ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนครับว่า ผมและครอบครัวนั้นได้ซื้อทัวร์ราคาประหยัดไปเที่ยวรัสเซียและดูไบ เป็นภาพที่ผมนั้นถ่ายเอง หรือภาพที่มีผมเองอยู่ในรูป จะเป็นภาพที่หัวหน้าทัวร์ชื่อ คุณโด่งถ่ายให้นะครับ
ทัวร์รัสเซีย-ดูไบ 5วัน 3คืน
เริ่มต้นที่สนามบินครับ เราจะนั่งเครื่องบิน จาก สุวรรณภูมิ ไปดูไบ แล้วทรานซิสไปยังรัสเซียครับ
(ภาพสนามบินที่มอสโคว์ครับ ซึ่งเป็นสนามบินเล็ก คล้ายๆ ดอนเมืองบ้านเรา)
(ครอบครัวกำลังรอ คนภายในคณะทัวร์ เข้าห้องน้ำระหว่างจะเดินเข้า ตม รัสเซีย)
เมื่อผ่าน ตม ของรัสเซียที่ไม่ต้องใช้ วีซ่า แล้ว เราก็จะได้ใบเข้าออกประเทศเล็กๆของเขามา ใบนึงครับ ซึ่งต้องเก็บไว้ดีๆหน่อย เนื่องจากจะใช้ตอนออกนอกประเทศอีกทีหนึ่ง
หลังจากออกจากสนามบินเราก็มารอรถบัสครับ
(คนขับรถแท็กซี่ชาวรัสเซียนั่งสูบบุหรี่ คูลห์ๆ ระหว่างที่ผมรอรถบัสของทัวร์)
หลังจากขึ้นรถเราก็ตรงดิ่งไปยังสนานที่เที่ยวแรกเลยครับ นั่นคือ The Church of Christ the Saviour ซึ่งถือว่าเป็นวิหาร ของ ศาสนาคริสต์นิกาย ออโธดอกซ์ ที่สูงที่สุดในโลกครับ ซึ่งผมนั้นได้ถ่ายรูปมาแค่ รอบๆตัววิหารครับ เนื่องจากภายในนั้นห้ามถ่ายภาพ
ภายในวิหารนี้ มีภาพทางศาสนาที่สวยมากๆครับ ซึ่งภาพนั้นสวยมากๆ เมื่อเดินเข้าไปทำให้เราสามารถรับรู้ได้ถึงความศักสิทธิ์ของสถานที่ครับ
และหลังจากนั้น ก็ได้เดินต่อมาอีกนิดหน่อยเพื่อ ล่องเรือชมเมืองมอสโคว์ ครับ
(ภาพระหว่างทางไปท่าขึ้นเรือชมเมืองมอสโคว์)
(ภาพสะพานข้ามแม่น้ำ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในภาพนั้น จะมีการก่อสร้างอยู่มากมาย เนื่องจาก ทางรัสเซียได้เตรียมการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 2018 อยู่ครับ)
(และเมื่อมองย้อนกลับไปเราจะเห็นวิหารนั้นอยุ่ด้านหลังของเราครับ)
(ภาพเรือที่คณะทัวร์จัดเตรียมไว้ให้ครับ)
(ภาพวิวก่อนขึ้นเรือสักนิดครับ
)
หลังจากนั้นผมก็ได้ขึ้นเรือ ชมบ้านเมืองใน มอสโคว์ครับ ซึ่งเราจะได้เห็นตึกต่างๆของเมือง ซึ่งมีรูปลักษณ์เฉพาะตัว และสีแบบ คุมโทนสุดๆ เนื่องจากรัฐบาลรัสเซียเป็นคนเลือกครับ
(ตึกภายในรัสเซีย ในแทบๆนี้จะเป็นสีแดงเนื่องจาก อยู่ใกล้ๆหรืออยู่ในเขต Red Square)
(อนุเสาวรีย์พระเจ้าซาร์ ปีเตอร์ ครับ ซึ่งอยากจะบอกว่า ในมอสโคว์นั้นมีอนุเสาวรีย์เยอะมากๆ อาทิเช่น ยูริกาการิน เลนนิน หรือ สตาลิน)
(ภาพจากโซนพระราชวังเครมลินครับ)
(บรรยากาศยุโรปๆ สุดชิลล์ พร้อมกับแดดอ่อนๆ
)
(ตึกนี้เป็นหนึ่งในตึก Seven Sisters ซึ่งถูกสร้าง ด้วยสไตล์ Stalinist Style)
หลังจากที่ได้ล่องเรือชมวิวด้วยบรรยาศกาศชิลๆ และอากาศที่ไม่แรงนัก ก็เดินทางต่อไปยังจุดชมวิวของเมืองชื่อว่า Sparrow Hills ครับ
(ภาพตึกสูงต่างๆของเมือง มอสโคว์ จาก Sparrow Hills)
หมดวันที่สองของการเดินทางครับ เนื่องจากวันแรกทางทัวร์นั้นนับ การขึ้นเครื่องบินจากสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็น เวลา
11:50 น. ไปแล้ว
เข้าสู่วันที่ 3 ครับ เราออกจากโรงแรมสายๆ เนื่องจาก รถทัวร์ที่นี่สามารถใช้ได้วันละ 12 ชั่วโมง เราจึง ออกเวลา 10 โมงครับ จะได้เที่ยวในเมืองได้ชิลๆ ถึง 4 ทุ่ม และถ้าเราออกเร็ว ก็จะพบกับรถติดครับ เนื่องจากเป็นเวลาทำงานของชาวรัสเซีย
ที่แรกของวันที่ 3 คือการไปดู วิวแถวๆ Novodevichy Convent ซึ่งถูกสร้างเนื่องจาก พระมหากษัตริย์ ไม่อยากให้ผู้หญิงนั้นยุ่งเกี่ยวกับการเมืองจึงให้มาอยู่ที่นี่ครับ
(ภาพวิว Novodevichy Convent)
(ภาพวิวกว้างๆ สักนิดครับ)
(ที่ชมวิวนั้นก็จะเป็นประมาณ Park ครับ มีต้นไม้ที่นั่งเล่น มีรูปปั้นเล็กๆ น้อยๆ ให้ถ่ายรูปเล่นครับ ส่วนในรูปนี่คุณแม่อันเป็นที่รักของผมเองครับ
)
(ต้นไม้ในช่วงนี้ของรัสเซียนั้นยังเขียวชอุ่มครับ เนื่องจากยังเป็นไม่เข้าสู่ ช่วงหน้าหนาวซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวรัสเซียไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ซึ่งชายหนุ่มในรูปคือตากล้องจำเป็นของผมในทริปนี้ คือ คุณโด่งหัวหน้าทัวร์ครับ)
หลังจากนั้น เราก็เดินทางสู่ Red Square ซึ่งถือว่า เป็นไฮไลท์ ของการมาเที่ยว รัสเซียครั้งนี้ครับ ซึ่งรวมสิ่งสำคัญๆทั้งหลาย ไว้ใน จตุรัสนี้ อย่างเช่น พระราชวังเครมลิน วิหารเซนต์บาซิล ฯลฯ
(เริ่มต้นด้วยการต่อคิวเข้าแถว เพื่อเข้า Red Square ครับ ที่ต้องต่อแถวยาวเนื่องจาก ต้องมีการตรวจ กระเป๋าและร่างกายก่อนเข้าครับ เนื่องจากเค้าน่าจะกลัวการก่อการร้าย)
(บรรยากาศเท่ๆ ภายใน Red Square ครับ)
(มองย้อนออกไปที่ทางเข้า Red Square)
(มุมชิลๆ ที่ไม่ค่อยมีใครใส่ใจครับ
)
(เป็นภาพที่ค่อนข้างโชคดีที่ได้มาครับ เนื่องจากระหว่างที่เดินๆอยู่ ก็เจอทหารเดินแถวมาพอดี)
(ชาวรัสเซียชาวร็อคยุค 70 คนนี้เราจะลืมเขาไปไม่ได้เลยครับ เค้าคือน้าไมเคิ่ล ซึ่งเป็นไกด์ชาวท้องถิ่นของทริปเราเองครับ ซึ่งแกมีวีรกรรม ภายในทริปนี้เยอะมากๆ เนื่องจากแกน่าจะเป็นคนมึนๆ 555555)
โอเคครับ ฝอยเกี่ยวกับบรรยากาศมาสักพัก ขอเข้าสู่ที่หลักๆภายใน Red Square แล้วกันครับ
(ปืนใหญ่ที่ เขาว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในโลกครับ แต่เห็นเขาว่าใช้การไม่ได้ครับเนื่องจากว่าหนักเกินไป ซึ่ง ตัวกระบอกนั้น หนักถึง 4 ตัน และลูกกระสุนหนักลูกละ 1 ตัน)
(และนี่เป็นระฆัง ที่ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในโลกอีกแล้วว และก็ใช้การไม่ได้อีกแล้ว เพราะว่ามันแตกระหว่างหลอมครับ)
(ภาพวิหารต่างๆครับ ซึ่งสามารถเข้าชมได้แต่ภายในห้ามถ่ายรูป อีกแล้ว)
(ภาพวิหารอีกแล้ว และก็ถ่ายภายในไม่ได้เช่นเคย)
ต่อมาเราก็ออกจากโซนพระราชวังครับ และเดินไปยัง โซน วิหาร St.Basil ซึ่งว่ากันว่า เป็นวิหารที่โดมหัวหอมสวยที่สุดในโลก
(วิหาร St.Basil ซึ่งสวยมากๆ อย่างที่เขาร่ำลือกันไว้)
แต่พอดีว่าภายในรายการทัวร์นั้น ไม่ได้พาผมเข้าไปครับ และต้องไปที่สถานี รถไฟที่มีบันไดเลื่อนที่ยาวที่สุดในโลก
(บนสถานีครับ เป็นที่ซื้อตั๋ว ต่างๆนาๆ)
(เข้าสู่บันไดเลื่อนที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งยาวประมาณ 40m ครับ ยาวจริงๆ ลงไปทีนี่หูแทบอื้อเลยครับ 55555)
หลังจากการเยี่ยมชม สถานีรถไฟ เราก็ไปทานข้าวและเดินไปสู่ถนน คนเดิน แถวๆ RedSqure โดยที่แถวๆนั้นจะมีห้างชื่อ G.U.M (กุม) ซึ่งทางทัวร์ให้เวลาประมาณ 1ชั่วโมงครึ่งในการเดินเล่นแถบๆนั้น ครับ
(ถนนคนเดิน ย่าน Red Square เป็นบรรยากาศที่ชิลมากครับ ภายในหัวผมมีคำลอยมาเลยครับ คือว่าว่า Sunny Coffee &Cigarette)
ลูกทัวร์คนอื่นๆ ก็เลือกที่จะเดินภายในห้าง G.U.M ซึ่งเป็นห้างที่เก่าแก่ที่สุดใน มอสโคว์ครับ แต่ครอบครัวผม ซึ่งให้ผมเป็นผุ้นำในการใช้เวลาว่าง ผมจึง ตัดสินใจ พาครอบครัวเดินเข้า วิหาร St.Basil ซึ่งทัวร์นั้นไม่ได้พาเข้า
โดยราคาตั๋วนั้น ตีเป็นเงินไทยนั้น เป็นเงิน 250 บาท
(ห้าง G.U.M สุดหรูของชาวรัสเซีย ภาพนี้ใช้โทรศัพท์ถ่าย)
(ตั๋วสำหรับเข้าวิหาร St.Basil ครับ ภาพนี้ใช้โทรศัพท์ถ่าย)
(หน้าวิหาร St.Basil ภาพนี้ใช้โทรศัพท์ถ่าย)
(ภายในวิหาร St.Basil ภาพนี้ใช้โทรศัพท์แอบถ่ายมาครับ 55555)
หลังจากชมวิหารเสร็จเรียบร้อย ผมก็ได้พาครอบครัวไปเดินห้าง G.U.M ต่อตามความประสงค์ของคุณแม่และครอบครัวที่อยากช้อปปิ้งใจจะขาด
และหลังจากนั้นเราก็เดินทางไปถนนคนเดิน ในเมืองครับ ซึ่งผมก็ได้ของกลับบ้านมาตั้ง 1 ชิ้นแหนะ
(ภาพวาดสีน้ำจากศิลปินชาวรัสเซียในราคาประมาณ 600บาท
)
หลังจากนั้นเราก็กลับโรงแรมและตื่นเช้ามาเพื่อเดินตลาดมือสอง และของฝากจากรัสเซีย ก่อนที่จะบินไปดูไบครับ
(ของชิ้นหลักๆ ที่ได้จากตลาดของฝากและมือสองจากรัสเซียของผมครับ ประมาณ 1500บาทไทย)
และนอกเหนือจากกล้องผมก็ได้ แสตมป์ครบรอบความสัมพันธ์ 120ปี ประเทศไทยและรัสเซีย เป็นรูปพระเจ้าซาร์และในหลวงรัชการที่ 5 มาอีก 1 เซ็ตครับ
หลังจากนั้น ก็เดินทางสู่ประเทศ U.A.E รัฐดูไบครับ
เมื่อไปถึงดูไบก็เป็นเวลากลางคืนแล้วครับ จึงต้องอยู่โรงแรมอย่างกร่อยๆ แต่ด้วยความแรดของผม ผมจึงไปนั่ง
บาร์ของดูไบ ชื่อว่า The Huddle Sports Bar & Grill ซึ่งกำลังฉาย Spanish Super Cup อยู่พอดี จึงได้โอกาสดู Barcelona vs Real Madrid
(ป้ายร้าน The Huddle ครับ แอบถ่ายโดยกล้องโทรศัพท์ครับ)
(ตารางการถ่ายทอดสด ของร้านครับ แอบถ่ายโดยกล้องโทรศัพท์ครับ)
(พลาดไม่ได้กับ Signature ประจำร้าน Thewalkaround Cocktail แอบถ่ายโดยกล้องโทรศัพท์ครับ)
หลังจากดูบอลจบผมก็เข้านอน ตื่นมาพร้อมกับไปเที่ยวในเมืองดูไบอย่างหนักหน่วง ด้วยตารางเราจะเที่ยวถึง ประมาณ 4 ทุ่มแล้วบินกลับไทยเลยครับ
สถานที่แรกก็คือ ตลาดเครื่องเทศของดูไบครับ ก็จะมีเครื่องเทศ น้ำหอม และเสื้อผ้าขายต่างๆนาๆ ครับ ซึ่งก็ราคาไม่แพงแต่ แต่ต้องต่อราคานะครับ ไม่งั้นโดนโขกกระจุย
สถานที่ที่สองคือตลาด ทอง ซึ่งมีทองและเพชรขายมากมาย ซึ่งทองเยอะมากๆ และยังมีแหวนทองที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่นั่นด้วย ซึ่งใหญ่จริงๆ ใหญ่เป็นเข็มขัด แชมป์มวยปล้ำเลยล่ะครับ
แต่สองสถานที่นี้ผมไม่ได้ถ่ายรูปเลยครับ เนื่องจาก อากาศ ร้อนถึง 45 องศา จึงทำให้ผมไม่ค่อยมีอารมณ์ถ่ายสักเท่าไหร่
และหลังจากที่เดินตลาด เราก็ได้ไปสถานที่ไฮไลท์ของดูไบ ซึ่ง คือตึกเรือใบ อันเลื่องลือ
(ภาพวิวตึกเรือไบครับ ดูจากแดดจะเห็นได้ว่า ร้อนนมากกกกกกกกกก)
หลังจากที่แวะถ่ายรูปที่ตึกเรือใบเสร็จ เราก็แวะถ่ายรูปที่ โรงแรม เดอะ Atlantis Dubai ซึ่งมีสวนน้ำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ ส่วนราคาที่พักไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะว่าคืนละแสนขึ้นไปแน่นอน
(ภาพจากด้านหน้าโรงแรม Atlantis Dubai ครับ)
หลังจากที่แวะถ่ายรูปในโซน The Palm ของดูไบ เราก็ได้ไปที่ห้าง Dubai Mall ซึ่งเป็นห้างที่ใหญ่มากๆครับ น่าจะต้องเดินเป็นวันๆเลยล่ะครับ และที่ติดกับ Dubai Mall คือตึก Burj Khalifa ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกครับ
(ตึก Burj Khalifa และ Dubai Mall ถ่ายโดยกล้องโทรศัพท์ครับ)
(ตึก Burj Khalifa ถ่ายโดยกล้องโทรศัพท์ครับ)
หลังจากที่ช้อปปิ้งจนหนำใจแล้ว สถานีสุดท้ายของการเที่ยวดูไบก่อนบินกลับประเทศไทยคือ
"ทะเลทราย" ครับ
โดยการไปท่องทะเลทรายนั้นจะมี รถ 4wd มารับ จาก Dubai Mall ไปยังทะเลทราย โดยรถที่ใช้นี่ไม่ใช่รถกะโหลกกะลาเลยครับ เป็นรถ Toyota Land Cruiser
(รถขับออกจากเมืองไปตะลุยทะเล ทราย โดยจะปล่อยลมที่ล้อออก เพื่อที่จะได้ขับในทะเลทรายได้ง่ายขึ้น)
เจ้าหน้าที่ที่ขับรถก็จะพาเราจอดเป็นพักๆเพื่อที่จะได้ถ่ายบรรยากาศ และวิวทะเลทราย
(ภาพบรรยากาศทะเลทรายจากจุดที่เจ้าหน้าที่จอดให้ถ่ายรูปเล่น)
(รถของแต่ละกรุ้ปจะไปในที่ต่างกันไปเพื่อไม่ให้ในแต่ละที่นั้นมีคนเยอะ จนเกินไป)
(ภาพของผมจากจุดพักรถครับ ต้องขอขอบคุณคนถ่ายภาพนี้ คือ น้าเจ้าหน้าที่ที่ขับรถให้กับครอบครัวผม)
(แกถ่ายดีจริงนะเออ สงสัยได้ถ่ายบ่อย 555555)
(ทำตัวเท่ๆแบบ พี่วรรณสิงห์ ประเสริฐกุลบ้าง อันนี้คุณโด่งถ่ายให้ ขอบคุณคร้าบบ)
ซึ่งเมื่อท่องทะเลทรายเสร็จ เค้าก็จะพาเราเข้าแคมป์ครับ ให้ไปทานอาหารและดูการแสดงท้องถิ่นของที่นู่นและยังมีกิจกรรมต่างๆ ให้ทำอีกเช่น ขี่อูฐ สูบบารากุ หรือเพ้นท์ลายอาหรับตามตัว
(ขี่อูฐกับเพื่อนบ้านครับ ปวดก้นมากๆ เวลาขึ้นและลง 55555)
(แสงยามเย็นและการขี่อูฐ ทำให้เราได้ฟิลจริงๆ)
และสุดท้ายครับ ภายในแคมป์ซึ่งระหว่าง ผู้คนกำลังนั่งทานอาหารกัน ผมก็นึกคึกอยากเป็น ท่านชีค ผมเลย พาตัวเอง ไปซื้อชุดชีคซะเลย ในราคา 600 บาท ซึ่งต่อราคาจาก 1200 ต่อกระจาย โขกราคากันยับเยิน 55555
(เท่ไหมล่ะคุณ
)
สุดท้ายนี้ ก็หวังว่า รีวิวนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับหลายๆคนที่อาจจะยังไม่เคยไปเที่ยวทั้งสองที่นี้นะครับ
ทั้งนี้การรีวิวนี้ไม่ได้มีเจตนาขายของ หรือโปรโมตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใดๆทั้งสิ้น
โดยวัตถุประสงค์หลักคือการแชร์รูปและประสบการณ์การท่องเที่ยว เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้อื่น
by Donald