ศาตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Oxford ของอังกฤษ
ผู้ให้ความสนใจกับ "ทฤษฎีบทสุดท้ายของ แฟร์มาต์" (Fermat's Last Theorem)
ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กนักเรียน

ได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่ของโลกแห่งวงการคณิตศาสตร์
สำหรับการพิสูจน์ทฤษฎีดังกล่าวได้สำเร็จ เป็นคนแรกของโลก

(หลังจากราวๆ 300 ปี ที่ไม่มีใครพิสูจน์มันได้เลย)

---------------------------------------------------------------------------

Sir Andrew Wiles ปัจจุบันวัย 62 ปี ได้รับการประกาศชื่อว่าเป็นผู้คว้ารางวัลอันทรงเกียรติ
"Abel Prize" เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

ซึ่งรางวัลนี้ได้รับการขนามนามว่าเป็น Nobel Prize แห่งวงการคณิตศาสตร์เลยทีเดียว
--> เงินรางวัลประมาณ 5แสนปอนด์

Wiles เริ่มสนใจกับ ทฤษฎีบทสุดท้ายของFermat ตั้งแต่สมัยอายุได้แค่ 10 ขวบ
เมื่อเขาได้อ่านตำราที่ชื่อว่า "The Last Problem"
ที่ห้องสมุดท้องถิ่นในเมือง Cambridge



ทฤษฎีดังกล่าวถูกพูดถึงครั้งแรกในปี ค.ศ. 1637
โดย นักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวฝรั่งเศส "ปิแอร์ เดอร์ แฟร์มาต์" (Pierre de Fermat)


โดยกล่าวว่า --->
"ไม่มีจำนวนใดๆที่มีค่ามากกว่า 2 ที่ทำให้สมการ
Xยกกำลัง n + Yยกกำลัง n เท่ากับ Z ยกกำลัง n" (ขออภัยครับ ผมพิมพ์สัญลักษณ์ไม่เป็น ดูจากรูปเลยครับ)



แน่นอนว่า ไอทฤษฎีที่แฟร์มาต์กล่าวไว้เนี่ย มันพิสูจน์โคตรยากครับ

-----------------------------------------------------------------------

เรื่องน่าขำขันคือ Fermat เองได้อ้างไว้ว่า เขาสามารถพิสูจน์ทฤษฎีที่เขาว่าไว้นี้ได้แล้วแหละ

--> แต่แม่งเอ้ย กระดาษกูไม่พอจะเขียนวิธีพิสูจน์หวะโทษที


(เห้ยๆ ข้ามีไอเดียเจ๋งๆที่อยากทวีตนะ แต่ 140ตัวอักษรแม่งไม่พอเขียนหวะ)

สุดท้าย Fermat ก็ลาโลกไป โดยที่ไม่ได้มีการแสดงวิธีการพิสูจน์ทิ้งไว้ให้แต่อย่างใด
... เพราะอ้างว่ากระดาษมันไม่พอเขียน -*-

กาลเวลาล่วงเลยไป ราวๆ 3 ศตวรรษ (300ปีล่วงไป)
มีนักคณิตศาสตร์ทั่วโลกจำนวนมากที่พยายามจะพิสูจน์ทฤษฎีอันนี้
แต่ก็เฟลกันไปหมด

แต่แล้ว เมื่อเวลาล่วงมาถึงปี 1993, ก็มีนักคณิตศาสตร์คนหนึ่งที่สามารถแสดงการพิสูจน์มันได้สำเร็จจนได้
---> Andrew Wiles ได้แสดงการพิสูจน์ครั้งแรกที่การบรรยายในมหาวิทยาลัย Cambridge

แต่ผ่านไปประมาณปีนึง การพิสูจน์ของ Wiles ได้รับข้อวิพากษ์ว่า
มันมีจุดผิดพลาดอยู่ ซึ่ง Wiles ก็หัวเสียพอสมควร
และได้บอกไว้ว่า เขาสัญญาจะแก้ไขข้อผิดพลาดอันนั้นเอง
... แล้วเขาก็ทำมันจนสำเร็จ



Wiles พิสูจน์ทฤษฎีบทสุดท้ายของFermat ด้วยการผสมผสาน 3สาขาทางคณิตศาสตร์
คือ Modular Form, Elleptic Curve และ Galois Representation

... กว่า Andrew จะได้รางวัลก็ปาไปเข้าไป 2 ทศวรรษแหนะ ตั้งแต่ที่พิสูจน์ทฤษฎีสำเร็จ

----------------------------------------------------------------------------



ปีที่ผ่านมา Abel Prize ได้มอบให้กับ John Nash
นักคณิตศาสตร์ผู้มีอาการป่วยทางจิต (เห็นภาพหลอน)

(ซึ่ง John เคยได้รางวัล Nobel ในสาขาของ Economics
เกี่ยวกับเรื่อง "ทฤษฎีเกมส์" มาก่อนหน้านี้แล้วนะครับ)

ซึ่งภายหลังมีการเอามาทำภาพยนตร์เรื่อง A Beautiful Mind ที่ รัสเซล โครว์ เล่นเป็นตัวเอกนั่นเอง

แต่หลังจากได้รางวัลไม่นาน โชคร้ายที่ John Nash ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และต้องจากโลกไปพร้อมกับภรรยา

CREDIT

อย่าถามผม ผมติด 0

อ่านแล้วปวดหัวเลย ขอวิธีคิดที

ช่วย ย่อ อย่างเข้าใจให้ที นี้ดูเหมือนดู AV แล้วไม่ได้...อ่ะ

เอ่อะ วิธีคิดนี่ สงสัยต้องไปดู paper ของอาจารย์แกเองแล้วอ่าคับท่าน

ผมเองไม่สามารถอธิบายได้เหมือนกัน 55555

ไม่ได้เรียน pure maths มานะค้าบบ

หรือไม่ใครพอสรุปการพิสูจน์สั้นๆได้บ้างมั้ยเนี่ย รบกวนเพิ่มเติมให้หน่อย

ถ้าย่อวิธีพิสูจน์นี่ ผมไม่สามารถถึงขั้นนั้นเหมือนกันครับท่าน



รู้แต่ว่าพิสูจน์ได้ แต่ไม่ทราบว่า กระบวนวิธีเป็นเช่นไร

น่าสนใจจริงๆ เพื่อนๆอย่าถามถึงการย่อวิธีพิสูจน์เลยครับมันไม่มี

เพราะกว่าจะถึงตัวทฤษฎีหลัก คาดว่าน่าจะมีทฤษฎีย่อย บทแทรกอีกนับไม่ถ้วน

กว่าจะเริ่มพิสูจน์ทฤษฎีหลัก และเรียนตามตรงแม้แต่คนที่เรียน pure math ก็ไม่แน่

ว่าจะอ่านงานระดับนี้รู้เรื่องในระยะเวลาอันสั้น ปกติการแกะ paper นี่ว่ากันเป็นอาทิตย์

หรือเป็นเดือนเลยครับ กว่าจะแกะจนพอเข้าใจแล้วนำเสนอได้

อ่อออออออ

แบบนี้นี่เอง

จำได้ว่าเคยเป็นข่าวตอนที่แกบอกว่าพิสูจน์ได้ แล้วมีชาวคณะไปแย้ง
คราวนี้เป็นคนเดิมสินะครับ น่านับถือใน passion จริง ๆ

สรุปให้สั้นๆ ไม่มีจำนวนเต็มบวก A, B, และ C ที่ทำให้ A^n + B^n = C^n
เมื่อ n เป็นจำนวนเต็มที่มากกว่า 2

ยิ่งอ่านยิ่งงง

จำได้ว่าทฤษฎีบทนี้อ่ะ Andrew Wiles ใช้เวลาพิสูจน์เป็นสิบปี พิสูจน์กันเป็น 200 หน้า ลองไปอ่านเอาเองละกัน ถ้ามีความพยายามอ่ะนะ

ผมเรียน เพียวแมทมา ยังอาจพรูฟแกลำบากเลยครับ

กว่าจะได้รางวัลมา ได้เงินรางวัลแค่ 5แสนปอนด์
เสี่ยหมูเรา นั่งเกาไข่ข้างสนาม ลงไปเตะชิวๆ แค่สองสัปดาห์ ก็ได้มากกว่าแล้ว