[รีวิว]"ถ้าโลกนี้ไม่มีแมว"ฉบับหนังสือ - เราจะรู้คุณค่าของสิ่งหนึ่งเมื่อสิ่งนั้นหายไป
ขอออกตัวไว้ก่อนว่าผมไม่ได้ดูฉบับภาพยนต์จึงไม่สามารถบอกได้ว่าแบบไหนดีกว่ากัน น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน
"ถ้าโลกนี้ไม่มีแมว"หรือ"ถ้าแมวตัวนั้นหายไปจากโลกนี้"ตามชื่อในฉบับภาพยนตร์ เป็นเรื่องราวของบุรุษไปรษณีย์วัย 30 ปีที่จู่ ๆก็รู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้ายและจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่เขาก็ได้รับข้อเสนอจากยมทูตว่าถ้าแลกของหนึ่งอย่างจะอยู่ได้อีกหนึ่งวัน เค้าจะแลกอะไรเพื่อต่ออายุให้ตัวเองหนึ่งวัน และเมื่อชีวิตเค้าไม่มีสิ่งนั้นจะเป็นยังไง สามารถติดตามได้จากหนังสือ"ถ้าโลกนี้ไม่มีแมว"
หนังสือ"ถ้าโลกนี้ไม่มีแมว"หลายๆคนคงคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องดราม่าเกี่ยวกับแมวจนคนที่ไม่รักแมวหรือรักแต่ไม่แสดงออกขยาดที่จะอ่าน แต่พอกลับได้อ่านแล้ว(จากคนที่รักแมวแต่ไม่แสดงออกสักเท่าไหร่)หนังสือไม่ได้เน้นไปที่เรื่องแมวเพียงเรื่องเดียว จุดเด่นทีสุดของหนังสือคือการให้เราได้รู้หรือได้กลับมาคิดถึงคุณค่าของสิ่งเรามี หนังสือให้เราได้รู้จากสิ่งเล็กๆที่เป็นพื้นฐานอย่างความสัมพันธ์ของครอบครัวไปจนถึงสิ่งที่เราทุกคนสัมพันธ์ จุดนี้เองที่เป็นการดำเนินเรื่องราวทั้งหมด ตัวเอกกับพ่อ ตัวเอกกับแม่ ตัวเอกกับรักแรก และตัวเอกกับแมว และสุดท้ายเขาจะยอมแลกแมวที่เค้าเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของมัน(โปรดระลึกไว้ว่าแมวไม่ได้ถูกเลี้ยงแต่แมวอนุญาติให้เราเลี้ยงต่างหาก)เพื่อให้เขาได้มีชีวิตอยู่หรือไม่
แม้ดูไปดูมาเรื่องราวคงจะน่าหดหู่อ่านไปน้ำตาคงจะไหลเป็นทาง แต่หนังสือก็ไม่ใช่แนวดราม่าน้ำตานองสักเท่าไหร่ ถ้าจะให้บอกก็ออกจะเป็นแนวโรแมนติกแบบซึ้งๆเสียมากกว่า เพราะหนังสือมีทั้งช่วงที่อ่านแล้วยิ้มก็มี ร่วมลุ้นไปกับตัวเอกก็มี และแน่นอนรู้สึกซึ้งไปกับตัวเอก ส่วนประกอบอื่นๆในหนังสือนั้นก็น่าจะถูกใจคนยุค 90 ไม่น้อยเพราะจากการที่ตัวเอกชอบดูภาพยนต์ทำให้หนังสือมีการพูดถึงหรือหยิบยืมประโยคเด็ดจากภาพยนต์ในยุคนั้นมาใช้ไม่น้อยทีเดียว รวมไปถึงเพลงหรือการ์ตูนที่ในหนังสือก็มีการพูดถึงบ้าง ซึ่งจุดนี้เองทำให้ผู้อ่านที่คุ้นเคยหรือรู้จักมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวเอกได้ไม่ยาก
ด้านประเด็นที่หนังสือพยายามจะสื่อถึงก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว อ่านไปแล้วสามารถมีอารมณ์ร่วมได้ไม่ยากเลย มีหลายครั้งมากๆที่อ่านแล้วทำให้นึกภาพย้อนกลับไปในอดีตของตัวเองและที่สำคัญกว่าทำให้นึกถึงอดีตคือการทำให้เราอยากทำในเรื่องที่เราไม่ค่อยกล้าทำ โดยที่เราไม่ต้องรอให้หมอบอกว่าเราจะมีชีวิตเหลือไม่กี่วันหรือรอให้ยมทูตมาให้ข้อเสนอต่อชีวิต
เราจะรู้คุณค่าของสิ่งหนึ่งเมื่อสิ่งนั้นหายไป และถ้าเราสามารถแลกของสิ่งนั้นเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ได้หนึ่งวันเราจะยอมแลกหรือไม่ ประเด็นสั้นง่ายได้ใจความแต่พอกลับทำจริงมันดันไม่ง่ายเหมือนตอนไม่ได้ทำ ว่าไปแล้วมันก็คงเหมือนกับประโยคเด็ดในหนังไซไฟปรัชญาสุดงงที่ว่า"มีความแตกต่างระหว่างการรู้หนทางที่จะเดิน และการเดินบนหนทางนั้น"
VIDEO
-----------------------------------------------------------------------------
นี่เป็นการรีวิวหนังสือครั้งแรกของผม ผิดพลาดประการผมขออภัยไว้ด้วยนะครับ ยังไงถ้าอ่านแล้วติดขัดตรงไหนก็ยินดีรับคำวิจารณ์ครับ
ขอบพระคุณทุกท่านครับผม