สามหนุ่ม Gary Barlow, Mark Owen และ Howard Donald เริ่มต้นโชว์ด้วยเพลง Shine จากอัลบั้ม Beautiful World (2006) ที่ถือว่าเป็นเพลงดังของวง และปีที่ปล่อยมาเป็นปี 2006 จึงน่าจะเป็นเพลงที่เรียกความสนใจได้จากทั้งแฟนรุ่นเก่าและนักฟังเพลงรุ่นใหม่ เรียกบรรยากาศครึกครื้นจากคนดูทุกวัยได้พอสมควร
ต่อมาคือทีเด็ด Hold Up a Light เมื่อ Mark Owen สมาชิกของวงขอทักทายโดยการลงจากเวทีไปร้องเพลงกับเหล่าแฟนๆ ที่เด็ดคือแกเล่นกับเก้าอี้ว่างๆ โดยการไปนั่งร้องเพลงตรงเก้าอี้นั้นเสียเลย จนคนรีบกรูมาตรงที่แกนั่ง ได้กอดได้เซลฟี่จนฟิน (แต่ ณ จุดนี้สงสารคนที่นั่งแถวนั้นอยู่แล้วมาก) ที่สำคัญคือแกเดินนานและทั่วถึงมาก ใส่มงกุฎดอกไม้จากแฟนคลับเดินขึ้นเวที ก่อนจะโยนลงมาให้ผู้โชคดีรับไป
มาร์กรับหน้าที่ร้องเดี่ยวในเพลง Four Minute Warning ของตัวเองขณะที่อีกสองคนถือโอกาสไปพัก จนเมื่อจบเพลงไปก็ให้แกรี่ขึ้นมาทำหน้าที่เดี่ยวแทนบ้างในเพลง Let Me Go ที่แม้จะเป็นเพลงที่แต่งจากประสบการณ์ของตัวเองและภรรยาเมื่อสูญเสียลูกสาวที่ยังไม่มีโอกาสได้ลืมตาดูโลก แต่เนื้อเพลงให้กำลังใจและดนตรีสนุกสนาน ทำให้คนดูสนุกไปกับนักร้อง ทั้งสองเพลงนี้เป็นผลงานเดียวของแต่ละคนที่มีแนวดนตรีค่อนข้างต่างจาก Take That ทำให้ได้อารมณ์แนวดนตรีอื่นด้วย
สมาชิกที่เหลือของวงกลับมาสมทบกับแกรี่เมื่อเพลงของเขาจบลงและแสดงเพลง The Flood ต่อ ต่อมาคือการเดี่ยวเปียโนและตามมาด้วยเพลง A Million Love Songs กับ Babe แบบสั้นๆ ก่อนจะพักเบรกสนทนากับผู้ชมอีกครั้ง
ในครั้งนี้ ศิลปินกล่าวว่าแม้นี่จะเป็นหนึ่งในเพลงดังของวง แต่พวกเขาไม่ได้เล่นเพลงนี้มาสักพักแล้ว และไม่ได้อยู่ในเซ็ทลิสท์ดั้งเดิมสำหรับคืนนี้ด้วย แต่ได้มีโอกาสเจอกับแฟนคลับคนหนึ่งของวงขณะไปเที่ยวเล่น โดยแฟนคลับคนนั้นได้ขอร้องให้พวกเขาแสดงสดเพลงนี้ ทางวงจึงสนองความต้องการโดยการซ้อมเพลงก่อนการแสดงจริงไม่กี่ชั่วโมง เล่น How Deep Is Your Love งานคัฟเวอร์ของ Bee Gees ซึ่งในเวอร์ชั่นของวงนี้ก็ประสบความสำเร็จมากเช่นกัน เรียกได้ว่าทำให้แฟนเพลงรู้สึกพิเศษไปอีกระดับ
อีกหนึ่งไฮไลท์ของงานคือเมื่อวงเล่นเพลงดังอมตะ Back For Good ที่ทางผู้จัดงานมีโปรเจ็คท์แบบลับๆ หนีบแผ่นกระดาษแปะตัวหนังสือใหญ่เห็นชัดว่า WANT YOU BACK ให้กับทุกที่นั่งในฮอลล์และมีข้อความนัดให้ผู้ร่วมงานชูป้ายขณะเล่นเพลงนี้ ซึ่งทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีทั้งผู้ชมชาวไทยและฝรั่ง สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับนักร้องและเรียกรอยยิ้มจากศิลปินได้
ในส่วนอังกอร์ของเพลงคือ Rule the World ที่นักร้องขอให้แฟนคลับช่วยกันเปิดไฟจากโทรศัพท์เพื่อส่องแสงให้เข้ากับธีมเพลงประกอบภาพยนตร์ Stardust นี้ และจบลงด้วยเพลง Never Forget ซึ่งเป็นเพลงที่เหล่าคนดูในงานปรบมือพร้อมศิลปินได้อย่างพร้อมเพรียงและเป็นจังหวะ เป็นอีกหนึ่งในความทรงจำอันน่าประทับใจ ปิดท้ายคืนนี้ไปอย่างสวยงาม
ข่าวดีคือเมื่อจบคอนเสิร์ต แกรี่สัญญากับแฟนๆ ว่าโชว์ครั้งต่อไปในกรุงเทพจะไม่ต้องรอถึง 20 ปีแบบนี้แล้ว และมีข่าวว่าสมาชิกดั้งเดิมของวงจะกลับมารวมตัวกันเนื่องในโอกาสครบ 25 ปีของวงในปี 2017 นี้ สำหรับ Robbie Williams ได้เซย์เยสแล้ว แต่ Jason Orange ยังไม่มีข่าว แต่ทางวงก็ยังคาดหวังการตอบรับจากเจสันตลอดมา ต้องรอดูว่าจะมีการใจอ่อนหรือไม่ในปีหน้านี้ และถ้าโอกาสดี ครั้งหน้าที่เราเห็น Take That ในไทย ไม่ใช่แค่ไม่ต้องรอถึง 20 ปี แต่อาจจะได้เห็นสมาชิกรุ่นก่อตั้งอย่างครบถ้วนกัน
SETLIST
Spoil
1. Shine (with Electric Light Orchestra intro)
2. Greatest Day
3. Get Ready For It
4. Hold Up a Light
5. Patience
6. Pray
7. Up All Night
8. Said It All
9. Could It Be Magic
10. Hey Boy
11. Four Minute Warning [Owen's Solo]
12. Let Me Go [Barlow's Solo]
13. The Flood
14. Piano Medley
15. A Million Love Songs
16. Babe
17. How Deep Is Your Love
18. Back For Good
19. These Days
20. Relight - encore -
21. Rule the World
22. Never Forget