Background and planning

หลังการโจมตีนักกีฬาในมิวนิค (ถูกอ้างความรับผิดของโดยกลุ่ม black september)โกลด้า เมเออร์ สตรีเหล็กของอิสราเอล





ดำรงตำแหน่งนายกอิสราเอลขณะนั้น เป็นสายเหยี่ยวคนนึงของยุค
( สายเหยี่ยวคือ ขาบู๊ครับ ถ้าสายสันติประนีประนอมเขาเรียก สายพิราบ)
และ รัฐมนตรีกลาโหม ชื่อ โมเช่ ดายัน (คนนี้ โครตสายเหยี่ยวเลยครับ) ตาเดียวแสบสุดๆในเวทีโลก






เป็นสายรบมาก่อนเมื่อดำรงตำแหน่ง รมต กลาโหม ก็…บู๊แน่นอน
อีกคนนึงที่เป็นคนเดินเรื่องนี้จริงจังคือ ที่ปรึกษา เมเออร์ คือ นายพล อารอน ยารีฟ 



ทั้งสามคน ขาบู๊ จัดหนักทั้งนั้นมารวมกัน
หลังจากโจมตีมิวนิคเกิดขึ้นสองวัน อิสราเอล ได้ส่งเครื่องบินรบไปถล่มปาเลสไตน์แล้วรอบนึงเละเทะไป
แต่ โกลด้า เมเออร์สรุปออกมาว่า ต้องให้ปาเลสไตน์"กลัว" เสียบ้าง
มอดสาดจึงถูกเรียกประชุม และแผนปฎิบัติการณ์ก็เกิดขึ้น

Operation Wrath of God หรืออีกชื่อหนึ่งคือOperation Bayonet

มีสิบทีม ทีมละ 5 คน ส่งออกไปประกบและค้นหา บุคคลที่มีส่วนร่วมไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมกับการโจมตีที่ มิวนิค 1972 เพื่อ...
"สังหาร"
แต่ละทีมจะมีมือสังหารและผู้เชี่ยวชาญในแขนงต่างๆ เช่น เรื่องระเบิด เอกสารปลอมแปลงต่างๆในการปกปิดฐานะของพวกเขา และ สายลับในการเก็บกวาดหลักฐานต่างๆเมื่อปฎิบัติการแล้วเสร็จเพื่อมิให้หลงเหลือในการสาวถึงได้
ว่ากันในภายหลังว่า ภาพยนต์ของ สปิลเบิร์ก ใกล้เคียงมากๆในการนำเสนอปฎิบัติการณ์ครั้งนี้


ฉนั้น หนังเรื่องนี้ควรดูก่อนอ่านต่อ(ถ้ายังไม่ได้ดูนะ)

Operations


Wael Zwaiter เป็นปาเลสติเนี่ยนที่อาศัยอยู่ใน โรม อิตาลี่
จบวรรณกรรมและปรัชญาที่แบกแดด เข้าร่วมกับ PLO (องค์กรปลดปล่อยปาเลสไตน์) เป็นล่ามในสถานทูตลิเบียที่โรม เขาพูดและเขียนได้ 4 ถาษา อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี่และ อาหรับ
ชีวิตในโรม เขาเป็นกวีและนักเขียนที่แปลวรรณกรรม "หนึ่งพันหนึ่งราตรี"เป็นภาษาอิตาลี
เดือนสิงหาคม 1972 ชเวเตอร์ถูกจับโดยตำรวจอิตาลี่ในข้อหาพัวพันการวางระเบิดโรงกลั่นน้ำมัน เชื่อกันว่าขเวเตอร์คือบุคคลสำคัญในกลุ่ม แบลคเซพเทมเบอร์
ในอิตาลี่ เขาถูกปล่อยตัว ภายหลังหลักฐานไม่ถึงตัวเขา และ สายการบิน เอลอัลบิน ไฟลท์ 76 ที่ถูกวางระเบิด
ตำรวจอิตาลี่ก็สงสัยว่า ชเวเตอร์มีส่วนเกี่ยวข้องในทางตรง แต่ทว่า
16 ตุลาคม 1972 ชเวเตอร์ ถูกพบนอนอยู่พร้อมกับขวดนม ไวน์และขนมปัง เขาถูก ยิงด้วย บาเรตต้า .22
14 นัด

รายแรก...สำเร็จ
ปฎิบัติการณ์นี้เริ่มรายที่สอง
รายชื่อที่สายลับเหล่านี้ได้รับมาคือ

Mahmoud Hamshari
มาร์มูด ฮัมชารี เกิดในปาเลสไตน์ ตอนนั้น ปาเลสไตน์เป็นอาณานิคมของอังกฤษ ฮัมชารีแต่งงานกับฝรั่งเศส
และเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยในปารีส เขายังเป็นนักเขียนที่มีผลงานเกี่ยวกันเรื่อง ผู้อพยบของปาเลสไตน์ด้วย
เขาถูกสังหารโดยระเบิดที่ซ่อนอยู่ในโทรศัพท์พื้นฐาน ในอพาทเมนท์ของเขา
เมื่อ 8 ธันวาคม 1972
จะเห็นได้ว่า ปฎิบัติงานครั้งนี้รวดเร็วมาก
.
24 มกราคม 1973
อีกรายหนึ่ง

นี่รูปแทนคือรูปในหนังนะ รูปจริงผมพยายามหาแล้วไม่เจอ
Hussein Al Bashir หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Hussein Abad al-Chir
เกิดใน จอร์แดน และหลายฝ่ายเชื่อว่าเขาเป็น KGB และมีสายสัมพันธ์กับโซเวียตในหลายๆเรื่อง
แม้กระทั่ง การ์ดที่รอบตัวเขาก็คือคนของ KGB ที่ถูกฝึกมาอย่างดีทั้งสิ้น
เขาทำงานเป็นอาจารย์สอนภาษาตะวันออกในสวีเดน
กระนั้นก็ตาม เขาถูกวางระเบิดใต้เตียงที่โรงแรมในไซปรัส
และอีกหลายคนที่ ปฎิบัตการณ์ทำสำเร็จ
11 เมษายน 1973
Zaiad Muchasi ถูกวางระเบิดใน เอเธนส์ ระเบิดไม่ทำงาน สายลับคนนึงวิ่งเข้าไปและโยนระเบิดเข้าไป
เรียบร้อย...ตายสนิท
ผมจะไม่พูดถึงสาบลับกลุ่มนี้บุกเบรุต
แต่จะเน้นถึงผู้หนึ่งที่มีความสำคัญมากๆ และกลุ่มสายลับนี้ปฎิบัติการสังหารคนนี้ไม่ได้ ทั้งๆทีคนนี้คือ
หัวหน้าระดับสูง บางสายข่าวรายงานว่าเขาคือผู้วางแผนโจมตีในหมูบ้านนักกีฬาที่มิวนิค
คนนั้นคือ

Ali Hassan Salameh
อาลี ฮัสซัน ซาลาเมห์ ภายใต้โคว๊ท red prince
เขาสำคัญมาก สายลับปฎิบัติการณ์นี้พยายามที่จะสังหารเขา แต่หาไม่เจอครับ
ไม่มีใครให้ความร่วมมือในการสืบหาตัวเขาในยุโรป เพราะ ซาลาเมห์ไม่ได้เพียงเป็น KGB เท่านั้น เขายังทำงานให้ CIA อีก
ทั้ง CIA และ KGB ไม่อยากที่จะเสียซาลาเมห์ไป ไม่ว่าจะจ่ายเท่าไหร่ก็ตาม สายลับที่ปฎิบัติการก็ไม่สามารถจะซื้อข้อมูลเกี่ยวกันผู้นี้ได้เลย รอบตัวเขามีทั้ง KGB ที่เป็นการ์ดเดินตามแม้กระทั่งในห้องน้ำ
รอบนอกยังมี CIA ที่คุ้มครองเขาอยู่ด้วย
ทำไม ซาลาเมห์ถึงสำคัญ
มอดสาดเชื่อว่าผู้นี้คือ อาบู ฮัสซัน ในโค๊ดชื่อติดต่อของ ปฎิบัติการโจมตีมิวนิค
ประวัติไม่ธรรมดาอย่างแรงครับ
เขาเป็นลูกชายของ ฮัสซัน ซาลาเมห์ พ่อที่เป็นผู้นำของกลุ่มหัวรุนแรงและมีฐานะระดับสูงต้นๆของ ปาเลสไตน์
เมื่อพ่อเขาถูกสังหารโดยกลุ่มต่อต้านแน่นอน อิสราเอลชัวร์
เขาก็สืบต่อจำนงค์ของพ่อทันที เขาเรียนมหาวิทยาลัยในเยอรมันตะวันตก และรับการฝึกการทหารที่ไคโร และมอสโก
เขาเป็น KGB เต็มขั้นมาก ครั้งนึงในปฎิบัตการของมอดสาด ในนอรเวย์
เขากลับไปเบรุตและมีชีวิตที่หรูหรา มีเมียเป็นนางงาม ขับรถสปอร์ตรุ่นล่าสุดในยุค
ชีวิตของเขาดุจเจ้าชาย แต่เขาก็ไม่เคยลืม เจตน์จำนงของตระกูลและสายเลือดของเขา

Ahmed Bouchiki
อาเหม็ด โบชิกิ เป็นน้องชายของนักดนตรีชื่อดังของโมรอคโก มอดสาดให้พบเขาใน นอรเวย์และคิดว่าเขาคือ
อาลี ฮัสซัน ซาลาเมห์ แผนสังหารก็เกิดขึ้น
ทีมสังหาร ดักรอ อาเหม็ด โบชิกิ จากเส้นทางจากโรงภาพยนต์ เขาเดินมากับภรรยาที่กำลังท้อง
สายลับได้สาดกระสุนใส่ทั้งสองคนเสียชีวิต

ยิงผิดตัวครับ อาเหม็ด โบชิกิ หาใช่ อาลี ฮัสซัน ซาลาเมห์ ไม่
บรรลัยเกิด
หลังจากงานนั้น 13 สายลับของ มอดสาดถูกจับ
ยุโรปยอมไม่ได้ที่จะให้เกิดการล้างแค้นในบ้านตนเองอีกต่อไป
แหล่งพักพิง ทรัพย์สินของมอดสาดถูกกวาดล้างเรียบในยุโรป

Michael Harari
ฮารารี่ คือมอดสาดที่ควบคุมปฎิบัติงานในยุโรปทั้งหมด เผ่นหนีกลับอิสราเอลและไม่เคยถูกส่งกลับนอรเวย์ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน(ทั้งๆที่มีกฏหมายนี้อยู่) มอดสาดต้องจ่ายให้ครอบครัว โบชิกิเป็นเงิน 280,000 เหรียฐ
และลูกสาวของภรรยา(เกิดจากสามีคนก่อน โบชิกิ)ของอาเหม็ด โบชิกิ อีก 118,000 เหรียญ


Operation Wrath of God
ชะงัก ประกอบกับ นายกรัฐมนตรีของอิสราเอลกลายเป็น เมนาแฮม เบกินส์ ไปแล้วด้วย
ปฎิบัติการนี้จึง...หยุด
ทว่ามันไม่ได้เลิกครับ มันแค่หยุด
ซาลาเมห์ ต้องไม่มีชีวิตอยู่

สังเกตที่เอว พกกันโจ่งแจ้งมาก
.
การสังหาร อาลี ฮัสซัน ซาลาเมห์

Erika Chambers
ชื่อของ สายลับมอดสาดโผล่หราเลย หล่อนเป็นอังกฤษครับ เชื้อสาวยิว มอดสาดเต็มตัวเลยทีเดียว
เกร็ด : มอดสาดจะค้นหาสายลับที่อาศัยอยู่ในพื้นเพประเทศต่างๆเป็นคนที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่เป็นที่สงสัย แล้วจับมาฝึกให้เป็นนักฆ่า
จริงๆชื่อของ เอริก้า แชมเบอร์นี้จริงหรือไม่จริงไม่ทราบได้ เพราะมันคือ โค๊ดเรียกชื่อของ มอดสาด
หลังจาก พยายามมา 5ครั้งในการสังหาร อาลี ฮัสซัน ซาลาเมห์ ครั้งที่ 6 ก็ถูกกำหนดขึ้น
หัวหน้าทีมคือ เอริก้า นี่ละ
เบรุต ตะวันออก
เอริก้า มารี แชมเบอร์ เดินทางเข้า เลบานอนด้วยหนังสือเดินทางของอังกฤษ ในปี 1975
ในปีนั้นมีสาบลับอีกสองคนเดินทางเข้ามาในเบรุต ปีเตอร์ สคริเวอร์ ใช่พาสปอร์ตอังกฤษ
และโรแลนด์โคลเบิร์ก ใช้พาสปอร์ต แคนาดา
ในหลายปีต่อมา ปีเตอร์ สคริเวอร์ ที่อาศัยอยู่ในอังกฤษ ถูกสอบสวนอย่างหนัก ปรากฏว่าเขาเป็นชาวนาธรรมดาๆไม่เคยเดินทางไป เลบานอนเลย สรุป...พาสปอร์ตของ เขาถูกปลอมแปลง...ซวยชะมัด
ตุลาคม 1978 เอริก้าและกลุ่มสายลับได้ติดตามกิจวัตรของ ซาลาเมห์ว่า ไปไหน กลับเมื่อไหร่ ทางไหน
และที่สำคัญ ซาลาเมห์ ได้เช่าอพาทเม้นท์ชั้น 8 ของอาคาร อานิส อัสซาฟ ราคา 3500 ปอนด์เลบานอน
ถูกต้องครับ เอริก้า ก็ไปเช่าอยู่ตรงข้ามอาคารนี้ด้วย เพื่อสืบและเช็คความเคลื่อนไหวของ ซาลาเมห์
เมื่อได้ข้อมูลแล้ว...แผนการสังหารก็ถูกกำหนด
22 มกราคม 1979
15:35 เวลาท้องถิ่น
ซาลาเมห์ นั่งรถเชพโรเลท พร้อมการ์ดของเขาอีกคันนึง เพื่อไปงานวันเกิดของแม่เขา
เมื่อผ่านมาในจุดที่ต้องการ เอริก้า อยู่บนอพาทเม้นท์ได้กดรีโมทระเบิด โฟลคแวนสีแดง
ที่บรรจุ ระเบิด TNT 100 กิโลกรัม เละครับ

ซาลาเมห์ยังสติดีอยู่ ทั้งๆที่สะเก็ดระเบิดยังฝังที่หัวของเขา


เขาวิ่งไปที่โรงพยาบาลมหาวิทลัยอเมริกัน 16:03 เวลาท้องถิ่น ซาลาเมห์ก็เสียชีวิต
รวมทั้งการ์ด KGB ของเขาด้วยรวม 4 คนภายในรถสองคัน และ ชาวบ้านไม่รู้อีโหน่อีเหน่ อีก 4 คน ที่ยืนอยู่ตรงนั้นพอดี อีก 18 คนเจ็บมากน้อยว่ากันไป มีแม่ชีด้วยนะ เยอรมันก็มี
และมีผู้พบเห็น ไมเคิล ฮารารี่หัวหน้าปฎิบัติการในเรือนอกชายฝั่งของเบรุต พร้อมกัน 14 สายลับมอดสาด เผ่นออกนอกเลบานอนไป.
จบแล้ว...ทำงานต่อ แหะๆ[/imgl][/b]

หนังเรื่องโปรดเลย สายลับจริงๆมันต้องอย่างนี้ ไม่ได้เก่งเว่อร์ เครื่องมือไม่ได้อลังการ

หนังเรื่องนี้มีความสมจริงมากๆ

ขอไปดูหนังก่ิน. เดี๋ยวมาอ่าน