มาต่อกันนะครับ จากเมื่อวานเราว่าด้วยเรื่อวของการเกิดสิวกันแล้ว วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของยารักษาสิวกันบ้างครับ ก่อนอื่นใครที่ยังไม่ได้อ่าน part แรก ผมแนะนำให้กลับไปอ่านก่อนนะครับ ไม่งั้นถ้าอ่าน part นี้เลยอาจจะไม่เข้าใจเต็มร้อยครับผม)
บทความเมื่อวาน: http://www.soccersuck.com/boards/topic/1497479
ในวันนี้ผมจะแบ่งขั้นตอนการเกิดสิวออกเป็น 4 ระยะนะครับ (อาจจะต่างจากเมื่อวานนิดนึงนะครับ แต่ก็ยังคงคล้าย ๆ กัน)
A. เกิดการสร้างของขี้ไคล (keratin) ที่มากขึ้นของรูขุมขน ทำให้เกิดการอุดตันขึ้น (follicular hyperkeratosis)
B. เกิดการสร้างไขมันที่มากเกินไป ซึ่งเป็นอาหารชั้นดีของ P.acne (sebum overproduction)
C. เกิดการสร้างของสารที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกินไขมันของ P.acne (Inflamatory cytokines)
D. เกิดการอักเสบและต่อมาจึงทำให้เกิดหนองขึ้น (Proprionibacterium acnes infection)
จะสังเกตได้ว่า A,B นั้นจะทำให้เกิดสิวอุดตัน (comedone) ส่วน C,D จะทำให้เกิดสิวอักเสบหรือสิวหัวหนอง (Papule, Pustule, Nodule) นั่นเองครับ โดยยาแต่ละตัวก็จะมารักษาปัญหาแต่ละขั้นดังที่กล่าวไปนี่แหละครับ เช่น
A. ขี้ไคลเยอะใช่ไหม ก็เอายากำจัดขี้ไคลไป
B. ไขมันเยอะใช่ไหม ก็เอายาลดการสร้างไขมันไป
C. เกิดการสร้างสารกระตุ้นการอักเสบใช่ไหม ก็เอายาฆ่า P.acne ไป (เพราะถ้า P.acne ไม่กินไขมันสารนี้ก็จะไม่เกิด)
D. อักเสบเป็นหนองเพราะติดเชื้อ P.acne ใช่ไหม ก็เอายาฆ่า P.acne ไป
ดังนั้นถ้าคุณอยากจะรักษาสิวอุดตัน คุณก็ต้องใช้ยาที่มีสรรพคุณ A,B ถูกต้องไหมครับ ถ้าคุณมีสิวอักเสบหรือสิวหัวหนอง คุณก็จะต้องใช้ยาที่มีสรรพคุณ C,D นั่นเอง
ว่าแต่ยาตามท้องตลาดนั้นแต่ละตัวมีสรรพคุณอย่างไรหละ? แล้วเราจะเลือกใช้ยาตัวไหนถึงจะถูกต้องเหมาะสม ในวันนี้ผมจึงขอพูดถึงยา 6 ชนิดที่เราพบเจอได้ทั่วไปตามท้องตลาดแล้วกันนะครับ ได้แก่ Retin-A, Differin, Banzac, Clindamycin, Erythromycin, Salicylic acid นั่นเอง เราไปเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
1. Retin-A
เจ้า Retin-A เนี่ยเป็นอนุพันธ์ของกรดวิตามิน A ซึ่งจะแก้ปัญหาในเรื่องของข้อ A ครับ เพราะฉะนั้น Retin-A ก็จะมีฤทธิ์ในการรักษาสิวอุดตันนั่นเองครับ ทีนี้มาพูดถึงผลข้างเคียงของการใช้ Retin-A กันบ้าง จริง ๆ หลัก ๆ เลยจะมี 2 อย่างครับ คือผิวหนังบริเวณใบหน้าแตกแห้ง อาจจะหลุดลอกเป็นร่องได้เลยในบางคน และแพ้แสงครับผม
2. Differin
ตัวนี้ก็เป็นอนุพันธ์ของกรดวิตามิน A เช่นเดียวกันครับ ดังนั้นจะออกฤทธิ์และมีผลข้างเคียงเหมือนกับ Retin-A ทุกอย่างเลย เพียงแต่ไอเจ้า Differin เนี่ย มันเป็นยาที่พัฒนาและออกตามหลังมาจาก Retin-A ทำให้มันมีผลข้างเคียงที่น้อยลงมาก ๆ แต่ความแรงของยาก็จะน้อยลงตามไปด้วย เนื่องจาก differin เป็นยาตัวใหม่ จึงทำให้ differin นี่จะมีราคาแพงกว่า Retin-A นั่นเองครับ รู้สึกว่าจะแพงกว่า 1 เท่าตัวได้เลย
ขอคั่นรายการนิดนึงนะครับ แนะนำว่าหากใช้ Retin-A หรือ differin เนี่ย ควรทากันแดดควบคู่ไปด้วย เพื่อไม่ให้หน้าแพ้แสงนะครับ
อีกเรื่องนึงที่สำคัญสำหรับ Retin-A และ differin คือ ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์นะครับ มันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ทำให้ผมตั้งใจเขียนบทความนี้ออกมา คืออยากที่จะให้ท่านรู้ว่ายาแต่ละตัวนั้นมีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง คุณแม่บางคนอยากสวย ใช้มาตั้งแต่วัยรุ่น เห็นว่าเป็นยาทาสิวธรรมดาคงไม่มีผลต่อการตั้งครรภ์มั้ง แต่ที่จริงไม่ใช่นะครับ จริง ๆ สำหรับ 2 ตัวบนอาจจะไม่ได้รุนแรงมาก แต่มียาอีกตัวหนึ่งซึ่งเป็นยาในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามิน A เหมือนกัน มีชื่อว่า "isotretinoin" (ถ้าผมจำไม่ผิด เป็นยาที่ต้องออกโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นนะครับ แต่ตามท้องตลาดกลับเอาออกมาขายกันเกลื่อนเลยครับ) ตัวนี้ออกฤทธิ์เหมือน 2 ตัวบนแต่มีฤทธิ์แรงกว่ามาก ถ้าเกิดคุณแม่ที่กำลังอุ้มท้องน้องคนไหนทานเข้าไป หมอแนะนำให้เอาเด็กออกอย่างเดียวเลยนะครับ เพราะฉะนั้นระวังกันด้วยเด้ออออ
ขอบคุณภาพจากเพจการ์ตูน บั่นทอน ครับ
3.Benzac
มีฤทธิ์กว้างมากครับ คือฤทธิ์หลัก ๆ ของมันจะทำหน้าที่ฆ่าเชื้อ P.acne นั่นเอง แต่มันยังมีฤทธิ์ในการเปิดรูขุมขนอีกด้วย โดยการผลัดขี้ไคลที่ไปอุดตันตามรูขุมขนออกมา ดังนั้นถ้าเทียบกับสรรพคุณด้านบน Benzac จึงสรรพคุณทั้ง A,C,D เลยครับ
สำหรับวิธีใช้นะครับคือทาก่อนล้างหน้าซัก 15-30 นาที โดยในท้องตลาดจะมีความเข้มข้นให้เลือก 3 ระดับคือ 2.5%, 5%, 10% (โดยส่วนตัวผมว่าใช้ 2.5% ก็พอแล้วครับ เพราะยิ่งใช้ขนาดแรงขึ้นหน้าจะยิ่งแดงและแสบครับผม)
4.Clindamycin, Erythromycin
2 ตัวนี้เป็นยาปฏิชีวนะ มีฤทธิ์ในการฆ่า P.acne เช่นกันครับ มักจะใช้สำหรับการแต้มสิวเวลาเกิดสิวอักเสบหรือสิวหัวหนองขึ้น Clindamycin นี่ซื้อได้ตามเซเว่นทั่วไปเลยครับ
5. Salicylic acid
หรือบางทีเราก็จะเรียกมันว่า BHA ตัวนี้มีฤทธิ์ในการลอกผิวครับ ก็คือลอกขี้ไคลให้หลุดจากรูขุมขนนั่นเองครับ ดังนั้นมันจึงใช้ในการใช้รักษาสิวอุดตันนั่นเองครับ
ส่วนยาตัวอื่น ๆ ที่ผมไม่ได้พูดถึง ผมไม่แนะนำนะครับ โดยเฉพาะยาทาน เพราะบางตัวเนี่ยส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายค่อนข้างรุนแรง รวมถึงยาปฏิชีวนะอื่น ๆ ด้วยครับ อาจจะทำให้ท่านเกิดการดื้อยาได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตัวท่านเองและต่อสังคมครับ
เรามาสรุปกันดีกว่านะครับ
ถ้าเกิดผมแนะนำนะครับ ผมจะขอยกจากตัวยาด้านบนมา 3 ชนิดที่นิยมใช้กันนะครับคือ differin, benzac, clindamycin
ทั้ง 3 ตัวนี้ตาม guideline รักษาสิวบอกว่าสามารถใช้ในการรักษาสภาพหน้าได้ คือใช้ได้เรื่อย ๆ นะครับ ไม่ว่าจะมีสิวหรือไม่ก็ตาม โดยเริ่มจากใช้ benzac ทาก่อนล้างหน้า เมื่อท่านใช้ benzac สิวอักเสบก็จะหมดไปครับ แต่มันก็หายไปเฉพาะสิวอักเสบเท่านั้น สิวอุดตันก็ยังคงอยู่ ดังนั้นท่านจึงต้องใช้ตัวยาถัดมา ก็คือ differin นั่นเอง เพื่อจะได้ครอบคลุมในการรักษาทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบครับ แต่ต่อมาถ้าวันใดวันนึง ท่านเกิดเป็นสิวอักเสบขึ้นมา ก็ทำการป้ายหัวสิวด้วย clindamycin เพื่อฆ่าเชื้อ P.acne และไปช่วยเจ้า benzac ทำให้อาการอักเสบหายไปนั่นเองครับ
หวังว่าคงจะเข้าใจได้ไม่มากก็น้อยนะครับ อย่างไรก็ตามหากท่านเป็นสิวมาก ๆ ผมแนะนำว่าให้ไปหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดีกว่าครับ ไม่แนะนำให้ซื้อยามารับประทานเอง การใช้ยาทาที่ผมกล่าวไปเป็นแค่การดูแลตัวเองเบื้องต้นเท่านั้นนะครับ ยังไงก็ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบ ขอบคุณมากครับผม