หรือวิวมันดี แล้วไม่อายพวกกรูวว หราาาาา?
(รูปนี้ผมถ่ายทั้ง 4 คนที่กำลังนั่งอยู่หน้าผม และขณะที่ลุงกำลังนั่งอึ ข้างๆผมเช่นกัน)
หลังจากที่ชมพิพิธภัณฑ์เสร็จ พวกผมก็ได้นั่งรถไปยังถนนคนเดินของเมืองนี้ครับ ซึ่งชื่อว่า Shang xia jiu ครับผมซึ่งแน่นอนว่า ที่ผมไปเพื่อที่จะหาข้าวเย็นกิน และเดินเล่นนิดหน่อยครับผม
และอาหารเย็นของวันนี้ที่กวางโจวนั่นก็คือ ชาบูเนื้อแต๊จิ๋วครับผม
ซึ่งขอบอกว่าร้านนี้ เนื้ออะเฉยๆ แต่น้ำซุปกับลูกชิ้นเด็ดมากครับผม
(จัดหนักจัดเต็มกันเลยทีเดียวเชียวว ขอย้ำว่าลูกชิ้นอร่อยๆจริงๆ แต่เนื้อเฉยๆ)
และหลังจากที่กินอาหารหลักเสร็จ ต่อมาก็ต้องตามด้วยของหวานครับ ซึ่งพี่ผมก็เดินหาเอาตามถนนคนเดิน Shang xia jiu นี่แหละครับ แล้วด้วยความที่แกอยู่จีน ไม่ได้กลับไทยแกจึงของกินร้าน เช็ง ซิม อี้ ครับผม
(ผมไม่ได้กินร้านนี้ก็เลยไม่รู้ว่ารสชาติเป็นยังไงครับ ที่ไทยก็ไม่เคยกิน เพราะผมกินเครื่องน้ำแข็งใสไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่)
เมื่อกินเสร็จเราก็หมดเวลาที่จะไร้สาระในเมืองกวางโจวแล้วครับ เนื่องจากพี่ๆผมได้จองตั๋วรถไฟความเร็วสูงที่จะนั่งจากกวางโจวกลับไปยังเมืองเซิ่นเจิ้นครับ ซึ่งการจองตั๋วนั้นพี่ๆผมจองผ่านเวปครับ ซึ่งต้องใช้หลักฐานการซื้อบัตรด้วยการ ใช้พาสปอร์ตยืนยันครับ และค่าใช้จ่ายต่อคนตกคนละ 97 rmb ครับ ซึ่งก็ประมาณ 500บาทครับผม
จากขามาที่นั่งรถบัสเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ที่ถึงกวางโจว แต่เมื่อเรานั่งรถไฟความเร็วสูงนั้นเราใช้เวลาเพียง 30 นาทีครับ ซึ่งถือว่าเร็วกว่ามากๆครับผม และรถไฟนี้ แล่นด้วยความเร็วสูงสุดถึง 305 กิโลเมตร/ชั่วโมงครับ ซึ่งเมื่อผมไปถึงสถานีรถไฟที่กวางโจว ก็พบว่า สถานีนั้นใหญ่มากๆครับ ใหญ่แบบสุวรรณภูมิเลยครับ แต่เนื่องจากกลัวขึ้นรถไฟไม่ทันผมก็เลย ไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้ครับ
(นี่คือตั๋วรถไฟความเร็วสูงครับผม)
(บรรยากาศภายในรถไฟครับ นั่งสบายกว่าเครื่องบินอีก เอนเบาะได้สุดๆอะสบายมากครับ)
และเมื่อถึงเซิ่นเจิ้นพวกผมก็เกิดหิวขึ้นมาอีกรอบครับผม และผมก็อยากกินเบียร์ด้วยครับ ซึ่งสถานีรถไฟ ดันใกล้ๆกับมหาลัยที่เพื่อนพี่สาวผมอยู่ครับ เพื่อนพี่ก็เลยพาไปกิน Suan เจ้าดังครับผม ไอ่เจ้า Suan ก็คือ เนื้อเสียบไม้นี่แหละ เนื้ออะไรก็ว่าไป แกะ วัว หมู หรือผัก ไม้ละ 2 หยวน ก็ตกแล้ว 10 บาทต่อไม้หรือต่อชุดครับผม เอาเป็นว่าไม่แพงและเด็ดมาก ซึ่งสั่งมาพร้อมกับเบียร์อีก 1 ทาวน์ ตกทาวน์ละ 250 บาท ซึ่งบอกเลยว่า ถูกมากครับผม
(ภาพจากร้าน Suan ครับ พอมาถึงร้าน suan ก็มีคนเพิ่มมาอีก 1 คนครับ ซึ่งเป็นแฟนกับเพื่อนของพี่สาว เป็นชาวฝรั่งเศสที่มีเชื่อสายลาว ชื่อพี่อาทิป เหตุผลที่แกไม่ไปกวางโจว เพราะติด El Clasico ครับผม บอกตรงๆว่าคุยเรื่องบอลกับแกนี่สนุกเลยครับ)
**เพิ่มเติมครับ : เบียร์ที่จีนนั้นมีราคาถูกมากๆครับ ซึ่งเบียร์ของจีนยี่ห้อดัง ขวดละ 15 บาทครับ ถ้าเบียร์นอกก็ 45 บาทได้ครับผม หรือ Corona ขวดน่ะครับ ก็ตกขวดละ 50 บาทครับ ใครชอบกินเบียร์แนะนำให้ไปเลยครับผม
และเมื่อกินเสร็จก็ถึงเวลากลับแล้วครับ และก็หมดวันที่หมดไปกับการนั่งชมวิว นั่งดูความเจริญ และกินอย่างเอร็ดอร่อย
วันต่อมาครับ เป็นวันที่ 5
ซึ่งวันนี้พี่สาวของผมอาสาที่จะพาเที่ยวครับ เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์
มื้อแรกพี่ผมจะพาไปกินอาหารฮ่องกงครับ ซึ่งเป็นร้านที่ผมชอบมากที่สุดเลยล่ะครับ เนื่องจากมากี่ทีๆ ก็ต้องมาร้านนี้ แต่ครั้งนี้จะพาแฟนไปกินหมูกรอบครับ
ซึ่งร้านนี้ มีหลายสาขาครับ แต่ครั้งนี้จะไปกินที่ Sea World ครับเนื่องจากใกล้บ้านและที่พักมากที่สุด ร้านอาหารนี้ชื่อร้านว่า TSUI WAH RESTAURANT ครับผม เป็นร้านที่รสชาติกับราคาเหมาะสมครับ
(แหละนี่คือสิ่งที่ผมรอคอยมาหลายวันครับผม ขอบอกว่าหมูกรอบร้านนี้อร่อยจริงๆครับ จริงๆที่ ไทยก็หารสชาติหมูกรอบอร่อยๆได้ครับ อย่างเช่นร้าน Chefman หรือ หงเปาครับ แต่ราคาที่นี่ถูกกว่าครับผม)
(ต่อมาเป็นบะหมี่กุ้งครับผม อร่อยดีครับ แต่ถูกใจที่กุ้งตัวใหญ่มากครับผม)
(ภาพอาหารรวมๆใน Tsui Wah Restaurant ครับผม)
(และที่ขาดไม่ได้คือของหวาน Signature ของร้านครับ นั่นคือ Toast ฮ่องกงซึ่งขอบอกเลยครับ ว่าอร่อยกว่า Toast After you แน่นอน ฮ่าๆ ขอเว่อร์ไว้ก่อน แต่จริงๆ ผมก็ชอบของเจ้านี้มากกว่าครับ เพราะแป้งมันเหมือนเอาขนมปังผสมกับปาท่องโก๋ครับผม)
หลังจากที่กินอาหารเช้าผสมเที่ยงเสร็จ ผมก็พาพี่ไปเดินเล่นและถ่ายรูป ที่ Sea World นี่แหละครับ เนื่องจากบางมุมที่ผมเห็น พี่ก็ยังไม่เคยเห็นเลยครับ ฮ่าๆ อย่างเช่น ร้าน Dollshub พี่ผมก็ยังไม่รู้จักเลย ก็พาไปถ่ายรูปเล่นบ้าง กดตุ๊กตาบ้าง จนถึงเวลาทำภารกิจต่อไปครับ
นั่นคือการเตรียมตัวไปโบสถ์ครับผม
ซึ่งการเตรียมตัวของผมนั่นคือการกินข้าวอีก 1 มื้อครับ ฮ่าาๆๆๆ
ซึ่งมื้อนี้กินธรรมดาๆครับ เนื่องจากที่ที่พี่สาวผมนัดกับเพื่อนอยู่ใกล้ๆห้าง แต่ว่าห้างคืนคริสมาสต์อีฟ นี่คนเยอะทุกร้านครับเลยเปลี่ยน เป็นร้านข้างถนนธรรมดาๆแทน ซึ่งพี่ผมกินเกี๊ยวน้ำ ผมกินข้าวหน้าเนื้อตุ๋น แฟนผมกินข้าวหน้าเป็ดครับ
(ข้าวหน้าเนื้อของผมครับ ถือว่าอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว)
(ข้าวหน้าเป็ดของแฟนผมครับ)
และเมื่อกินเสร็จพวกผมก็มุ่งหน้าไปโบสถ์ทันทีครับ
ซึ่งเมื่อถึงโบสถ์เนี่ย ทำให้ผมถึงกับอึ้งไปเลย เนื่องจากมีตำรวจเยอะมากๆ ขนาดที่ว่านึกว่ามาปราบม้อบครับ มีโล่ มีอุปกรณ์มากมายเลยทีเดียว มันเยอะจนผมสงสัยว่านี่มา ร่วมงานคริสมาสต์อีฟจริงรึเปล่า ฮ่าๆๆ แต่พอเข้าไปในโบสถ์ก็เข้าใจครับ
คนในโบสถ์แน่นมากๆครับ ขนาดที่ว่า ขยับตัวไปไหนยังยากเลยครับ หลายๆท่านอาจจะนึกว่า โบสถ์เล็กรึเปล่า ขอตอบเลยครับ ไม่เล็กครับ โบสถ์คริสเตียนที่นี่ เป็นโบสถ์ที่สูงประมาณ 5-6 ชั้นได้ บริเวณรอบๆนี่ถือว่า กว้างพอตัว แต่ด้วยจำนวนคนที่มาร่วมงานนี่เยอะจริงๆครับผม ซึ่ง พิธีการถูกแบ่งเป็นรอบๆครับ ซึ่งผมมาไม่ทันรอบ 19.30 นั่นแสดงว่าผมต้องเข้าไปในรอบ 20.30 ครับผม ยืนรออยู่สักพักใหญ่ๆเลยครับ กว่าจะได้เข้าไปร่วมงาน
(ภาพของโบสถ์ครับผม)
(คนที่แออัดกันสุดๆ เนื่องจากทุกคนอยากเข้าร่วมงาน)
(ภายในโบสถ์ครับผม)
(อยากจะช่วยร้องเพลงครับ แต่อ่านไม่ออกร้องไม่ได้จริงๆครับ
)
และหลังจากที่ทำพิธีทางศาสนาเสร็จเรียบร้อย แน่นอนครับว่าผมก็ต้องไปหาอะไรกินก่อนที่จะเข้านอน
ซึ่งร้านที่จะไปต่อจากนี้ถือว่าเป็นร้านที่ดังที่สุด ถึงขนาดที่ว่า พี่ผมเคยมารอคิว แล้วต้องรอ 4 ชั่วโมงเพื่อกินร้านนี้ ซึ่งผมก็จำชื่อร้านไม่ค่อยได้ ฮาตี่เหลา อะไรประมาณนี้ครับ ซึ่งจุดเด่นของร้านนี้คือ เป็นร้านชาบูที่เปิด 24 ชั่วโมง และการรอคอยคิวที่แสนจะนานของคุณ นั้นจะไม่น่าเบื่อเนื่องจากมีกิจกรรมดีๆ มากมายระหว่างรอคิวให้ทำครับ ไม่ว่าจะเป็นการร้องคาราโอเกะ การขัดรองเท้า การทำเล็บ การเล่นเกม และอีกมากมายครับผม
ซึ่งร้านนี้เนื้อถือว่าอร่อยเลยล่ะครับ และมีอีกเมนูหนึ่งที่น่าสนใจนั่นคือ บะหมี่ครับ
เพราะว่า ถ้าเราสั่งบะหมี่เนี่ย จะมีเชฟมาทำบะหมี่แบบยืดสดๆพร้อมท่าทางสุดอลังการให้ดูกันที่โต๊ะเลยทีเดียวครับผม
(ภาพอาหารรวมๆครับผม)
(ภาพเนื้อวัวเกรดพรีเมี่ยมของทางร้านครับ)
(ภาพเนื้อวัวเกรดพรีเมี่ยมของทางร้านครับ แบบชัดๆไปเลย)
และหลังจากที่กินเสร็จก็แยกย้ายไปนอนครับผม สุดท้ายก็สิ้นสุดวันที่ 5 ของการกินเที่ยวเล่น และเข้าสู่วันสุดท้ายของทริปนี้ครับ
วันสุดท้ายผมเริ่มต้นวันด้วยการไปช้อปปิ้งของที่ยังขาดอยู่ ที่ซุปเปอร์มาเก็ตใกล้ๆโรงแรมครับ ดูด้านหน้าอาจจะแบบดูเป็นซุปเปอร์กังๆ แต่พอเข้าไปถือว่าเป็นซุปเปอร์ที่ใหญ่มากครับ เพราะมีถึงสามชั้น เลยทีเดียว หลังจากที่ซื้อของฝากเรียบร้อย ผมก็เอาของไปเก็บที่โรงแรมและเช็คเอ้าท์ครับ หลังจากนั้นก็ฝากกระเป๋าทั้งหมดไว้ที่โรงแรมและเข้าสู่การช้อปและการกินแบบมหกรรมโค้งสุดท้ายครับผม
มื้อเช้า+เที่ยง พี่สาวผมได้พาไปกินขาหมูตุ๋นที่ห้าง HAIYA ครับผม
(ขาหมูตุ๋นชุดใหญ่อลังการ โดยที่การกินนั้นเค้ามีถุงมือพลาสติกให้ใส่ขณะกินครับผม)
(และนี่คือเมนูที่ผมชอบมากที่สุดของร้านนี้นั่นคือ ขาหมูติดมันใส่หมั่นโถวครับผม อร่อย 10 ดาวเลยครับคุณผู้ชวมม
)
หลังจากนั้นเราก็ได้เดินทางไปช้อปปิ้งที่ Coastal City อีกครั้งหนึ่งครับ
และเรากินอาหารคาวมาแล้ว เราจะขาดของหวานไม่ได้ พี่สาวและแฟนของผมก็เลยแวะ
LINE CAFE ซะหน่อยครับ
(บรรยากาศภายในร้าน Line Cafe ครับผม)
(ของกินต่างๆภายในร้านครับ)
(ตัวละคร Line ต่างๆ)
(ของหวานที่พี่สาวกับแฟนสั่งมากินครับผม)
และเมื่อกินเสร็จก็ช้อปกันต่อไปครับ ซึ่งขอสรุปว่าร้านส่วนใหญ่ที่แฟนผมชอบซื้อนะครับ ก็คือร้าน MINISO ครับ ซึ่งตอนนี้ที่ไทยเปิดแล้วครับ ซึ่งขอบอกเลยว่า ที่ไทยนี่ของเข้าช้ากว่าที่จีนประมาณ ครึ่งปีครับและที่จีนก็มีของแปลกๆมากมายหลากหลายกว่าครับ รวมถึงถูกกว่าด้วยครับ ซึ่งบอกเลยว่าร้านนี้เป็นร้านอันตรายครับ เข้าทีไร ไม่เคยต่ำกว่า 1000บาท ซึ่งแฟนผมเข้าไป 5 รอบได้
และหลังจากที่ ซื้อของเล็กๆน้อยๆ พี่สาวก็แนะนำครับว่าถ้าจะซื้อของฝากแนะนำให้ซื้อเป็ดครับ ซึ่งเป็ดร้านนี้อร่อยดีครับ ชื่อร้านว่า Zhou Hei Ya ครับผม เป็นร้านที่หาได้ทั่วเมืองรวมไปถึงสนามบินครับผม
บอกได้แค่ว่า "หมดตัว"
หลังจากที่ช้อปอย่างหนำใจครับผม ก็ถึงเวลาทานข้าวเย็นครับซึ่งเป็นมือสุดท้าย พี่ก็พาไปทานอาหารฮ่องกงอีกเช่นเคยครับ แต่เปลี่ยนห้าง ซึ่งเป็นห้างที่ผมว่า ไฮโซที่สุดของเมืองนี้ครับ ชื่อว่า RAFFLE CITY ครับผม
อารมณ์คล้ายๆ Central World ผสม Emquartier ผสม Central ชิดลม ครับ
ซึ่งร้านอาหารมื้อสุดท้ายต้องขออภัยจริงๆครับ จำชื่อร้านไม่ได้
(แต่นี่คือภาพอาหารมื้อสุดท้ายทั้งหมดครับผม)
และเมื่อกี่มื้อนี้เรียบร้อยครับ ก็ยังขาดอีกหนึ่งสิ่งนั่นคือ ของหวานครับผม ซึ่งพี่ผมแนะนำร้านนี้มากๆเลยครับ ซึ่งตอนแรกผมก็อคติเล็กน้อยเนื่องจากผมไม่ค่อยชอบกินน้ำแข็งใส แต่พอผมกินไปแล้วล่ะ หยุดไม่ได้จริงๆ มันไม่ใช่น้ำแข็งใสแบบไทยครับ แต่เป็นน้ำแข็งแบบ Ice Monster ใส่น้ำตาลทรายแดง แล้วโปะหน้าด้วย เฉาก๊วย กับเครื่องอื่นๆ เพิ่มเติมด้วยการราดด้วยนมสด ครับผม
(ของหวานมื้อสุดท้ายครับ)
ก่อนกลับผมก็แวะไปถ่ายรูปด้านนอก Raffle City ครับผม
(ภาพสุดท้ายก่อนจะกลับไทยครับผม)
สุดท้ายนี้ครับ ผมอยากจะฝากข้อแนะนำเล็กๆน้อยๆให้ทุกท่านที่สนใจครับ
1.ทริปไปจีนครั้งนี้ สำหรับผมเป็นอีกสไตล์หนึ่งในการท่องเที่ยวครับ ซึ่งถ้าเรามีเงินเท่านี้ ไปญี่ปุ่นไปเกาหลี ก็คงจะไม่ได้กินขนาดนี้ หรือไม่ได้ช้อปปิ้งขนาดนี้ครับ แต่มาจีนนี่ได้ทั้งกินทั้งช้อปครับผม
2.ที่นี่ไม่รับบัตรเครดิต Visa ครับ รับแต่ Union Pay ซึ่งถ้าเราไม่มีผมแนะนำให้เราเติมเงินผ่าน Alipay ไว้ครับ เนื่องจากคนที่นี่แทบจะไม่ใช้เงินสดกันแล้วครับ แล้วถ้าเราจ่ายด้วยเงินออนไลน์มักจะได้ส่วนลดเพิ่มเติมครับ
3.การพกทิชชู่เป็นสิ่งที่สำคัญครับผม เนื่องจากร้านอาหารที่นี่ส่วนมากมักจะคิดค่าทิชชู่เพิ่มครับ
4.การพก Shopping Bag ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันครับ เนื่องจากซื้อของหลายๆที่ เค้าจะคิดตังค่าถุงครับผม
5.การโรมมิ่งไปจากไทยถือว่าดีครับ เนื่องจากว่า ถ้าเราไปใช้เน็ตที่นู่นเราจะถูกบล้อคทุกอย่างครับ
6.ไปกินเบียร์ที่นู่นคุ้มมากๆครับ จัดหนักจัดเต็มมากๆครับผม
สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณทุกๆท่านที่มาอ่านครับผม
มีอะไรอยากถาม หรืออยากรู้อะไรเพิ่มเติมถามได้เลยนะครับ ไม่ว่าจะ PM หรือตอบในกระทู้ครับ เจอกันใหม่กระทู้ต่อไปครับผม