เล่าสู่กันฟัง ประวัติศาสตร์สเปน
ขอตามกระแสนิดนึง ผมขอเล่าตามที่ผมรู้แล้วกันมีช่วงไหนข้ามๆหรือเข้าใจผิดไปบ้างท่านใดจะเสริมก็ได้นะครับ
ขอเกริ่นเริ่มจากสภาพภูมิประเทศแถวๆยุโรปก่อน
ในภาคพื้นทวีปยุโรป(ไม่นับเกาะอังกฤษ) มีสามพื้นที่หลักๆที่อุดมสมบูรณ์และสภาพ
อากาศเหมาะแก่การตั้งรกรากคือคาบสมุทรไอบีเรีย(สเปน+โปรตุเกส)ฝรั่งเศส และ
คาบสมุทรอิตาลี(ผมมองว่าแถบเยอรมันในยุคนั้นยังไม่ค่อยเหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานมากนะ เนื่องจากอยู่ลึกเข้าไปในทวีป จะมีเหมาะหน่อยก็ตรงส่วนที่ติดกับทะเลเหนือซึ่งค่อนข้างห่างไกลชาวบ้านเขานะตอนนั้น) ทีนี้ฝรั่งเศสนั้นเป็นรกรากของพวกแฟรงค์(เพี้ยนมาเป็น France นี่แหละ)มาอย่างยาวนานเหนียวแน่น อาจจะมีบางช่วงตกไปเป็นของอังกฤษหรืออยู่ใต้โรมันบ้างบาง แต่ชาวแฟรงค์มีความเป็นชนชาติเหนียวแน่นมาก อาจพูดได้ว่าฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในชาติรัฐที่อยู่มายืนยาวมากที่สุดชาติหนึ่งในยุโรป ในขณะที่คาบสมุทรอิตาลีตกอยู่ใต้อำนาจของชาวโรมัน เมื่อโรมันล่มสลายไปก็แตกเป็นรัฐย่อยๆหลายๆรัฐยังคงเหนียวแน่นในเรื่องชนชาติและได้อยู่ใต้ความคุ้มครองของจักวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ช่วงหนึ่ง บางช่วงก็เป็นที่แย่งชิงระหว่างฝรั่งเศส สเปน และออสเตรียและมารวมเป็นประเทศได้ก่อนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 แปปนึง แต่สิ่งที่เหมือนกันระหว่างฝรั่งเศสละคาบสมุทรอิตาลีคือผู้อยู่อาศัยมีความเหนียวแน่นทางวัฒนธรรมกับเชื้อชาติมากกว่า ในขณะที่คาบสมุทรไอบีเรียนนั้นเต็มไปด้วยชาติพันธ์ที่แตกต่างมากมาย(ก็มันอุดมสมบูรณ์จะไปแย่งชิงพื้นที่ในฝรั่งเศสกับอิตาลีก็โดนเจ้าที่เขาไล่ทุบเอา ก็มากองๆปนกันอยู่แถวนี้แหละ)รู้สึกจะมีนับเป็นแคว้นประมาณ 17 แคว้น ด้วยความที่มันไม่มีเอกภาพนี่แหละครับ ทำให้โดนชนชาติที่มีเอกภาพอย่างพวกแขกมัวร์ชาวมุสลิมจากทวีปแอฟฟริกาไล่ที่ขึ้นมาจากด้านล่างของสเปนจนท้ายสุดเหลืออยู่สามแคว้นที่ยังยันไว้ตามแนวเทือกเขาพิเรนีส(เทือกเขาที่เป็นกันชนกับชายแดนฝรั่งเศส ซึ่งฝรั่งเศนี่แหละใช้เป็นกันชนรบแทนพวกเขา เพราะถ้าพวกมุสลิมยึดได้หมดไอบีเรียต่อไปก็ต้องมาเกาะแกะฝรั่งเศส สู้ใช้พวกนี้สู้แทนดีกว่าส่งแต่ท่อน้ำเลี้ยงไป
) พวกแขกมัวร์ครองพื้นที่อยู่ประมาณ 800 ปี หลังจากนี้จะเริ่มเข้าสู่เรื่องราวของการกำเนิดสเปนแล้วครับ
การยึดดินแดนคืน
เริ่มต้นคศ. 722(ตามวิกินะครับ)ด้วยการสนับสนุนจากศาสนจักรและชาวแฟรงค์ มวลมหาชาวคริสต์ได้เริ่มทวงคืนดินแดนจากพวกมัวร์มุสลิมจนถึงปีราวๆปีคศ. 1248 ก็สามารถทวงคืนพื้นที่มาได้เกือบจะทั้งหมดเหลือพวกแขกมัวร์ชุดสุดท้ายอยู่แถวๆกรานาด้า ตอนนี้พวกชาวคริสต์ก็เหลือแค่ 3 แคว้นใหญ่คือคลาสติลและอารากอนและแคว้นเล็กอย่างนาวาร์ โดยคลาสติลประกอบไปด้วยหลักๆคือพวกชนชาวกาลีเซีย ลีออน และคาสติล อารากอนก็จะเป็นคาตาลันและพื้นที่แถวๆซาราโกซากับบาเลนเซีย ในขณะที่นาวาร์ก็มีที่เป็นที่รู้จักอย่างพวกบาสค์(จะเห็นได้ว่าก็ยังไม่ถือเป็นเชื้อชาติเดียวกันเท่าไหร่)
การแต่งงานแห่งคาบสมุทรไอบีเรีย
ในปีคศ.1469 ได้เกิดการแต่งงานที่ลือลั่นที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุโรป ระหว่าง สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 1 แห่งคาสตีลและพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่งอารากอนซึ่งทำให้พื้นที่ในคาบสมุทรไอบีเรียมีความเป็นเอกภาพขึ้นเป็นครั้งแรก(คือปกครองด้วยกันใต้ 2 ผัวเมียนี่แหละ)ส่งผลให้สเปนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของยุโรปอย่างเต็มตัว แต่มีเรื่องซุบซิบกันในประวัติศาสตร์ยุโรปว่าคิงเฟอร์ดินานที่ 2 ทรงกลัวเมีย
อันนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่ตามประวัติศาสตร์แล้วควีนอิซซาเบลล่าทรงมีอิทธิพลสูงกว่าสามีเป็นอย่างมาก อาจจะเรียกได้ว่าเป็นบุคคลหมายเลขหนึ่งในคาบสมุทรไอบีเรีย เป็นควีนองค์นี้แหละที่อนุญาติให้โคลัมบัสสำรวจทวีปใหม่ และวางรากฐานให้สเปนกลายเป็นมหาอำนาจที่เกรียงไกรที่สุดในยุโรปอยู่ช่วงหนึ่ง ด้วยความที่คิงทรงกลัวเมียทำให้หลังจากนั้นมาศูนย์กลางอำนาจของสเปนย้ายมาอยู่ที่แถวๆมาดริด(แถวคลาสติญญ่าจัดว่าอยู่แถวๆกึ่งกลางประเทศพอดี ซึ่งมาดริดก็ยังเป็นศูนย์กลางการบริหารของสเปนมาถึงทุกวันนี้) ควีนอิซซาเบลล่าเป็นผู้ผนวกรวมเอาแคว้นนาวาร์และกรานาด้าเขาเป็นส่วนหนึ่งของสเปนได้สำเร็จ หลังจากนี้พื้นที่ของคาสติลและอารากอนจะถูกควบรวมกันและเรียกว่าสเปนจนถึงปัจจุบัน สิ่งหนึ่งที่ชาญฉลาดของควีนอิซซาเบลล่าคือทรงอุปถัมศาสนาคริสนิกายโรมันคาทอลิคอย่างเข้มแข็ง ดังนั้นสเปนอาจจะเป็นชนชาติเดียวในยุโรปก็ว่าได้ที่ศรัทธาในคาทอลิกอย่างลึกซึ้ง(ผมคิดว่าเขารวมกันอยู่ได้ในสมัยนั้นก็เพราะศาสนานี่แหละ เพราะเคร่งอย่างมากตอนนั้นศาสนาเรียกได้มีอิทธพลเหนือชาติรัฐ พอชาวยุโรปเขาเริ่มปฏิรูปศาสนาเพื่อหนีการครอบงำของโป๊ปแห่งโรมกัน สเปนเล่นปิดประเทศไม่รับนิกายใหม่ซะงั้น
)
สงครามกลางเมืองสเปน
*
หลังจากนี้มองประวัติศาสตร์ให้เป็นประวัติศาสตร์นะครับ ใครจะคิดเห็นตีความอย่างไรก็ตามสะดวกแต่อย่าลากอย่าโยงให้เดือดร้อน*
ราวๆคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชาวสเปนเริ่มมีความพยายามจัดตั้งรัฐบาลที่มีการเลือกตั้งจากประชาชน(ระบอบสาธารณะรัฐชาติแรกๆของยุโรปเริ่มมาจากการปฏิวัติในฝรั่งเศสแล้วเริ่มลามไปสู่ประเทศอื่นๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือฝรั่งเศสกลายเป็นสาธารณะอยู่ได้แปปนึงแล้วก็ได้ชายร่างเตี้ยผู้สร้างความสะพรึงกลัวไปทั่วยุโรปขึ้นเป็นจักรพรรดิ
) และพลักดันกษัตริย์ออกนอกประเทศก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายนิยมสาธารณรัฐและฝ่ายชาตินิยม สิ่งหนึ่งที่ผู้คนเข้าใจผิดคือสงครามครั้งนี้เป็นสงครามระหว่างประชาธิปไตยและเผด็จการเพราะเข้าใจว่าผู้นิยมสาธารณะรัฐมักฝักใฝ่ฝ่ายประชาธิปไตย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือสงครามครั้งนี้เป็นสงครามของอุดมการณ์ทางการเมืองที่นัวกันเละเทะที่สุดเพราะ ฝ่ายนิยมสาธารณะรัฐประกอบไปด้วยกลุ่มชนชั้นแรงงานที่ไม่พอใจรัฐบาล กลุ่มคอมมิวนิส กลุ่มสังคมนิยม(มีหลายสายนะ) และกลุ่มที่มุ่งประโยชน์เพื่อแยกเชื้อชาติและพื้นที่ออกจากรัฐบาลกลางอย่างชาวบาสถ์หรือคาตาลัน ในขณะที่ฝ่ายชาตินิยมประกอบไปด้วยพวกฟาสซิส พวกนิยมกษัตริย์ พวกคาทอลิกหัวเก่า ด้วยความที่แม้จะแบ่งเป็นสองขั้วใหญ่ๆแต่จุดมุ่งหมายต่างกันไป ทำให้สงครามกลางเมืองสเปนกลายเป็นพื้นที่ประลองกำลังของขั้วอุดมการณ์ต่างๆในโลก ต่างก็ช่วยกันส่งกำลังสนับสนุน(อย่างไม่เป็นทางการ
) อันที่จริงในตอนนั้นประชาธิปไตยดูจะเป็นระบบที่ห่างไกลจากสงครามครั้งนี้มากที่สุด เพราะพี่ใหญ่อย่างพญาอินทรีที่เราก็รู้ว่าใครเลือกอยู่นิ่งๆแล้วรอดูว่าสองเสือ(หรือหมาในแล้วแต่ใครมอง)อย่างคอมมิวนิสโซเวียสและฟาสซิสอักษะอย่างเยอรมันและอิตาลีใครจะชนะ
และก็อย่างที่รู้กันทั่วด้วยความช่วยเหลือจากเยอรมันและอิตาลีนายพลฟรังโก้เป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้
ภายใต้การปกครองของนายพลฟรังโก้
หลังจากชนะในสงครามกลางเมืองแล้ว เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น
นายพลฟรังโก้ก็ได้ทำตัวเป็นนกรู้
โดยการประกาศตัวเป็นกลาง แต่ในช่วงแรกนั้นค่อนข้างเอนเอียงไปสนับสนุนฝ่ายอักษะเนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากเยอรมันนีและอิตาลีในช่วงสงครามกลางเมืองโดยการส่งกองทหารอาสา(เป็นกลางจริงๆนะ เขาอาสาไปเอง รัฐบาลแค่อำนวยความสะดวกให้
) แต่เมื่อเห็นว่าแนวโน้มความได้เปรียบของสงครามได้ย้ายไปอยู่กับฝั่งสัมพันธมิตรท่านนายพลก็โชว์ทักษะสาริกาลิ้นทองสั่งปลดรัฐมนตรีต่างประเทศ และเนื่องจากจุดยุทธศาสตร์ของสเปนที่สะดวกต่อการเดินทัพระหว่างยุโรปกับแอฟฟริกา ฝ่ายสัมพันธ์มิตรจึงยินดีที่ทำข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์ระหว่างกันหลายอย่างเช่นยอมให้กองกำลังสัมพันธ์มิตรเดินทัพผ่านสเปนเพื่อไปรบกับอักษะ(เป็นกลางมาก
) แต่ข้อดีจากการเป็นนกสองหัวของนายพลฟรังโก้และสเปนในครั้งนี้คือสเปนรอดพ้นจากความย่อยยับจากผลของสงครามโลกครั้งที่2 (เละเทะเพราะสงครามกลางเมืองมาแล้ว แต่ถ้าเทียบกับฝรั่งเศสและอังกฤษที่ติดหนี้อเมริกาหัวโต บ้านเมืองโดนระเบิดเละเทะ เยอรมันที่ต้องเสียค่าปฏิกรสงครามมหาศาลแถมเจอพิษกองทัพแดงโดนแบ่งประเทศเข้าไปอีกแล้วถือว่าดีกว่าเยอะ) และได้ประโยชน์หลายๆเรื่องจากการที่มีความสัมพันธ์กับฝ่ายสมัพันธมิตรโดยเฉพาะอเมริกา โดยในยุคสงครามเย็นสเปนเลือกที่จะเข้ากับฝ่ายโลกเสรี(ไม่แปลกฟาสซิสเกลียดคอมมิวนิสมากกว่าประชาธิปไตยอยู่ละในความคิดผม) ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้ทำให้พี่ใหญ่อเมริกาได้เข้ามาตั้งฐานทัพเพื่อเตรียมรับมือกับโซเวียตในสเปนโดยอเมริกาช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายๆด้านให้กับสเปนส่งผลให้สามารถฟื้นฟูประเทศกลับมาได้เร็วเนื่องจากมีเม็ดเงินไหลเข้ามาเยอะมาก (บางคนมองว่านายพลฟรังโก้เป็นผู้ที่ทำให้สเปนฟื้นกลับมาได้เร็วจากสงครามกลางเมืองอีกครั้ง ซึ่งก็อาจจะใช่ส่วนหนึ่งแต่ถ้าไม่ได้อเมริกาแล้วคาดว่าจะซมไปอีกนาน) บทบาทการปกครองช่วงนี้ของท่านนายพลก็คือการทำให้ประเทศอยู่ในความสงบมากที่สุดโดยการใช้ปากกระบอกปืนปิดปากคน ในยุคนี้ทหารและตำรวจจะจงรักภักดีกับนายพลฟรังโก้มากเนื่องจากการทุ่มงบประมาณไปกับทั้งสองหน่วยงานมหาศาลส่งผลให้นายพลฟรังโก้สามารถครองอำนาจได้อย่างมั่นคงจนเสียชีวิต
ความแปลกประหลาดของนายพลฟรังโก้
เขาได้ชื่อว่าเป็นฟาสซิสแต่กลับเป็นผู้ส่งกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส กษัตริย์องค์ปัจจุบันขึ้นสู่ตำแหน่งกษัตริย์แห่งสเปน ทำให้สเปนกลับมาประเทศที่มีระบอบกษัตริย์อีกครั้งซึ่งไม่มีฟาสซิสที่ไหนเขาทำกัน(แต่จริงๆแล้วนายพลฟรังโก้โตมาสายกษัตริย์นิยมอยู่แล้วนะ แต่ได้รับการสนับสนุนจากฟาสซิสและด้วยความเป็นเผด็จการจึงครบองค์ที่จะถูกจัดเป็นฟาสซิสก็ไม่แปลกมาก)
นายพลฟรังโก้เป็นฟาสซิสเพียงหนึ่งเดียว(เท่าที่โลกเคยมีมาเลยมั้ง)ที่ทำให้ประเทศเจริญขึ้น จากข้อเท็จจริงคือสเปนเติบโตทางเศรษฐกิจมาที่สุดในสมัยเขาตามที่เขากล่าวไว้ก่อนขึ้นครองอำนาจว่าทุกคนจะมีขนมปังกิน มีบ้านอยู่ มีเสื้อผ้าใส่ แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคืออิสระทางความคิดและประเพณีทุกๆอย่างที่ถูกจำกัดหมด ซึ่งส่งผลให้หลังจากเขาเสียชีวิตสเปนขาดซึ่งประสิทธิภาพในการบริหารประเทศส่งผลให้นับวันเศรษฐกิจมีแต่จะแย่ลง(อยู่อย่างอู้ฟู้มาก่อน ขอแค่ไม่นอกกรอบตอนเขาครองอำนาจก็รอด ทำตามที่สั่งพอ ไม่ต้องคิด แต่มาทุกวันนี้อยากจะอยู่อย่างอู้ฟู้อย่างเดิมแต่ไม่มองเลยว่าการบริหารงานของรัฐซึ่งชาวสเปนนี่แหละเลือกเข้าไป มันทำได้อย่างสมัยนั้นไหม
)
ยาวๆหน่อยพิมพ์เหนื่อยเหมือนกันแต่เพลินดี อยากให้อ่านเพื่อความรู้ทางประวัติศาสตร์นะครับถือว่าเล่าสู่กันฟัง ใครใคร่ตัดสินในเนื้อหาทางประวัติศาสตร์อย่างไรก็ทำได้ตามเสรี แต่อย่าพยายามดึงหรือลากโยงเข้าไปสู่เรื่องที่ทำให้มีคนเดือดร้อนเลยนะครับ ถือว่าขอไว้นะที่นี้
ปล.จะมีคนอ่านจบไหมพยายามจัดให้อ่านง่ายแล้ว